สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศนามิเบียซึ่งเป็นการเยือนแอฟริกาครั้งที่สองของผมครับ เลยอยากแชร์ข้อมูล และประสบการณ์จากทริป 13 วันของผม เผื่อมีใครสนใจจะมาเที่ยว หรืออยากรู้จักประเทศนี้มากขึ้นครับ
นามิเบีย เป็นประเทศที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 2/3 เท่า แต่มีประชากรแค่ 2 ล้านคนเศษ ด้านทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก มีพรมแดนติดกับประเทศแองโกล่า, แอฟริกาใต้, แซมเบีย, ซิมบับเว และบอตสวานา ประชากรส่วนใหญ่ ประมาณ 80-90% นับถือศาสนาคริสต์

ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองของเยอรมัน ตั้งแต่ปี 1884 โดยมีชื่อว่า German South-West Africa ยกเว้น Walvis Bay (ส่วนตะวันตกของประเทศที่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก) ที่ถูกยึดครองโดยอังกฤษ จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1914 ประเทศได้ถูกผนวกรวมกับประเทศแอฟริกาใต้ และอยู่ภายใต้การปกครองมายาวนาน จนได้รับเอกราชเมื่อปี 1990
ชื่อ นามิเบีย นั้นมาจากชื่อของทะเลทราย Namib ทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก หมายความว่า “ที่อันกว้างใหญ่”
ทุกวันนี้ เรายังคงเห็นความเป็นเยอรมันอยู่ใน นามิเบีย ไม่ว่าจะเป็น สถาปัตยกรรม และภาษา ที่ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำธุรกิจ และประชากรเชื้อสายยุโรปที่มีอยู่ประมาณ 9-10%
พูดภาษาอะไร?
นามิเบีย มีภาษาท้องถิ่นหลากหลาย แต่ภาษาราชการ คือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาอื่นๆที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ ภาษาเยอรมัน และภาษาแอฟริกันส์
ทำไมถึงไป?
เมื่อปีที่แล้วผมได้มีโอกาสไปเยือนประเทศในแอฟริกาเป็นครั้งแรก คือ เอธิโอเปีย แล้วรู้สึกหลงเสน่ห์ครับ ถึงแม้จะไม่สะดวกสบาย (ค่อนไปทางลำบาก) เพราะประสบการณ์ที่ได้นั้นไม่เหมือนประเทศยุโรป หรือเอเชียที่เคยไปมา หลังจากกลับมา ก็แพลนไว้เลยว่าต้องกลับไปแอฟริกาอีก มีประเทศในใจหลายๆที่ แต่มาจบลงที่ นามิเบียครับ
มีอะไรให้เที่ยว?
ถ้าพูดถึงแอฟริกา ทุกคนก็จะคิดถึงซาฟารี และชนเผ่าต่างๆ ใช่ครับ นามิเบียก็เป็นเช่นนั้น แต่ Highlight อื่นที่สำคัญของประเทศนี้ ก็คือ UNESCO World Heritage Site 2 แห่ง คือ Namib Sand Sea และ Twyfelfontein ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดถึงภายหลังครับ

แล้วร้อน แห้งแล้งมั้ย?
อากาศที่นี่จะแห้งๆ ไม่ชื้นแบบไทยครับ ช่วงที่ผมไปเป็นหน้าฝนซึ่งเท่ากับหน้าร้อนเค้าครับ กลางวันก็ 30 กว่าๆถึง 40 องศา ไม่ต่างจากบ้านเรามาก แต่แดดแรงสุดๆ ส่วนตอนกลางคืนอากาศเย็นครับ 10 กว่าองศา สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่จะเป็นทะเลทรายครับ แต่ทางตอนเหนือเป็นแบบกึ่งทะเลทราย จะมีพื้นที่สีเขียวให้ได้เห็นบ้างครับ
เจริญเหรอ จะมีอะไรให้กินรึเปล่า?
ค่อนข้างเจริญครับ ในตัวเมือง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ห้าง ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารดีๆ มีครบครับ แต่ถ้าออกจากตัวเมืองก็จะลำบากหน่อย 2 ข้างทางจะไม่มีอะไรเลย ต้องกินอยู่ในที่พักแทนครับ
อาหารของที่นี่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกพอสมควรครับ แต่ละมื้อก็จะเน้นเนื้อ เอามาทำสเต๊กบ้าง ตุ๋นบ้าง นอกจากเนื้อวัว ก็จะเป็นเนื้อ Game พวก Springbok, Kudu และ Oryx เป็นต้นครับ
HDI ของนามิเบีย อยู่อันดับต้นๆของแอฟริกาครับ
ปลอดภัยรึเปล่า?
หลายประเทศในแอฟริกา ยังคงมีปัญหาการเมืองภายใน ความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ สถิติอาชกรรมที่สูงอันเนื่องมาจากความยากจน จึงไม่ปลอดภัยนักสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ นามิเบีย นั้นไม่มีปัญหาเหล่านี้ และเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในแอฟริกา
พอไปจริงๆ ก็รู้สึกปลอดภัยครับ ไปไหนมาไหนได้สบาย แต่..ก็เหมือนทุกที่ครับ ก็ต้องคอยสังเกต คอยระวังตัวตลอดเวลา อันไหนคิดว่าไม่ปลอดภัยก็เลี่ยง ที่กวนใจจริงๆ ก็จะเป็นพวก Tourist Scams มากกว่าครับ ที่เจอบ่อย คือ ตามปั๊มน้ำมัน จะมีคนมาชวนคุย ตีสนิท สักพักก็จะเสนอขายพวงกุญแจที่ทำจาก Nuts ในราคาสูง ถ้าใครเจอให้ปฏิเสธไปเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ
ห้องน้ำสะอาดมั้ย?
ห้องน้ำในที่พัก ในเมือง หรือตามจุดแวะพัก ปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่ ค่อนข้างดีครับ จะมีบ้างตามแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ห่างไกล จะไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ แต่โดยรวมถือว่าโอเคครับ ไม่น่าเป็นปัญหา โดยเฉพาะกับสุภาพสตรี
ไปยังไง?
เที่ยวบินตรงมายัง Windhoek จากไทยนั้นไม่มี จะต้อง Transit ที่ประเทศอื่นๆก่อน ซึ่งเที่ยวบินจากแอฟริกาใต้ทั้ง Cape Town และ Johannesburg มีเยอะที่สุด ปัจจุบันไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพแล้ว ทำให้ผมต้องบิน 3 Flights กว่าจะถึงครับ
ขาไป: Bangkok - Addis Ababa (~9 Hours) - Johannesburg (~5.20 Hours) via Ethiopian Airlines - Windhoek (~2 Hours) via Air นามิเบีย
ขากลับ: Windhoek - Johannesburg (~2 Hours) via Air นามิเบีย - Nairobi (~4 Hours) - Bangkok (~9 Hours) via Kenya Airways
แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Qatar Airways เพิ่งเปิดเที่ยวบินตรงจาก Doha และ Ethiopian Airlines ก็มีเที่ยวบินต่อมายัง Windhoek via Gaborone เช่นกัน ต่อไปถ้าใครจะมาก็สะดวกขึ้น ซื้อตั๋วทีเดียว ไม่ต้องซื้อแยก และราคาน่าจะถูกกว่าด้วยครับ
ขอวีซ่ามั้ย แล้วขอยังไง?
สำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปยัง นามิเบีย ต้องขอวีซ่าก่อนครับ ซึ่งเราต้องส่งพาสปอร์ต เอกสาร และค่าวีซ่า 75 USD ต่อคน (เงินสด) ไปยังสถานทูตที่กัวลาลัมเปอร์ครับ เวลาดำเนินการไม่เกิน 2-3 วันทำการ แต่ควรจะเผื่อเวลาไว้สำหรับการจัดส่งด้วยครับ ค่าจัดส่งไป-กลับของ FedEx เกือบๆ 2000 บาทครับ
ใช้เงินอะไร แล้วแลกที่ไหน?
นามิเบีย ใช้สกุลเงิน Namibian Dollar (NAD) เนื่องจากนามิเบียอยู่ใน Common Monetary Area (CMA) ซึ่งประกอบด้วย แอฟริกาใต้, นามิเบีย, สวาซิแลนด์ และเลโซโท อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินของประเทศเหล่านี้จะเป็น 1:1 และสามารถใช้เงิน South African Rand (ZAR) ได้ในทุกประเทศ
ร้านแลกเงินสีเขียว สีส้มที่นิยมกัน มีให้แลกเงิน ZAR ครับ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 2.5 THB : 1 ZAR เราสามารถใช้จ่ายได้ที่นามิเบียเลยครับ เค้าจะทอนกลับเป็นเงิน NAD ครับ แต่..อย่าลืมใช้เงิน NAD ให้หมด หรือแลกเป็น ZAR ก่อนกลับนะครับ เพราะเอามาแลกกลับเป็นเงินไทย
ที่สำคัญ มี 3G มั้ย แล้วซื้อที่ไหน?
ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือมีอยู่ 2 รายครับ MTC คือรายแรก และรายใหญ่ที่สุดของประเทศ และ TN Mobile ซึ่งสามารถใช้บริการ Roaming เครือข่ายมือถือไทยที่ผมใช้อยู่ได้ ทั้ง 2 เครือข่ายนั้นให้บริการ 4G/LTE เนื่องจาก VAT ที่ Namibia นั้น 15% ดังนั้น เมื่อเติมเงิน ต้องเผื่อไว้อีก 15% ไปด้วย
สำหรับนักท่องเที่ยว สามารถหาซื้อ Sim Card ของ MTC ได้ที่ร้าน Mobile Homes ซึ่งมีตามเมืองใหญ่ๆ และในสนามบิน Windhoek Husea Kutako Airport (WDH) ตรงทางออกครับ
โดยสามารถซื้อ Pre-paid Sim Card ที่เรียกว่า Tango ราคา 6.99 NAD หรือ MTC Traveller Sim Card ราคา 19.95 NAD ซึ่งจะได้เครดิตมาด้วย 19 NAD

ราคา Data Bundle จะเป็นตามตารางครับ ซึ่งถือว่าราคาสูงพอสมควร

Package ที่น่าจะคุ้มที่สุด คือ “Aweh Gig Package” ซึ่ง โทรฟรีได้ 100 นาที, ฟรี 700 SMS และ 1 GB Data ใช้ได้ 7 วัน ที่ราคา 35 NAD แต่ถ้า Data หมด จะสมัคร Package นี้ได้อีกครั้ง ต้องรอใช้งานครบ 7 วันก่อน ผมเลยซื้อซิมเปล่ามาอีกอัน เผื่อว่าอันแรกเน็ตหมดก่อน 7 วัน ก็เปลี่ยนมาใช้อันนี้แทนครับ
สัญญาณ 3G/4G ส่วนใหญ่จะมีแค่ในตัวเมืองใหญ่ ถ้าออกนอกเมือง ก็จะเป็น EDGE (2G) หรือว่าไม่มีสัญญาณเลยครับ แต่ว่าที่พักส่วนใหญ่ก็จะมี Wifi ให้ใช้ ซึ่งเร็วบ้าง ช้าบ้าง ติดๆหลุดๆ ไม่เสถียรเท่าบ้านเราครับ
เตรียมตัวยังไงบ้าง?
เหมือนไปเที่ยวทั่วไปครับ เสื้อผ้าก็เน้นเสื้อยืด ขาสั้น เพราะอากาศร้อน มีเสื้อแขนยาว และขายาวเผื่อไว้บ้างเวลาออกแดดนานๆครับ รองเท้าจะมี Trekking Shoes ไว้สำหรับเดินดูธรรมชาติ รองเท้าผ้าใบสำหรับเที่ยวในเมืองครับ ที่ขาดไม่ได้ ครีมกันแดด และโลชั่น ถึงผมจะไม่ค่อยชอบ เพราะมันเหนาะหนะ แต่ถ้าไม่ใช้รับรองเกรียม และผิวแตกแน่ครับ และอีกอย่างที่ควรเตรียมไว้ คือ สเปรย์กันยุงครับ แต่..ผมเจอยุงจริงๆแค่ 2-3 วันเองครับ
อ้อ..ลืมไป ต้องไม่ลืมยาสามัญด้วยครับ โดยเฉพาะยาแก้ท้องเสีย ผมไม่เคยมีปัญหาเรื่อง Traveler's Diarrhea จนกระทั่งปีที่แล้วที่เอธิโอเปียครับ Imodium ที่เตรียมไปแค่แผงเดียวเอาไม่อยู่ จะไปหาซื้อ ก็ไม่มีร้านขายยา เภสัชก็ไม่มี ทรมานไป 4 วันกว่าจะหาย มาครั้งนี้เลยจัดเต็มทุกขนาน แต่..อาหารที่นี่ถูกสุขลักษณะครับ ร้านขายยาก็มี ไม่น่ากังวล
ต้องฉีดวัคซีนรึเปล่า?
ใครที่จะเดินทางไปแอฟริกา อย่างน้อยควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้เหลืองครับ ซึ่งผมฉีดก่อนไปเอธิโอเปีย พร้อมกับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น และไข้หวัดใหญ่ครับ แม้ว่าพาหะจะลดลงแต่การระบาดก็ยังมีครับ อย่างเช่น ในแองโกล่าเมื่อปีที่แล้ว
ผมได้มีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่สุวรรณภูมิมาครับ เค้าก็ยอมรับว่ายากที่จะให้ทุกคนฉีดวัคซีน และรายงานเมื่อเดินทางกลับมาจากแอฟริกาครับ แต่ก็พยายามประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือ
เค้าเล่าว่า มีเคสนึง เป็นแรงงานไทยไปทำงานในแอฟริกา แล้วไม่ได้ฉีดวัคซีนไป พอรู้สึกว่าป่วยหนักก็เลยเดินทางกลับ มาถึงสนามบินก็มารายงานตัว และล้มฟุบไปต่อหน้าเจ้าหน้าที่เลย แล้วไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลครับ สรุปว่าเป็นไข้กาฬหลังแอ่น สุดท้ายต้องติดตามตัวผู้โดยสารที่เดินทางมาด้วย และกักตัวครับ ฉะนั้นป้องกันไว้ก่อนก็ดีครับ ปลอดภัยทั้งเรา และส่วนรวม
มีอะไรควรรู้อีกมั้ย?
- อัตราการติดเชื้อ HIV ของประชากรในประเทศสูงถึง 16%! (ประเทศไทย 1% กว่าๆ)
- เคยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นอันดับ 1 มาก่อน! สาเหตุหลักมาจากแอลกอฮอล์ และสภาพถนน ทำให้มีกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังบ่ายโมงวันเสาร์ วันอาทิตย์ทั้งวัน และวันหยุดนักขัตฤกษ์ครับ
- ที่นี่ใช้ Type M Socket เหมือน South Africa มีลักษณะเป็นแท่งกลมๆ 3 แท่งเหมือน Type D แต่ว่าใหญ่กว่า พวก Universal Adaptor จะไม่มี Socket นี้ โรงแรมส่วนใหญ่จะมี Socket D ให้ 1 จุด แต่บางทีอยู่ในห้องน้ำ จะชาร์จอะไรก็ไม่ค่อยสะดวกครับ มาถึงแล้ว หาซื้อไว้สักอันก็ดีครับ
เที่ยวยังไง?
พูดถึงการเที่ยวในแอฟริกานั้น มีหลายทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น Guided Tour, Fly-In Tour หรือ Self-Drive Tour คือ การขับรถเที่ยวเองซึ่งเป็นตัวเลือกที่สะดวก และค่อนข้างประหยัดครับ แค่เราต้องคุยกับ Tour Operator ก่อนว่ามีงบประมาณเท่าไหร่, มีเวลากี่วัน และสถานที่หลักที่ต้องการไป เค้าก็จะจัดการจองรถ จองที่พัก และแพลนตารางเดินทางมาให้ครับ พอเรามาถึงก็รับรถ แล้วขับเที่ยวเองเลย ซึ่งผมก็ใช้ตัวเลือกนี้ครับ
พักที่ไหน?
ในเมืองผมจะพัก Guest House ครับ ส่วนนอกเมืองจะพัก Lodge ครับ ซึ่งราคาห้องพักที่ Lodge จะค่อนข้างสูงครับ เพราะเหมือนที่บอกครับ ถ้าออกนอกเมืองเมื่อไหร่จะไม่มีอะไรเลย เค้าเลยต้องจัดเต็ม Facilities และ Services ให้กับแขกครับ
เดี๋ยวมาเล่าต่อนะครับ...
นามิเบีย ไปเถอะ!
นามิเบีย เป็นประเทศที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 2/3 เท่า แต่มีประชากรแค่ 2 ล้านคนเศษ ด้านทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก มีพรมแดนติดกับประเทศแองโกล่า, แอฟริกาใต้, แซมเบีย, ซิมบับเว และบอตสวานา ประชากรส่วนใหญ่ ประมาณ 80-90% นับถือศาสนาคริสต์
ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองของเยอรมัน ตั้งแต่ปี 1884 โดยมีชื่อว่า German South-West Africa ยกเว้น Walvis Bay (ส่วนตะวันตกของประเทศที่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก) ที่ถูกยึดครองโดยอังกฤษ จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1914 ประเทศได้ถูกผนวกรวมกับประเทศแอฟริกาใต้ และอยู่ภายใต้การปกครองมายาวนาน จนได้รับเอกราชเมื่อปี 1990
ชื่อ นามิเบีย นั้นมาจากชื่อของทะเลทราย Namib ทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก หมายความว่า “ที่อันกว้างใหญ่”
ทุกวันนี้ เรายังคงเห็นความเป็นเยอรมันอยู่ใน นามิเบีย ไม่ว่าจะเป็น สถาปัตยกรรม และภาษา ที่ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำธุรกิจ และประชากรเชื้อสายยุโรปที่มีอยู่ประมาณ 9-10%
พูดภาษาอะไร?
นามิเบีย มีภาษาท้องถิ่นหลากหลาย แต่ภาษาราชการ คือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาอื่นๆที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ ภาษาเยอรมัน และภาษาแอฟริกันส์
ทำไมถึงไป?
เมื่อปีที่แล้วผมได้มีโอกาสไปเยือนประเทศในแอฟริกาเป็นครั้งแรก คือ เอธิโอเปีย แล้วรู้สึกหลงเสน่ห์ครับ ถึงแม้จะไม่สะดวกสบาย (ค่อนไปทางลำบาก) เพราะประสบการณ์ที่ได้นั้นไม่เหมือนประเทศยุโรป หรือเอเชียที่เคยไปมา หลังจากกลับมา ก็แพลนไว้เลยว่าต้องกลับไปแอฟริกาอีก มีประเทศในใจหลายๆที่ แต่มาจบลงที่ นามิเบียครับ
มีอะไรให้เที่ยว?
ถ้าพูดถึงแอฟริกา ทุกคนก็จะคิดถึงซาฟารี และชนเผ่าต่างๆ ใช่ครับ นามิเบียก็เป็นเช่นนั้น แต่ Highlight อื่นที่สำคัญของประเทศนี้ ก็คือ UNESCO World Heritage Site 2 แห่ง คือ Namib Sand Sea และ Twyfelfontein ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดถึงภายหลังครับ
แล้วร้อน แห้งแล้งมั้ย?
อากาศที่นี่จะแห้งๆ ไม่ชื้นแบบไทยครับ ช่วงที่ผมไปเป็นหน้าฝนซึ่งเท่ากับหน้าร้อนเค้าครับ กลางวันก็ 30 กว่าๆถึง 40 องศา ไม่ต่างจากบ้านเรามาก แต่แดดแรงสุดๆ ส่วนตอนกลางคืนอากาศเย็นครับ 10 กว่าองศา สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่จะเป็นทะเลทรายครับ แต่ทางตอนเหนือเป็นแบบกึ่งทะเลทราย จะมีพื้นที่สีเขียวให้ได้เห็นบ้างครับ
เจริญเหรอ จะมีอะไรให้กินรึเปล่า?
ค่อนข้างเจริญครับ ในตัวเมือง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ห้าง ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารดีๆ มีครบครับ แต่ถ้าออกจากตัวเมืองก็จะลำบากหน่อย 2 ข้างทางจะไม่มีอะไรเลย ต้องกินอยู่ในที่พักแทนครับ
อาหารของที่นี่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกพอสมควรครับ แต่ละมื้อก็จะเน้นเนื้อ เอามาทำสเต๊กบ้าง ตุ๋นบ้าง นอกจากเนื้อวัว ก็จะเป็นเนื้อ Game พวก Springbok, Kudu และ Oryx เป็นต้นครับ
HDI ของนามิเบีย อยู่อันดับต้นๆของแอฟริกาครับ
ปลอดภัยรึเปล่า?
หลายประเทศในแอฟริกา ยังคงมีปัญหาการเมืองภายใน ความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ สถิติอาชกรรมที่สูงอันเนื่องมาจากความยากจน จึงไม่ปลอดภัยนักสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ นามิเบีย นั้นไม่มีปัญหาเหล่านี้ และเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในแอฟริกา
พอไปจริงๆ ก็รู้สึกปลอดภัยครับ ไปไหนมาไหนได้สบาย แต่..ก็เหมือนทุกที่ครับ ก็ต้องคอยสังเกต คอยระวังตัวตลอดเวลา อันไหนคิดว่าไม่ปลอดภัยก็เลี่ยง ที่กวนใจจริงๆ ก็จะเป็นพวก Tourist Scams มากกว่าครับ ที่เจอบ่อย คือ ตามปั๊มน้ำมัน จะมีคนมาชวนคุย ตีสนิท สักพักก็จะเสนอขายพวงกุญแจที่ทำจาก Nuts ในราคาสูง ถ้าใครเจอให้ปฏิเสธไปเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ
ห้องน้ำสะอาดมั้ย?
ห้องน้ำในที่พัก ในเมือง หรือตามจุดแวะพัก ปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่ ค่อนข้างดีครับ จะมีบ้างตามแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ห่างไกล จะไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ แต่โดยรวมถือว่าโอเคครับ ไม่น่าเป็นปัญหา โดยเฉพาะกับสุภาพสตรี
ไปยังไง?
เที่ยวบินตรงมายัง Windhoek จากไทยนั้นไม่มี จะต้อง Transit ที่ประเทศอื่นๆก่อน ซึ่งเที่ยวบินจากแอฟริกาใต้ทั้ง Cape Town และ Johannesburg มีเยอะที่สุด ปัจจุบันไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพแล้ว ทำให้ผมต้องบิน 3 Flights กว่าจะถึงครับ
ขาไป: Bangkok - Addis Ababa (~9 Hours) - Johannesburg (~5.20 Hours) via Ethiopian Airlines - Windhoek (~2 Hours) via Air นามิเบีย
ขากลับ: Windhoek - Johannesburg (~2 Hours) via Air นามิเบีย - Nairobi (~4 Hours) - Bangkok (~9 Hours) via Kenya Airways
แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Qatar Airways เพิ่งเปิดเที่ยวบินตรงจาก Doha และ Ethiopian Airlines ก็มีเที่ยวบินต่อมายัง Windhoek via Gaborone เช่นกัน ต่อไปถ้าใครจะมาก็สะดวกขึ้น ซื้อตั๋วทีเดียว ไม่ต้องซื้อแยก และราคาน่าจะถูกกว่าด้วยครับ
ขอวีซ่ามั้ย แล้วขอยังไง?
สำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปยัง นามิเบีย ต้องขอวีซ่าก่อนครับ ซึ่งเราต้องส่งพาสปอร์ต เอกสาร และค่าวีซ่า 75 USD ต่อคน (เงินสด) ไปยังสถานทูตที่กัวลาลัมเปอร์ครับ เวลาดำเนินการไม่เกิน 2-3 วันทำการ แต่ควรจะเผื่อเวลาไว้สำหรับการจัดส่งด้วยครับ ค่าจัดส่งไป-กลับของ FedEx เกือบๆ 2000 บาทครับ
ใช้เงินอะไร แล้วแลกที่ไหน?
นามิเบีย ใช้สกุลเงิน Namibian Dollar (NAD) เนื่องจากนามิเบียอยู่ใน Common Monetary Area (CMA) ซึ่งประกอบด้วย แอฟริกาใต้, นามิเบีย, สวาซิแลนด์ และเลโซโท อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินของประเทศเหล่านี้จะเป็น 1:1 และสามารถใช้เงิน South African Rand (ZAR) ได้ในทุกประเทศ
ร้านแลกเงินสีเขียว สีส้มที่นิยมกัน มีให้แลกเงิน ZAR ครับ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 2.5 THB : 1 ZAR เราสามารถใช้จ่ายได้ที่นามิเบียเลยครับ เค้าจะทอนกลับเป็นเงิน NAD ครับ แต่..อย่าลืมใช้เงิน NAD ให้หมด หรือแลกเป็น ZAR ก่อนกลับนะครับ เพราะเอามาแลกกลับเป็นเงินไทย
ที่สำคัญ มี 3G มั้ย แล้วซื้อที่ไหน?
ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือมีอยู่ 2 รายครับ MTC คือรายแรก และรายใหญ่ที่สุดของประเทศ และ TN Mobile ซึ่งสามารถใช้บริการ Roaming เครือข่ายมือถือไทยที่ผมใช้อยู่ได้ ทั้ง 2 เครือข่ายนั้นให้บริการ 4G/LTE เนื่องจาก VAT ที่ Namibia นั้น 15% ดังนั้น เมื่อเติมเงิน ต้องเผื่อไว้อีก 15% ไปด้วย
สำหรับนักท่องเที่ยว สามารถหาซื้อ Sim Card ของ MTC ได้ที่ร้าน Mobile Homes ซึ่งมีตามเมืองใหญ่ๆ และในสนามบิน Windhoek Husea Kutako Airport (WDH) ตรงทางออกครับ
โดยสามารถซื้อ Pre-paid Sim Card ที่เรียกว่า Tango ราคา 6.99 NAD หรือ MTC Traveller Sim Card ราคา 19.95 NAD ซึ่งจะได้เครดิตมาด้วย 19 NAD
ราคา Data Bundle จะเป็นตามตารางครับ ซึ่งถือว่าราคาสูงพอสมควร
Package ที่น่าจะคุ้มที่สุด คือ “Aweh Gig Package” ซึ่ง โทรฟรีได้ 100 นาที, ฟรี 700 SMS และ 1 GB Data ใช้ได้ 7 วัน ที่ราคา 35 NAD แต่ถ้า Data หมด จะสมัคร Package นี้ได้อีกครั้ง ต้องรอใช้งานครบ 7 วันก่อน ผมเลยซื้อซิมเปล่ามาอีกอัน เผื่อว่าอันแรกเน็ตหมดก่อน 7 วัน ก็เปลี่ยนมาใช้อันนี้แทนครับ
สัญญาณ 3G/4G ส่วนใหญ่จะมีแค่ในตัวเมืองใหญ่ ถ้าออกนอกเมือง ก็จะเป็น EDGE (2G) หรือว่าไม่มีสัญญาณเลยครับ แต่ว่าที่พักส่วนใหญ่ก็จะมี Wifi ให้ใช้ ซึ่งเร็วบ้าง ช้าบ้าง ติดๆหลุดๆ ไม่เสถียรเท่าบ้านเราครับ
เตรียมตัวยังไงบ้าง?
เหมือนไปเที่ยวทั่วไปครับ เสื้อผ้าก็เน้นเสื้อยืด ขาสั้น เพราะอากาศร้อน มีเสื้อแขนยาว และขายาวเผื่อไว้บ้างเวลาออกแดดนานๆครับ รองเท้าจะมี Trekking Shoes ไว้สำหรับเดินดูธรรมชาติ รองเท้าผ้าใบสำหรับเที่ยวในเมืองครับ ที่ขาดไม่ได้ ครีมกันแดด และโลชั่น ถึงผมจะไม่ค่อยชอบ เพราะมันเหนาะหนะ แต่ถ้าไม่ใช้รับรองเกรียม และผิวแตกแน่ครับ และอีกอย่างที่ควรเตรียมไว้ คือ สเปรย์กันยุงครับ แต่..ผมเจอยุงจริงๆแค่ 2-3 วันเองครับ
อ้อ..ลืมไป ต้องไม่ลืมยาสามัญด้วยครับ โดยเฉพาะยาแก้ท้องเสีย ผมไม่เคยมีปัญหาเรื่อง Traveler's Diarrhea จนกระทั่งปีที่แล้วที่เอธิโอเปียครับ Imodium ที่เตรียมไปแค่แผงเดียวเอาไม่อยู่ จะไปหาซื้อ ก็ไม่มีร้านขายยา เภสัชก็ไม่มี ทรมานไป 4 วันกว่าจะหาย มาครั้งนี้เลยจัดเต็มทุกขนาน แต่..อาหารที่นี่ถูกสุขลักษณะครับ ร้านขายยาก็มี ไม่น่ากังวล
ต้องฉีดวัคซีนรึเปล่า?
ใครที่จะเดินทางไปแอฟริกา อย่างน้อยควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้เหลืองครับ ซึ่งผมฉีดก่อนไปเอธิโอเปีย พร้อมกับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น และไข้หวัดใหญ่ครับ แม้ว่าพาหะจะลดลงแต่การระบาดก็ยังมีครับ อย่างเช่น ในแองโกล่าเมื่อปีที่แล้ว
ผมได้มีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่สุวรรณภูมิมาครับ เค้าก็ยอมรับว่ายากที่จะให้ทุกคนฉีดวัคซีน และรายงานเมื่อเดินทางกลับมาจากแอฟริกาครับ แต่ก็พยายามประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือ
เค้าเล่าว่า มีเคสนึง เป็นแรงงานไทยไปทำงานในแอฟริกา แล้วไม่ได้ฉีดวัคซีนไป พอรู้สึกว่าป่วยหนักก็เลยเดินทางกลับ มาถึงสนามบินก็มารายงานตัว และล้มฟุบไปต่อหน้าเจ้าหน้าที่เลย แล้วไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลครับ สรุปว่าเป็นไข้กาฬหลังแอ่น สุดท้ายต้องติดตามตัวผู้โดยสารที่เดินทางมาด้วย และกักตัวครับ ฉะนั้นป้องกันไว้ก่อนก็ดีครับ ปลอดภัยทั้งเรา และส่วนรวม
มีอะไรควรรู้อีกมั้ย?
- อัตราการติดเชื้อ HIV ของประชากรในประเทศสูงถึง 16%! (ประเทศไทย 1% กว่าๆ)
- เคยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นอันดับ 1 มาก่อน! สาเหตุหลักมาจากแอลกอฮอล์ และสภาพถนน ทำให้มีกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังบ่ายโมงวันเสาร์ วันอาทิตย์ทั้งวัน และวันหยุดนักขัตฤกษ์ครับ
- ที่นี่ใช้ Type M Socket เหมือน South Africa มีลักษณะเป็นแท่งกลมๆ 3 แท่งเหมือน Type D แต่ว่าใหญ่กว่า พวก Universal Adaptor จะไม่มี Socket นี้ โรงแรมส่วนใหญ่จะมี Socket D ให้ 1 จุด แต่บางทีอยู่ในห้องน้ำ จะชาร์จอะไรก็ไม่ค่อยสะดวกครับ มาถึงแล้ว หาซื้อไว้สักอันก็ดีครับ
เที่ยวยังไง?
พูดถึงการเที่ยวในแอฟริกานั้น มีหลายทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น Guided Tour, Fly-In Tour หรือ Self-Drive Tour คือ การขับรถเที่ยวเองซึ่งเป็นตัวเลือกที่สะดวก และค่อนข้างประหยัดครับ แค่เราต้องคุยกับ Tour Operator ก่อนว่ามีงบประมาณเท่าไหร่, มีเวลากี่วัน และสถานที่หลักที่ต้องการไป เค้าก็จะจัดการจองรถ จองที่พัก และแพลนตารางเดินทางมาให้ครับ พอเรามาถึงก็รับรถ แล้วขับเที่ยวเองเลย ซึ่งผมก็ใช้ตัวเลือกนี้ครับ
พักที่ไหน?
ในเมืองผมจะพัก Guest House ครับ ส่วนนอกเมืองจะพัก Lodge ครับ ซึ่งราคาห้องพักที่ Lodge จะค่อนข้างสูงครับ เพราะเหมือนที่บอกครับ ถ้าออกนอกเมืองเมื่อไหร่จะไม่มีอะไรเลย เค้าเลยต้องจัดเต็ม Facilities และ Services ให้กับแขกครับ
เดี๋ยวมาเล่าต่อนะครับ...