เครียด จิตตก .... เมื่อหมอบอกว่าฉัน "ไม่ได้" เป็นมะเร็ง

ขอเล่าเรื่องที่มาที่ไปก่อนนะคะ
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เราเป็นคนที่ศรัทธาบุคลากรในรพ.ของรัฐบาล  ดังนั้นประกันสังคมของเราจึงเลือก รพ.ในจังหวัดที่เราอาศัยอยู่
เราเป็นคนที่สุขภาพร่างกายดีค่ะ  ออกกำลังกายบ้าง  ไม่สบายอย่างมากก็คือไข้หวัดธรรมดา กินยานอนพัก 2-3 วันก็หาย

แต่ 2 ปีก่อนเรามีก้อนที่ไทรอยด์ด้านซ้ายค่ะ  ก็ไปรักษาที่รพ.รัฐแห่งนี้  ตรวจเลือดผลปกติดี เจาะก้อนในคอไปตรวจ(FNA) หมอบอกว่าเป็นซีส กับไขมัน  ให้ยาthyroxine มากิน  บอกว่าต้องคอยเจาะตรวจทุกปีนะ

พอมาปีนี้ ผล FNA บอกว่าสงสัยจะเป็นมะเร็ง ( papillary ) หมอบอกว่าต้องผ่านะ  และอธิบายว่าจะผ่าเอาเนื้อส่ง Frozen ก่อน รอผล 1 ชม.ถ้าผลออกมาว่าเป็นมะเร็งจริง ก็จะตัดต่อมไทรอยด์ออกเลยทั้ง 2 ข้าง เพราะยังไงเราต้องไปกลืนแร่ต่ออยู่ดี   แต่ถ้าผลไม่มีอะไรก็จะเย็บปิดให้  ดังนั้นทุกอย่างต้องรอจากการผ่าตัด

ความรู้สึกในตอนนั้น  ก็อารมณ์แบบ  ท้อนิดหน่อย แต่ไม่ได้หดหู่หรืออะไรมากมาย  เพราะตั้งแต่มีเจ้าก้อนนี้ เราก็หาความรู้อยู่ละว่าสุดท้ายแล้วถ้ามันกลายเป็นมะเร็งมันจะเป็นอย่างไรบ้าง  และไอ้เจ้ามะเร็งตัวนี้มันไม่ได้น่ากลัวเลย  

เราบอกคนที่บ้านว่าเป็นมะเร็งนะ ต้องผ่าตัด  คนที่บ้านตกใจมากจนเราต้องคอยปลอบว่ามันไม่มีอะไรน่ากลัว   ความรู้สึกในตอนนั้นคือเฉย ๆ เออ เป็นก็รักษากันไป

พอฟื้นจากออกมาห้องผ่าตัด  เรารู้ตัวว่ามีสายเดรน สองเส้นที่คอ ก็รู้แล้วว่าโดนผ่าไทรอยด์ทิ้งแน่   และก็จริงตามคาดเพราะหมอมาตรวจวันรุ่งขึ้น บอกว่าผล frozen เราเป็นมะเร็ง  ก็ยังคุยถึงลำดับการรักษาต่อไปว่าเราต้องกลืนแร่  ต้องส่งตัวต่อเข้ารพ.ในกรุงเทพ เพราะที่นี่ไม่มีเวชศาสตร์นิวเคลียร์  แต่ยังไงก็ต้องรอผลชิ้นเนื้อตัวเต็ม ๆ กันอีกทีแล้วค่อยว่ากัน

เมื่อวานเราก็ไปพบหมอตามนัด   ปรากฏว่า ผลชิ้นเนื้อจาก Lab เราไม่ได้เป็นมะเร็ง !
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันบรรยายไม่ถูกเลย  มันหน่วงอยู่ในอก  ความศรัทธาทั้งหลายมันถล่มลงมากองอยู่ตรงหน้า  ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา  มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร  เสียดาย เสียใจ  ยิ่งกว่าตอนที่หมอบอกว่าเป็นมะเร็งเสียอีก    ไม่คิดว่าตลกร้ายแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง

มันรู้สึกอัดอั้นในอก  อยากร้องไห้มาก  ตอนที่บอกว่าจะผ่า  คนที่บ้านก็บอกว่าให้ไปรพ.เอกชน หรือรพ.ใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ  ค่ารักษาจะออกให้เอง  เราก็ดื้อไง   เกรงใจหมอที่รักษากันมาเป็นปี ๆ เชื่อในตัวหมอ และรพ.
พอมาตอนนี้  พูดไม่ออกเลย  

เราไม่ใช่คนในแวดวงสาธารณสุข  ไม่เข้าใจว่า % ความน่าเชื่อถือ ของการทำ frozen มันมีค่าเท่าไร   ทำไมผลมันถึงผิดเพี้ยนไปได้ขนาดนี้
เราต้องกินฮอร์โมนไปตลอดชีวิตที่เหลือ  จากคนสุขภาพปกติดีมาก ๆ ต้องคอยระวัง สังเกตุสุขภาพตัวเองอย่างละเอียดเพราะต่อไปนี้ร่างกายเราไม่สามารถควบคุมเมตาบอลิซึมเองได้แล้ว
หลังผ่าค่าแคลเซียมในเลือดเราลดลง  ยังคงต้องดูต่อไปอีกว่าต่อมพาราไทรอยด์ของเรายังทำงานได้ดีอยู่หรือเปล่า

ณ.เวลานี้ยังทำใจไม่ได้  มันท้อไปหมด  คิดอยู่ตลอดเลยว่า  ไม่น่าเลย  ไม่น่าเลย ....
เราร้องไห้  เพราะเราไม่ได้เป็นมะเร็ง!

เราไม่มีความคิดที่จะฟ้องหมอ หรือรพ.รัฐ  ( แต่ถ้าเป็นรพ.เอกชน บอกเลยที่บ้านฟ้องแน่นอน )
ตรงนี้คงทำได้แค่ขอพื้นที่ระบายความรู้สึก  เผื่อผู้ที่มีการงานเกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บได้เข้ามาอ่าน  ก็ขอให้เพิ่มความระวังให้กับคนไข้อย่างพวกเราเพิ่มขึ้นอีกสักนิดด้วยเถิดค่ะ

พยายามปลอบตัวเองว่า ณ จุดนี้มันทำอะไรไม่ได้แล้ว  ( แต่ยากจัง )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่