
บทที่ 3
ร้านอาหารตกแต่งสไตล์อีโคเลียบถนนทางด่วนนอกเมือง ด้านหลังติดกับคลองส่งน้ำ อากาศในยามบ่ายคล้อยดูเงียบสงบ
ลูกค้าด้านในยังบางตาอยู่ ชนนก้าวเดินเข้าไปด้านในสุดซึ่งติดริมระเบียงที่ปลูกใกล้กับลำคลองเล็กๆ
“คิดว่าหาไม่เจอเสียแล้ว…นานเชียว…”
คนพูดทอดน้ำเสียงในตอนท้ายดูเง้างอน ดวงตาคมค้อนเจ้าของร่างสูงที่ทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม
“ไม่ค่อยได้มาแถวนี้ ทำไมเลือกร้านนี่ล่ะ”
“อยากลองเมนูแปลก ตำถั่วพูคลุกคอหมูย่าง ท่าทางจะแซ่บเว่อร์”
เตชิตกรีดนิ้วเหนือริมฝีปาก ดวงตาจับจ้องฝ่ายตรงข้าม ความใกล้ชิดตั้งแต่เยาว์วัยทำให้เขาเต็มใจที่จะคบหากับคนตรงหน้ามากกว่าใคร
ในกลุ่มเพื่อน ด้วยอุปนิสัยพูดน้อย ไม่ค่อยขัดเพื่อน… อยู่ใกล้ๆแล้วสบายใจหลายอย่าง แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป
ชนนกำลังจะแต่งงานกับญาติห่างๆที่ยายคุณแม่เจ้ากี้เจ้าการจัดหามาให้ มันอาจทำให้เขาไปมาหาสู่ยากยิ่งขึ้นไปอีก
เพราะไม่รู้ว่าชะนีตัวนั้นจะมีอิทธิฤทธิ์มากขนาดไหน
“ตกลงตี๋จะแต่งงานจริงๆเหรอ…”
คนเอ่ยถามเสียงหม่นเศร้า ดวงตาดำคมทอดมองละห้อย
“นายก็รู้จักม๊าดี เคยขัดใจได้ที่ไหน”
“ขัดใจสักครั้งไม่ได้หรือตี๋ เราไม่อยากให้นายแต่งงาน…เราคงจะเหงามาก…ถ้าไปไหนมาไหนกับนายไม่ได้ มาหานายที่บ้านไม่ได้”
“ชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยน”
“แน่ใจนะตี๋ ว่านายจะไม่เปลี่ยนไปหลังจากแต่งงาน”
เตชิตคาดคั้นเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมมีฝ้าละอองน้ำจับขึ้นมาชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไปเมื่อจานอาหารถูกนำมาวางบนโต๊ะ บทสนทนาจึงยุติลงเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มตักอาหารใส่จานของชนนอย่างเอาใจใส่ การดูแลเล็กๆน้อยๆเช่นนี้เตชิตมักทำได้ดีเสมอ ธรรมชาติบางครั้งก็วางหัวใจไว้ผิดตำแหน่ง…
ห้องโถงกว้างบัดนี้ดูแคบลงถนัดใจ เพราะคับคั่งด้วยแขกรับเชิญของทั้งสองฝ่าย สตรีในชุดสีงาช้างเกล้าผมทรงสูงประดับด้วยดอกไม้สีขาวเล็กๆ
ใบหน้าตกแต่งด้วยเครื่องสำอางโทนสีโอลโรส ยืนสงบนิ่งอยู่ใกล้กับบรุษร่างสูงในชุดสูทสากลสีอ่อน ดวงหน้าขาวภายใต้แว่นสายตา
เฉยเมย ขณะก้มศรีษะรับไหว้คำอวยพร
พิธีที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พลอยชมพูรู้สึกอ่อนล้า ใจสั่นรัวอย่างบอกไม่ถูก ท่ามกลางผู้คนมากมายเธอต้องฝืนยิ้มรับ ถ่ายรูปร่วมกับคนที่เธอไม่รู้จัก
หากทุกครั้งที่ก้าวย่าง สิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด คือร่างสูงสง่าที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ
หลายครั้งที่มือแข็งแรงนั้นเบนที่ถูกหลังมือของหญิงสาวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความอบอุ่นจึงถูกถ่ายเทเข้าสู่หัวใจของเธออย่างรวดเร็ว …
ค่อนดึกรถยนต์หลายคันก็พาคณะบุคคลกลับมายังบ้านหลังใหญ่ของชนน พิธีในตอนสุดท้ายของงานเลี้ยงที่ยาวนาน…
ห้องนอนเก่าของชายหนุ่มถูกรื้อตกแต่งเสียใหม่ แบ่งพื้นที่ห้องนอนกับนั่งเล่นเอาไว้อย่างเหมาะสม
ร่างสูงในชุดสูทสากลทรุดตัวลงนั่งพับเพียบเคียงข้างพลอยชมพู
“ยายพลอย…ตาตี๋ วันนี้ลูกทั้งสองคนได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว วิถีชีวิตของลูกทั้งสองอาจจะเปลี่ยนไป มีอะไรไม่เข้าก็ขอให้พูดคุยกัน”
คุณอารีรัตน์เริ่มขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยด้วยความปลาบปลื้มตามธรรมชาติของคนเป็นแม่ ที่ลูกยอมกระทำตามความต้องการของแม่อย่าง
ไม่บิดพริ้ว จากนั้นคุณทัศนาจึงสอดขึ้นเบาๆว่า
“ยายพลอย…มีอะไรก็เชื่อฟังพี่เขานะลูก อย่าดื้อ อย่ามั่นใจในตัวเองเกินเหตุ หนูแต่งงานแล้วเป็นคนของครอบครัวนี้แล้ว
ต้องเคารพและเชื่อฟังกติกาของที่นี่”
‘แต่งงานแล้ว’
คำนี้ผ่านเข้ามาในสมองดูลางเลือน เพราะความเหน็ดเหนื่อยงุนงง แม้ความจริงด้านหนึ่งเธอจะเฝ้ารอวันนี้ แต่อีกด้านหนึ่งเธอกลับใจหายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อต้องห่างจากอกพ่อแม่ เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของคฤหาสน์หลังนี้ ชีวิตนับตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป เธอคือคนของผู้ชายที่นั่งอยู่เคียงข้าง
… ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองทยอยกันเดินออกไปจากห้อง ประตูไม้หนาสีเข้มปิดลงกั้นเธอไว้จากภายโลกที่ไม่อาจกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งได้อีก!
ร่างสูงในชุดสูทสากลขยับตัวลุกขึ้น พลางถอนหายใจยาว หญิงสาวจึงขยับลุกขึ้นบ้าง ชั่วนาทีนั้นพลอยชมพูรู้สึกพื้นห้องเอียงวูบ
ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนติ้วราวลูกข่าง ร่างของเธอล้มฮวบลงบนพื้นอย่างแรง
“พลอย!”
กระไอหมอกสีขาวดูหนาทึบจนมองไม่เห็นทางเบื้องหน้า ความเย็นเยือกของอากาศแทรกซึมเข้าสู่ผิวกายจนหนาวสะท้าน หากสองขายังก้าวเดินต่อไป…เสียงหนึ่งดังแว่วอยู่ไกลแสนไกล พลอยชมพูพยายามเงี่ยหูฟัง หากเสียงนั้นกลับเงียบหาย มีเพียงเสียงลมพัดอู้เข้ามาแทนที่
“ใคร?...ใครเรียก…ใครกัน”
หญิงสาวตะโกนถาม แต่เสียงที่เปล่งออกไปเบาแทบกระซิบ หากเจ้าตัวก็ไม่ยอมแพ้พยายามตะโกนเรียกให้ดังสุดเสียง
“ใคร!”
เสียงสุดท้ายดังกังวานจนม่านหมอกหนาหายวับไปในทันที
“เป็นยังไงบ้าง?”
เสียงห้าวราบเรียบ ดวงตาคมภายใต้แว่นสีใสดูนิ่งสงบ
“พลอยเป็นอะไรคะพี่ตี๋? รู้แต่ว่าพื้นมันเอียงมาก อะไรต่ออะไรมันหมุนติ้วไปหมด”
คนพูดปรับสายตา ฝ้าเพดานสีอ่อน ผนังห้องสีขาวผ้าม่านสีครีมดูโปร่งโล่ง กลิ่นแอลกอฮอล์เจือจางอยู่ในความเย็นของเครื่องปรับอากาศ
…โรงพยาบาล!
“แพ้ยาลดความอ้วนฤทธิ์มันกดน้ำตาลในเลือดให้ต่ำ เกือบช๊อกแล้วล่ะนะถ้ามาโรงพยาบาลไม่ทัน”
‘คนป่วย’ หลบสายตาของคนพูดในทันใด รู้สึกละอายใจในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวเองยิ่งนัก เพราะความอยากสวย ทำให้เกือบตาย
เดือดร้อนถึง ‘คนอื่น’ ที่เขาอาจไม่เต็มใจมาเฝ้าไข้เท่าไร
“เดี๋ยวน้ำเกลือขวดนี้หมดก็กลับบ้านได้”
ชนนบอกคนบนเตียง ก่อนจะถอยไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โซฟามุมห้อง…พลอยชมพูหลับตาลงอีกครั้ง รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างความอบอุ่นที่เธอได้ใกล้ชิดเขาขนาดนี้ กับความเย็นชาที่เขาแสดงออกมา แต่ถึงกระนั้นหัวใจนักสู้ของหญิงสาวก็ยังไม่ยอมแพ้
เธอจะใช้ความใกล้ชิดตัวนี้ให้เป็นประโยชน์…ชีวิตคู่ที่เธอรู้สึกดีต่อเขาฝ่ายเดียว มันจะหอมหวาน ไม่ต่างจากคู่รักที่เขามีหัวใจตรงกัน…
ในตอนบ่ายพลอยชมพูและชนนก็กลับมาถึงบ้าน หญิงสาวยังมีความรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ จึงขอปลีกตัวขึ้นไปพักผ่อนบนห้องนอน
หลังจากตอบคำถามมากมายจากคุณอารีรัตน์ ซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนฐานะมาเป็น ‘แม่สามี’ อย่างสมบูรณ์แบบ
สภาพครอบครัวใหญ่ของคนไทยเชื้อสายจีน ยังเป็นอีกข้อหนึ่งที่พลอยชมพูจะต้องปรับตัว แม้แต่สภาพห้องนอนในขณะนี้
ที่ผิดแผกจากห้องเอนกประสงค์เล็กๆของเธอเมื่อครั้งยังเช่าคอนโดอยู่ ความกว้างใหญ่ของห้องได้แบ่งสัดส่วนของเตียงนอน
ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ และพื้นที่ทำแพนทรีเล็กๆ ความสะดวกสบายถูกนำมาจัดวางได้อย่างสวยงาม
ด้วยอำนาจของเงินตราที่เจ้าของบ้านมีมากมายนักหนา หญิงสาวทอดสายตามองกลีบกุหลาบสีหวานที่เดียวดายอยู่บนเตียงใหญ่
บางกลีบเริ่มช้ำและโรยราแสดงว่าเมื่อคืน ‘เขา’ ก็ไม่ได้เฉียดกายมา ณ ที่นี้เลย …เขาคงอยู่เฝ้าไข้เธอที่โรงพยาบาลทั้งคืน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความอบอุ่นก็แล่นปลาบเข้าจับขั้วหัวใจอีกครั้ง
“เป็นห่วงก็ไม่บอก…”
พลอยชมพูพึมพำกับตัวเอง พลางลงมือเก็บกลีบดอกกุหลาบเหล่านั้นอย่างเบามือ เธอจะรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีให้สมกับช่วงเวลาที่น่าจดจำ
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือบอกให้เธอลามือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่
“ฮัลโหล! เป็นไงจ๊ะเจ้าสาวหมาดๆ คืนแรกของการแต่งงาน”
เสียงปลายสายหัวเราะคิกคักตามมาเมื่อสิ้นประโยค
“เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา… บ้านหมุนเป็นลม”
“หา! หักโหมขนาดนั้นหรอกแก”
คนปลายสายอุทานเสียงลั่น พร้อมกับความคิดที่เตลิดออกไปไกล
“บ้า! ไม่ใช่เรื่องอย่างงั้นซะหน่อย ฉันแพ้ยาลดความอ้วนที่กินเข้าไปต่างหากล่ะ เลยต้องไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลเสียสามกระปุก…ชัดยัง!”
พลอยชมพูชี้แจงกับเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงกึ่งขำกึ่งฉุน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมักมโนภาพเกินจริงไปเสียทุกเรื่อง
“แล้วพี่ตี๋ของแกเค้าว่าไงล่ะ?”
***เสี้ยวเสน่หา บทที่ 3***
บทที่ 3
ร้านอาหารตกแต่งสไตล์อีโคเลียบถนนทางด่วนนอกเมือง ด้านหลังติดกับคลองส่งน้ำ อากาศในยามบ่ายคล้อยดูเงียบสงบ
ลูกค้าด้านในยังบางตาอยู่ ชนนก้าวเดินเข้าไปด้านในสุดซึ่งติดริมระเบียงที่ปลูกใกล้กับลำคลองเล็กๆ
“คิดว่าหาไม่เจอเสียแล้ว…นานเชียว…”
คนพูดทอดน้ำเสียงในตอนท้ายดูเง้างอน ดวงตาคมค้อนเจ้าของร่างสูงที่ทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม
“ไม่ค่อยได้มาแถวนี้ ทำไมเลือกร้านนี่ล่ะ”
“อยากลองเมนูแปลก ตำถั่วพูคลุกคอหมูย่าง ท่าทางจะแซ่บเว่อร์”
เตชิตกรีดนิ้วเหนือริมฝีปาก ดวงตาจับจ้องฝ่ายตรงข้าม ความใกล้ชิดตั้งแต่เยาว์วัยทำให้เขาเต็มใจที่จะคบหากับคนตรงหน้ามากกว่าใคร
ในกลุ่มเพื่อน ด้วยอุปนิสัยพูดน้อย ไม่ค่อยขัดเพื่อน… อยู่ใกล้ๆแล้วสบายใจหลายอย่าง แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป
ชนนกำลังจะแต่งงานกับญาติห่างๆที่ยายคุณแม่เจ้ากี้เจ้าการจัดหามาให้ มันอาจทำให้เขาไปมาหาสู่ยากยิ่งขึ้นไปอีก
เพราะไม่รู้ว่าชะนีตัวนั้นจะมีอิทธิฤทธิ์มากขนาดไหน
“ตกลงตี๋จะแต่งงานจริงๆเหรอ…”
คนเอ่ยถามเสียงหม่นเศร้า ดวงตาดำคมทอดมองละห้อย
“นายก็รู้จักม๊าดี เคยขัดใจได้ที่ไหน”
“ขัดใจสักครั้งไม่ได้หรือตี๋ เราไม่อยากให้นายแต่งงาน…เราคงจะเหงามาก…ถ้าไปไหนมาไหนกับนายไม่ได้ มาหานายที่บ้านไม่ได้”
“ชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยน”
“แน่ใจนะตี๋ ว่านายจะไม่เปลี่ยนไปหลังจากแต่งงาน”
เตชิตคาดคั้นเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมมีฝ้าละอองน้ำจับขึ้นมาชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไปเมื่อจานอาหารถูกนำมาวางบนโต๊ะ บทสนทนาจึงยุติลงเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มตักอาหารใส่จานของชนนอย่างเอาใจใส่ การดูแลเล็กๆน้อยๆเช่นนี้เตชิตมักทำได้ดีเสมอ ธรรมชาติบางครั้งก็วางหัวใจไว้ผิดตำแหน่ง…
ห้องโถงกว้างบัดนี้ดูแคบลงถนัดใจ เพราะคับคั่งด้วยแขกรับเชิญของทั้งสองฝ่าย สตรีในชุดสีงาช้างเกล้าผมทรงสูงประดับด้วยดอกไม้สีขาวเล็กๆ
ใบหน้าตกแต่งด้วยเครื่องสำอางโทนสีโอลโรส ยืนสงบนิ่งอยู่ใกล้กับบรุษร่างสูงในชุดสูทสากลสีอ่อน ดวงหน้าขาวภายใต้แว่นสายตา
เฉยเมย ขณะก้มศรีษะรับไหว้คำอวยพร
พิธีที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พลอยชมพูรู้สึกอ่อนล้า ใจสั่นรัวอย่างบอกไม่ถูก ท่ามกลางผู้คนมากมายเธอต้องฝืนยิ้มรับ ถ่ายรูปร่วมกับคนที่เธอไม่รู้จัก
หากทุกครั้งที่ก้าวย่าง สิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด คือร่างสูงสง่าที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ
หลายครั้งที่มือแข็งแรงนั้นเบนที่ถูกหลังมือของหญิงสาวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความอบอุ่นจึงถูกถ่ายเทเข้าสู่หัวใจของเธออย่างรวดเร็ว …
ค่อนดึกรถยนต์หลายคันก็พาคณะบุคคลกลับมายังบ้านหลังใหญ่ของชนน พิธีในตอนสุดท้ายของงานเลี้ยงที่ยาวนาน…
ห้องนอนเก่าของชายหนุ่มถูกรื้อตกแต่งเสียใหม่ แบ่งพื้นที่ห้องนอนกับนั่งเล่นเอาไว้อย่างเหมาะสม
ร่างสูงในชุดสูทสากลทรุดตัวลงนั่งพับเพียบเคียงข้างพลอยชมพู
“ยายพลอย…ตาตี๋ วันนี้ลูกทั้งสองคนได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว วิถีชีวิตของลูกทั้งสองอาจจะเปลี่ยนไป มีอะไรไม่เข้าก็ขอให้พูดคุยกัน”
คุณอารีรัตน์เริ่มขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยด้วยความปลาบปลื้มตามธรรมชาติของคนเป็นแม่ ที่ลูกยอมกระทำตามความต้องการของแม่อย่าง
ไม่บิดพริ้ว จากนั้นคุณทัศนาจึงสอดขึ้นเบาๆว่า
“ยายพลอย…มีอะไรก็เชื่อฟังพี่เขานะลูก อย่าดื้อ อย่ามั่นใจในตัวเองเกินเหตุ หนูแต่งงานแล้วเป็นคนของครอบครัวนี้แล้ว
ต้องเคารพและเชื่อฟังกติกาของที่นี่”
‘แต่งงานแล้ว’
คำนี้ผ่านเข้ามาในสมองดูลางเลือน เพราะความเหน็ดเหนื่อยงุนงง แม้ความจริงด้านหนึ่งเธอจะเฝ้ารอวันนี้ แต่อีกด้านหนึ่งเธอกลับใจหายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อต้องห่างจากอกพ่อแม่ เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของคฤหาสน์หลังนี้ ชีวิตนับตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป เธอคือคนของผู้ชายที่นั่งอยู่เคียงข้าง
… ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองทยอยกันเดินออกไปจากห้อง ประตูไม้หนาสีเข้มปิดลงกั้นเธอไว้จากภายโลกที่ไม่อาจกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งได้อีก!
ร่างสูงในชุดสูทสากลขยับตัวลุกขึ้น พลางถอนหายใจยาว หญิงสาวจึงขยับลุกขึ้นบ้าง ชั่วนาทีนั้นพลอยชมพูรู้สึกพื้นห้องเอียงวูบ
ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนติ้วราวลูกข่าง ร่างของเธอล้มฮวบลงบนพื้นอย่างแรง
“พลอย!”
กระไอหมอกสีขาวดูหนาทึบจนมองไม่เห็นทางเบื้องหน้า ความเย็นเยือกของอากาศแทรกซึมเข้าสู่ผิวกายจนหนาวสะท้าน หากสองขายังก้าวเดินต่อไป…เสียงหนึ่งดังแว่วอยู่ไกลแสนไกล พลอยชมพูพยายามเงี่ยหูฟัง หากเสียงนั้นกลับเงียบหาย มีเพียงเสียงลมพัดอู้เข้ามาแทนที่
“ใคร?...ใครเรียก…ใครกัน”
หญิงสาวตะโกนถาม แต่เสียงที่เปล่งออกไปเบาแทบกระซิบ หากเจ้าตัวก็ไม่ยอมแพ้พยายามตะโกนเรียกให้ดังสุดเสียง
“ใคร!”
เสียงสุดท้ายดังกังวานจนม่านหมอกหนาหายวับไปในทันที
“เป็นยังไงบ้าง?”
เสียงห้าวราบเรียบ ดวงตาคมภายใต้แว่นสีใสดูนิ่งสงบ
“พลอยเป็นอะไรคะพี่ตี๋? รู้แต่ว่าพื้นมันเอียงมาก อะไรต่ออะไรมันหมุนติ้วไปหมด”
คนพูดปรับสายตา ฝ้าเพดานสีอ่อน ผนังห้องสีขาวผ้าม่านสีครีมดูโปร่งโล่ง กลิ่นแอลกอฮอล์เจือจางอยู่ในความเย็นของเครื่องปรับอากาศ
…โรงพยาบาล!
“แพ้ยาลดความอ้วนฤทธิ์มันกดน้ำตาลในเลือดให้ต่ำ เกือบช๊อกแล้วล่ะนะถ้ามาโรงพยาบาลไม่ทัน”
‘คนป่วย’ หลบสายตาของคนพูดในทันใด รู้สึกละอายใจในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวเองยิ่งนัก เพราะความอยากสวย ทำให้เกือบตาย
เดือดร้อนถึง ‘คนอื่น’ ที่เขาอาจไม่เต็มใจมาเฝ้าไข้เท่าไร
“เดี๋ยวน้ำเกลือขวดนี้หมดก็กลับบ้านได้”
ชนนบอกคนบนเตียง ก่อนจะถอยไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โซฟามุมห้อง…พลอยชมพูหลับตาลงอีกครั้ง รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างความอบอุ่นที่เธอได้ใกล้ชิดเขาขนาดนี้ กับความเย็นชาที่เขาแสดงออกมา แต่ถึงกระนั้นหัวใจนักสู้ของหญิงสาวก็ยังไม่ยอมแพ้
เธอจะใช้ความใกล้ชิดตัวนี้ให้เป็นประโยชน์…ชีวิตคู่ที่เธอรู้สึกดีต่อเขาฝ่ายเดียว มันจะหอมหวาน ไม่ต่างจากคู่รักที่เขามีหัวใจตรงกัน…
ในตอนบ่ายพลอยชมพูและชนนก็กลับมาถึงบ้าน หญิงสาวยังมีความรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ จึงขอปลีกตัวขึ้นไปพักผ่อนบนห้องนอน
หลังจากตอบคำถามมากมายจากคุณอารีรัตน์ ซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนฐานะมาเป็น ‘แม่สามี’ อย่างสมบูรณ์แบบ
สภาพครอบครัวใหญ่ของคนไทยเชื้อสายจีน ยังเป็นอีกข้อหนึ่งที่พลอยชมพูจะต้องปรับตัว แม้แต่สภาพห้องนอนในขณะนี้
ที่ผิดแผกจากห้องเอนกประสงค์เล็กๆของเธอเมื่อครั้งยังเช่าคอนโดอยู่ ความกว้างใหญ่ของห้องได้แบ่งสัดส่วนของเตียงนอน
ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ และพื้นที่ทำแพนทรีเล็กๆ ความสะดวกสบายถูกนำมาจัดวางได้อย่างสวยงาม
ด้วยอำนาจของเงินตราที่เจ้าของบ้านมีมากมายนักหนา หญิงสาวทอดสายตามองกลีบกุหลาบสีหวานที่เดียวดายอยู่บนเตียงใหญ่
บางกลีบเริ่มช้ำและโรยราแสดงว่าเมื่อคืน ‘เขา’ ก็ไม่ได้เฉียดกายมา ณ ที่นี้เลย …เขาคงอยู่เฝ้าไข้เธอที่โรงพยาบาลทั้งคืน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความอบอุ่นก็แล่นปลาบเข้าจับขั้วหัวใจอีกครั้ง
“เป็นห่วงก็ไม่บอก…”
พลอยชมพูพึมพำกับตัวเอง พลางลงมือเก็บกลีบดอกกุหลาบเหล่านั้นอย่างเบามือ เธอจะรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีให้สมกับช่วงเวลาที่น่าจดจำ
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือบอกให้เธอลามือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่
“ฮัลโหล! เป็นไงจ๊ะเจ้าสาวหมาดๆ คืนแรกของการแต่งงาน”
เสียงปลายสายหัวเราะคิกคักตามมาเมื่อสิ้นประโยค
“เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา… บ้านหมุนเป็นลม”
“หา! หักโหมขนาดนั้นหรอกแก”
คนปลายสายอุทานเสียงลั่น พร้อมกับความคิดที่เตลิดออกไปไกล
“บ้า! ไม่ใช่เรื่องอย่างงั้นซะหน่อย ฉันแพ้ยาลดความอ้วนที่กินเข้าไปต่างหากล่ะ เลยต้องไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลเสียสามกระปุก…ชัดยัง!”
พลอยชมพูชี้แจงกับเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงกึ่งขำกึ่งฉุน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมักมโนภาพเกินจริงไปเสียทุกเรื่อง
“แล้วพี่ตี๋ของแกเค้าว่าไงล่ะ?”