ชีวิตของคนเราเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เด็กหนุ่มธรรมดาๆ วันหนึ่งอาจกลายเป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ หรือศิลปินที่มีอารมณ์อ่อนไหวอาจกลายเป็นหัวหน้าพรรคนาซีผู้ชื่นชอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
นี่คืออาชีพหลักของ 9 ผู้นำสุดโหดในประวัติศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่าก่อนจะเรืองอำนาจนั้นพวกเขาก็มีชีวิตไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
โฮจิมินห์ – คนทำขนมปัง
อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม นักปฏิวัติผู้นำการเคลื่อนไหวต่อต้านการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ผู้นำการต่อสู้กับสหรัฐฯ ในช่วงปี 1960-1970 เชื่อว่าในช่วงที่เขากำลังก้าวขึ้นสู่อำนาจนั้นมีประชาชนถูกสังหารไปมากกว่า 50,000 ถึง 100,000 คน แต่ก่อนที่โฮจิมินห์จะก้าวเข้าสู่การเมืองอย่างเต็มตัวนั้นเขาเป็นคนทำขนมปังในโรงแรม Parker House Hotel ขณะอาศัยอยู่ที่บอสตัน และช่วงที่อยู่ในนิวยอร์กนั้นเขาเคยทำงานรับจ้างใช้แรงงานอีกด้วย
พล พต – ครู
ซาลต ซอ หรือ พล พต ผู้นำสุดโหดแห่งเขมรแดง อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา เขาเคยล้มเหลวในการเรียนภาษาฝรั่งเศสและแม้กระทั่งภาษาเขมรของตัวเอง แต่ในที่สุดก็ได้มาเป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญก่อนจะถูกขับไล่โดยรัฐบาล หลังจากนั้นเขาเปลี่ยนชื่อเป็นพล พต และก้าวขึ้นสู่อำนาจโดยการเป็นผู้นำกลุ่มเขมรแดง ในช่วงเวลาสี่ปีที่เขาเรืองอำนาจนั้นมีประชาชนถูกสังหารไปหลายล้านคน
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ – ศิลปิน
หัวหน้าพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมันหรือพรรคนาซี อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี และผู้เผด็จการของนาซีเยอรมนี เด็กชายผู้ไม่อยากเป็นนักบวชตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนสอนศาสนาเพื่อทำอาชีพศิลปินนักวาดภาพเต็มตัว ผลงานของเขานั้นถูกวิจารณ์ว่าธรรมดา ไร้อารมณ์ และไม่น่าสนใจ ศิลปินผู้ยากจนย้ายไปอาศัยอยู่ในเวียนนาแต่ยังคงมีชีวิตที่ยากลำบาก หลังจากนั้นฮิตเลอร์ได้สมัครเข้ารับราชการในกองทัพเยอรมันและยังสร้างสรรค์งานศิลปะของตนต่อไป
ฟร็องซัว ดูว์วาลีเย – แพทย์
อดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเฮติ เจ้าของฉายา “ปาปาด็อก” ผู้ทำร้าย ขับไล่ และสังหารชาวเฮติราว 30,000-60,000 คน เมื่อครั้งยังหนุ่มเขาได้เลือกศึกษาวิชาแพทย์แต่ภายหลังเปลี่ยนใจมาเล่นการเมือง ก่อนเสียชีวิตเขาได้แต่งตั้งให้ฌ็อง-โกลด ดูว์วาลีเย ผู้เป็นบุตรชาย เจ้าของฉายา “เบบี้ด็อก” รับตำแหน่งแทน ภายหลังเบบี้ด็อกได้หนีออกจากประเทศไปในปี 1986 เนื่องจากเหตุก่อการกบฏ
เบนิโต มุสโสลินี – นักเขียน
จอมเผด็จการและอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอิตาลี เป็นเรื่องน่าสนใจที่ผู้นำสุดโหดหลายคนเป็นนักเขียน “หนังสือปกแดง” ของผู้นำเหมา เจ๋อตง ถือเป็นหนังสือติดอันดับขายดี “ไมน์คัมพฟ์ (Mein Kampf)” เป็นผลงานการเขียนของฮิตเลอร์ที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือเผด็จการอย่างมุสโสลินีนั้นเขียนนิยายรัก “The Cardinal’s Mistress” เป็นเรื่องราวสุดเศร้าของนักบวชนิกายคาทอลิกกับคนรักของเขา เหตุเกิดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17
บาชาร์ อัล-อัสซาด – จักษุแพทย์
ประธานาธิบดีซีเรีย ผู้บัญชาการทหารกองทัพซีเรีย และเลขาธิการพรรคบะอัธ เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดามัสกัสและตั้งใจจะประกอบอาชีพแพทย์เหมือนกับบิดาของตน หลังจบปริญญาตรีเขาไปศึกษาต่อด้านจักษุวิทยาที่โรงพยาบาล Western Eye ในลอนดอน จากนั้นจึงเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากบิดา
ตาน ฉ่วย – บุรุษไปรษณีย์
พลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย ผู้นำเผด็จการของรัฐบาลทหารพม่า อดีตนายกรัฐมนตรีเมียนมาร์ ผู้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับชาวเมียนมาร์นับล้านคน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย ตาน ฉ่วยจึงได้ไปสมัครเป็นเสมียนไปรษณีย์ ก่อนจะสมัครเป็นทหารและก้าวขึ้นสู่อำนาจในภายหลัง
มูอัมมาร์ กัดดาฟี – คนเลี้ยงแพะ
อดีตผู้นำประเทศลิเบียโดยพฤตินัย “ผู้ชี้นำการมหาปฏิวัติวันที่ 1 กันยายน แห่งมหาสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย” นอกจากนักเขียนผู้เขียน “หนังสือปกเขียว” แล้ว ในวัยเด็กกัดดาฟีเติบโตมาในครอบครัวของคนเลี้ยงสัตว์ พ่อของเขาทำอาชีพเลี้ยงอูฐและแพะแต่มุ่งมั่นตั้งใจอยากให้ลูกชายได้ศึกษาเล่าเรียน กัดดาฟีเคยเป็นผู้นำประเทศที่ไม่ใช่กษัตริย์ที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดในโลก หลังจากนั้นก็ถูกประชาชนลิเบียลุกฮือต่อต้านด้วยระบอบการปกครองที่โหดเหี้ยมและถึงแก่อสัญกรรมในเวลาต่อมา
โจเซฟ สตาลิน – ผู้พยากรณ์อากาศ
อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ชื่อจริงของเขาคือ “โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี” ครั้งหนึ่งสตาลินเคยศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนสอนศาสนา ก่อนจะลาออกมาสมัครงานกับกรมอุตุนิยมวิทยา และเข้าร่วมกับพรรคบอลเชวิคจนได้เป็นเลขาธิการพรรคต่อจากเลนิน เชื่อว่ามีประชาชนเสียชีวิตและถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันหลายสิบล้านคนระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่มา: BusinessInsider, ภาพจาก: artcorner,http://www.meekhao.com/news/9-brutal-dictators-jobs
ก่อนก้าวมาเป็นผู้นำเผด็จการระดับโลก เหล่า 9 ผู้นำเคยมีชีวิตที่แสนธรรมดาแค่ไหนกัน!?
นี่คืออาชีพหลักของ 9 ผู้นำสุดโหดในประวัติศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่าก่อนจะเรืองอำนาจนั้นพวกเขาก็มีชีวิตไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
โฮจิมินห์ – คนทำขนมปัง
อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม นักปฏิวัติผู้นำการเคลื่อนไหวต่อต้านการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ผู้นำการต่อสู้กับสหรัฐฯ ในช่วงปี 1960-1970 เชื่อว่าในช่วงที่เขากำลังก้าวขึ้นสู่อำนาจนั้นมีประชาชนถูกสังหารไปมากกว่า 50,000 ถึง 100,000 คน แต่ก่อนที่โฮจิมินห์จะก้าวเข้าสู่การเมืองอย่างเต็มตัวนั้นเขาเป็นคนทำขนมปังในโรงแรม Parker House Hotel ขณะอาศัยอยู่ที่บอสตัน และช่วงที่อยู่ในนิวยอร์กนั้นเขาเคยทำงานรับจ้างใช้แรงงานอีกด้วย
พล พต – ครู
ซาลต ซอ หรือ พล พต ผู้นำสุดโหดแห่งเขมรแดง อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา เขาเคยล้มเหลวในการเรียนภาษาฝรั่งเศสและแม้กระทั่งภาษาเขมรของตัวเอง แต่ในที่สุดก็ได้มาเป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญก่อนจะถูกขับไล่โดยรัฐบาล หลังจากนั้นเขาเปลี่ยนชื่อเป็นพล พต และก้าวขึ้นสู่อำนาจโดยการเป็นผู้นำกลุ่มเขมรแดง ในช่วงเวลาสี่ปีที่เขาเรืองอำนาจนั้นมีประชาชนถูกสังหารไปหลายล้านคน
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ – ศิลปิน
หัวหน้าพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมันหรือพรรคนาซี อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี และผู้เผด็จการของนาซีเยอรมนี เด็กชายผู้ไม่อยากเป็นนักบวชตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนสอนศาสนาเพื่อทำอาชีพศิลปินนักวาดภาพเต็มตัว ผลงานของเขานั้นถูกวิจารณ์ว่าธรรมดา ไร้อารมณ์ และไม่น่าสนใจ ศิลปินผู้ยากจนย้ายไปอาศัยอยู่ในเวียนนาแต่ยังคงมีชีวิตที่ยากลำบาก หลังจากนั้นฮิตเลอร์ได้สมัครเข้ารับราชการในกองทัพเยอรมันและยังสร้างสรรค์งานศิลปะของตนต่อไป
ฟร็องซัว ดูว์วาลีเย – แพทย์
อดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเฮติ เจ้าของฉายา “ปาปาด็อก” ผู้ทำร้าย ขับไล่ และสังหารชาวเฮติราว 30,000-60,000 คน เมื่อครั้งยังหนุ่มเขาได้เลือกศึกษาวิชาแพทย์แต่ภายหลังเปลี่ยนใจมาเล่นการเมือง ก่อนเสียชีวิตเขาได้แต่งตั้งให้ฌ็อง-โกลด ดูว์วาลีเย ผู้เป็นบุตรชาย เจ้าของฉายา “เบบี้ด็อก” รับตำแหน่งแทน ภายหลังเบบี้ด็อกได้หนีออกจากประเทศไปในปี 1986 เนื่องจากเหตุก่อการกบฏ
เบนิโต มุสโสลินี – นักเขียน
จอมเผด็จการและอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอิตาลี เป็นเรื่องน่าสนใจที่ผู้นำสุดโหดหลายคนเป็นนักเขียน “หนังสือปกแดง” ของผู้นำเหมา เจ๋อตง ถือเป็นหนังสือติดอันดับขายดี “ไมน์คัมพฟ์ (Mein Kampf)” เป็นผลงานการเขียนของฮิตเลอร์ที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือเผด็จการอย่างมุสโสลินีนั้นเขียนนิยายรัก “The Cardinal’s Mistress” เป็นเรื่องราวสุดเศร้าของนักบวชนิกายคาทอลิกกับคนรักของเขา เหตุเกิดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17
บาชาร์ อัล-อัสซาด – จักษุแพทย์
ประธานาธิบดีซีเรีย ผู้บัญชาการทหารกองทัพซีเรีย และเลขาธิการพรรคบะอัธ เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดามัสกัสและตั้งใจจะประกอบอาชีพแพทย์เหมือนกับบิดาของตน หลังจบปริญญาตรีเขาไปศึกษาต่อด้านจักษุวิทยาที่โรงพยาบาล Western Eye ในลอนดอน จากนั้นจึงเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากบิดา
ตาน ฉ่วย – บุรุษไปรษณีย์
พลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย ผู้นำเผด็จการของรัฐบาลทหารพม่า อดีตนายกรัฐมนตรีเมียนมาร์ ผู้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับชาวเมียนมาร์นับล้านคน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย ตาน ฉ่วยจึงได้ไปสมัครเป็นเสมียนไปรษณีย์ ก่อนจะสมัครเป็นทหารและก้าวขึ้นสู่อำนาจในภายหลัง
มูอัมมาร์ กัดดาฟี – คนเลี้ยงแพะ
อดีตผู้นำประเทศลิเบียโดยพฤตินัย “ผู้ชี้นำการมหาปฏิวัติวันที่ 1 กันยายน แห่งมหาสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย” นอกจากนักเขียนผู้เขียน “หนังสือปกเขียว” แล้ว ในวัยเด็กกัดดาฟีเติบโตมาในครอบครัวของคนเลี้ยงสัตว์ พ่อของเขาทำอาชีพเลี้ยงอูฐและแพะแต่มุ่งมั่นตั้งใจอยากให้ลูกชายได้ศึกษาเล่าเรียน กัดดาฟีเคยเป็นผู้นำประเทศที่ไม่ใช่กษัตริย์ที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดในโลก หลังจากนั้นก็ถูกประชาชนลิเบียลุกฮือต่อต้านด้วยระบอบการปกครองที่โหดเหี้ยมและถึงแก่อสัญกรรมในเวลาต่อมา
โจเซฟ สตาลิน – ผู้พยากรณ์อากาศ
อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ชื่อจริงของเขาคือ “โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี” ครั้งหนึ่งสตาลินเคยศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนสอนศาสนา ก่อนจะลาออกมาสมัครงานกับกรมอุตุนิยมวิทยา และเข้าร่วมกับพรรคบอลเชวิคจนได้เป็นเลขาธิการพรรคต่อจากเลนิน เชื่อว่ามีประชาชนเสียชีวิตและถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันหลายสิบล้านคนระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้