ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่านี่เป็นกระทู้แรกของเราในพันทิป... ซึ่งเราอยากแบ่งปันประสบการณ์จากการเดินทางทางไกลคนเดียวครั้งแรกของเรา ทริปนี้เป็นความบังเอิญก็ว่าได้ จริงๆมันเริ่มจากการที่เราจะได้ไปฝึกงานเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนที่เรารักมากที่สุด...เคยฝันเอาไว้ว่าอยากจะไปฉลองChristmas สักที่ในยุโรป แต่เดือนธันวาคมก็ดันเป็นเดือนที่มีงานประชุมใหญ่ American Society of Hematology(ASH) ซึ่งเป็นงานประชุมที่เราคิดว่าต้องไปซักครั้งหนึ่งในชีวิต เลยเกิดความลังเลว่าจะไปยุโรปหรืออเมริกาดี ซึ่งเราต้อง contact สถานที่ที่จะไปฝึกงานเอง เราส่งE mail ไป 2 ที่ อังกฤษและอเมริกาอย่างละที่ รอไป2 อาทิตย์ไม่มีmail ตอบกลับมา ช่วงนั้นก็เลยหา connection ทางอื่นไปด้วย สรุปว่าเราได้อาจารย์ท่านนึงติดต่อให้ที่cleveland clinic แต่ต้องไปเดือนตุลาคมแทน เพราะ staff ที่เราต้องอยู่ด้วยเค้า service เดือนนั้น สรุปว่าเราไม่ได้ไปทั้ง ASH และ ฉลองคริสมาสที่ยุโรปอย่างที่ตั้งใจไว้55 Cleveland นี่อยู่แทบไหนในเมกานะ เปิดgoogle map ดู อ่อ.. ฝั่ง east ซึ่งเราไม่คิดจะไปอีกเนื่องจาก 2 ปีก่อนเราไปเที่ยวแถบนี้มาเกือบครบที่ต้องไปแล้ว อีกอย่างนึงการนั่งเครื่องไปเมกามันเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบเลยจริงๆ แบบjet lag หนักมาก พอแก่ตัวก็ยิ่งหนัก...เรามีเวลา 3-4เดือนก่อนจะไป แต่ก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก เพราะช่วงนั้นยุ่งมากกับงานวิจัย ก็เลยได้แค่จองที่พักกับ ซื้อตั๋วเครื่องบิน พูดถึงตั๋วเครื่องบิน.. เราคิดอยู่นานว่าจะไปลงไหนดี เพราะไม่มีบินตรงไปcleveland ซึ่งroute ที่เค้านิยมไปกันคือไปลง Newyork ไม่ก็ Chicago แต่ก็ไม่อยากเพราะไปมาแล้วทั้งคู่ จริงๆไม่ได้อยากไปเมกาอีกแต่ถ้าต้องไปอีกสักครั้งเราก็อยากไปฝั่ง west หรือไปงานASH ดูเหมือนเราจะไม่ค่อยปลื้มเมกา55 ก็เป็นแบบนั้นจริงๆนอกจากเหตุผลของการนั่งเครื่องนานแล้ว เราก็รู้สึกว่าหลายอย่างไม่เป็นแบบที่คิดโดยเฉพาะNewyork ที่เราวาดฝันเอาไว้… สรุปเราเลือกลงSanfran คะ มีคนบอกว่า…เราน่าจะชอบ
Bangkok-->SFO-->CLE
1 ตุลาคม 2559 6.30 เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิโดยสายการบินANA ไปทรานซิสที่ญี่ปุ่น 2 ชม.แล้วก็บินยาวอีก7-8 ชม.คือเราโชคดีมากที่ที่นั่งข้างๆว่าง2ที่ เรานอนยาว 3 ที่ ตื่นก็ถึงเลยคะ.. ถึง sanfran 10.30 ซึ่งไฟท์ต่อไป Cleveland 22.30 เรามีเวลา 12 hr ในสนามบิน จริงๆถามคนอื่นมาเหมือนกันว่ามีที่ออกไปใกล้ๆสนามบินมั้ย เพราะยังไม่อยากเข้าเมือง ผ่านตม.ออกมาก็เลยเดินหาที่รับฝากกระเป๋า มีอยู่ที่ terminal 1 ราคา30 แอบแพง แต่ก็ไม่มีทางเลือก สรุปเราเข้าเมืองคะ นั่งbart ไปลงunion square…

‘‘love at first sight’’ ใช้คำนี้ได้เปล่าไม่รู้ คือmoment แรกที่เห็นเมือง คือเราฟินมาก อากาศเลขตัวเดียวปลายๆกำลังสบาย แล้วเมืองก็สวย ประกอบกับความสดชื่นจากการหลับยาวบนเครื่อง มีแรงคะ55 ขึ้นจาก bart ก็เจอ cable car หรือ สถานีรถรางเลยคะ คือ unique มาก รถรางเค้ายังใช้คนขับ คนสับรางอยู่คะ เราก็เวิ่นถ่ายรูปอยู่2ชม ได้ ไปคนเดียวนี่อุปกรณ์ต้องเยอะคะ ทั้งไม้เซลฟี่ หนวดปลาหมึก กล้องmilorless 2 ตัว + กล้อง xiaomi + กล้องiphone กว่าจะได้รูปที่ถูกใจ จากนั้นก็ไป AT&T กะจะหาซื้อsim pre paid เข้าไปนั่งคุยกะเจ้าหน้าที่สักพัก ก็เดินออกมา คือยังไม่ถูกใจราคา เดินเล่นไปสักพักเจอ shop T mobile สรุปเราซื้อคะ ราคา67 unlimit โทรไทย+US ,unlimit 4G 3G จริงๆเราอยากแนะนำ AT&T มากกว่า เพราะเท่าที่ใช้มาตลอด1เดือน เทียบกันกะของคนอื่น AT&T สัญญาณดีกว่าคะ คือมี event นึงที่เราไปเมืองไกลออกมาหน่อย มันไม่มีสัญญานแล้วแบบต้องเรียกรถกลับ ลำบากมากๆคะ …เพลินกับการเดินถ่ายรูป สักพักก็เดินไปhotel 2 ที่ ที่จองไว้ เราจอง san francisco international hostel กับ orange village hostel ไว้คะ จริงๆเราไม่เคยนอนhostelมาก่อน เลยแอบกังวล ที่แรกคนเยอะมากไม่น่าไหว เดินไปดูอีกที่ดูprivateกว่า แต่ไม่ได้เข้าไปดูด้านในนะคะ เพราะคนพักเต็มเลยดูห้องไม่ได้ เราตกลงเลือก orange village hostel หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นไปเจอ Nordstrom rack คะ จมอยู่ที่นั่นนานเลย…จนหมดเวลา ต้องไปขึ้นเครื่องแล้น 6-7ชม กับการบินข้ามฝั่งจากsanfran มายังCleveland เราบิน frontier คะ low cost ที่นั่งนี่แบบเมื่อยและแคบมาก พอๆกะบขส บ้านเรา ทรมานสุดๆ หลับๆตื่นๆ ไม่น่างกเลยตรู มาถึงCleveland 6โมงเช้าคะ คุยกับไว้hostว่าเค้าจะมารับ แต่เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ เค้าต้องไปโบสถ์ด้วย ไอเราก็เหนื่อย เพลียจากการเดินทาง แต่โชคดีคะที่ป้ามาส่งเราที่บ้านก่อน หลับยาวไป6ชม ตื่นมาบ่ายสามคะ อ่อ..host ที่เรามาอยู่ด้วยขอเรียกนามสมมุติว่าป้าเอ็มนะคะ ป้ามีบ้าน2หลังคือบ้านป้ากะบ้านลูก ป้าจะรับคนพักแบบระยะสั้นคะ คนส่วนมากที่มาพักก็จะมาเรียนมาทำงานมาแลกเปลี่ยนระยะสั้น เราได้พักบ้านป้าชั้น2ห้องติดกับห้องนอนป้า ระหว่างนั่งรถมาบ้านป้าก็เล่าเรื่องของป้า ป้าหย่ากับสามีคนญี่ปุ่นมาหลายสิบปี บ้านรับลูกบุญธรรมชาวเกาหลีมาเลี้ยง3คน ตอนนี้มีลูกสาว2คน ยังอยู่กับป้า 1ใน2 เป็น schizophrenia เบาๆ อันนี้เพื่อนที่เคยมาพักเคยเล่าให้ฟังมาบ้างแล้ว ป้าพูดเก่งคะ พูดไม่หยุด หลังจากที่เราตื่นนอน ป้าก็พาเราขับรถไปดู Cleveland clinic สถานที่ที่เราไปฝึกงาน แล้วป้าก็มาปล่อยเราซื้อbus pass ที่Dave เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านคะ เพื่อนเราเคยบอกให้มาซื้อแบบ unlimit 7วัน ราคา22.5 ให้ซื้อไป3ใบเลย coverช่วงที่อยู่ เพราะบัตรหมดบ่อย ปกติbus ที่นี่เที่ยวละ 2.5 ไม่ทอนตัง ซึ่งการซื้อบัตรน่าจะสะดวกสุด ปรากฏบัตรแบบนี้หมดคะ เราเลยซื้อแบบ5 เที่ยวมา2ใบ ราคา 12.5/ใบ เอาวะลองดูก่อน dave ของกินของใช้พอควรคะ คือไม่อดตายละ เราก็ซื้ออาหารไปตุนเล็กน้อยแล้วเดินเวิ่นๆ ถ่ายรูปจนมาถึงบ้านกะเอาของมาเก็บก่อน แล้วค่อยไปเดินสำรวจ กลับมาบ้านเจอเพื่อนๆที่อยู่บ้านป้า2 คน Beatrice คนอิตาลี่ และ Nuno 2 คนนี้เฟรนลี่มากๆ นั่งคุยกันจนไม่ได้ออกไปไหน พวกนางชวนไปปาตี้คืนนี้ ไอเราก็เออๆไปก็ไป ขึ้นไปเปลี่ยนชุดปรากฎเผลอหลับไปจนเช้า ตื่นมา6โมงเช้า ตกใจมาก รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุด กินอาหารเช้าง่ายๆ แล้วรีบออกไปรอบัส
วันแรกที่cleveland clinic กับ วันเกิดปีแรกที่ต่างแดน
7 โมงแล้ว ฟ้ายังมืดอยู่เลย รอบัสนานเป็นชั่วโมงคือบัสไม่มา ไม่ตรงตามตารางที่ป้าให้ไว้ ไม่ตรงตามgoogle map เห้ย…เอาไง orientation 9โมง คือไม่อยากสายแล้วยังไม่รู้ว่าตึกไหนด้วย เลยตัดสินใจเรียก uber ปรากฎนางมาคะ bus no 32 นั่งประมาณ 15นาที ก็ถึงcleveland clinic ลงบัสเสร็จ โชคดีเจอกลุ่มคนที่จะไปorientation ที่เดียวกัน เลยขอติดไปกะเค้า พอแนะนำการปฏิบัติตัวในการฝึกงานเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็พาเดินทัวร์โรงพยาบาล ซึ่งโคดใหญ่ เดินไปก็งงทาง เจ้าหน้าทีก็ทยอยส่งคนไปตามแผนกต่างๆ เรามองว่าที่นี่เค้าทำเป็นระบบมาก รู้สึกละอายใจเวลามีชาวต่างชาติมาแลกเปลี่ยนที่เรา...

หลังจากที่เจ้าหน้าที่เค้าพาเราไปส่งที่แผนกhemato/oncology แผนกที่เรามาดูงานเป็นเกี่ยวกับมะเร็งเม็ดเลือดคะ brittani เป็นเจ้าหน้าที่ของแผนกที่ดูแลเราต่อคะ ชีnice มากๆ ช่วยเราหลายๆอย่างคะ ทำไรไม่ได้หาไรไม่เจอ เทอจะช่วยเต็มที่คะ รักนางมากจริงๆ การฝึกงานวันแรกของเราเริ่มจากแผนกผู้ป่วยนอกคะ คนไข้ที่จะได้ตรวจจะต้อง bookมาก่อน ซึ่งหมอ(staff)แต่ละคนจะได้คนไข้ไม่เกินวันละ 8 คน โดยมีแพทย์ประจำบ้านต่อยอด(fellow) ตรวจคนไข้ก่อนแล้วนำเคสมารายงานstaff ซึ่งเราก็ได้ attend ดูได้แต่ห้ามแตะตัวคนไข้นะคะ เคสนึงนี่เค้าตรวจกันอย่างต่ำครึ่งชั่วโมง โดยการคิดdfหรือ doctor fee เค้าคิดตามเวลาที่ตรวจคนไข้เลย คนไข้ที่นี่เป็นคนไข้มะเร็งเม็ดเลือดนะคะ มีทั้งสภาพทรุดโทรมนั่งรถเข็ญมา จนถึงwell beingดีจนดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนป่วยโรคมะเร็ง แต่สิ่งที่ทุกๆคนมีเหมือนกันคือ education คะ จะพูดยังไง คือคนไข้ที่นี่เค้ารู้เกี่ยวกับโรคและยาเคมีบำบัดหรือเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับตัวเองเยอะมากๆ ปลื้มคะ ถามอะไรรู้หมด จดมาหมด ส่วนตัวคิดว่าดีคะ คนเราควรรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองเป็น มันแสดงถึงความใส่ใจคะ ไม่ใช่ผลักภาระมาให้คนอื่นจำ คนอื่นดู คนอื่นรู้ บรรยากาศการตรวจในclinic ดีงาม ทุกคน nice แม้กระทั่งคนไข้ ก็ชวนเราคุยคะ ดูเหมือนเค้าจะปลื้มที่เราสนใจมาฝึกที่ประเทศเค้าคะ '' i hope you get many experience from here '' ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดคนนึงพูดกะเราแล้วเข้ามากอดคะ การกอดหรือหอมแก้ม เป็นธรรมเนียมการทักทายของชาวต่างชาติคะ ไม่ได้แปลกอะไร ลืมบอกไปวาวันนี้วันเกิดเรา เป็นวันเกิดปีแรกที่เราอยู่ไกลบ้าน อยู่คนละซีกโลก วันนี้เพื่อนที่บ้านเราจะจัดปาตี้วันเกิดให้คะ ถามว่าเหงามั้ย ไม่เลยคะ หลับข้ามวันเกิดไปเลย คือjet lag หนักมาก 55 สรุปไม่ได้ปาตี้อะไรใดๆ ตื่นมาเกือบๆตีหนึ่ง หิวจัดเลยลงไปค้นหาของกินในครัว วันที่สองของการฝึกงานเราก็ไปแผนกผู้ป่วยนอกเหมือนเดิมคะ แต่เปลี่ยน attending staff ทุกเที่ยงจะมีconference วิชาการ ซึ่งจะมาอาหารให้กินเปลี่ยนๆกันไป บางวันเป็นข้าว บางวันเป็นพิซซ่า บางทีก็เป็นtaco จริงๆมันไม่อร่อยหรอกคะ กินเผื่ออยู่ แต่ที่ชอบมากคือฟรี55 จะบอกว่าอาหารที่โรงอาหาร(cafeteria) ที่นี่แพงมาก มื้อนึกต้องมี10ขึ้นไป คนที่มาฝึกงานส่วนใหญ่เค้าจะทำอาหารใส่กล่องมากินคะ แต่เราทำไม่เป็น คือง่อยและขี้เกียจ...
Downtown Cleveland กับเพื่อนใหม่

วันนี้นัดกินข้าวกับเพื่อนคนไทยที่มาเรียนต่อที่นี่คะ สรุปการเป็นปาตี้คนไทย55 วันนี้พี่คนไทยพาไปเดินเล่นแถวdowntown แล้วไปกินoyster ที่ร้าน Alley Cat Oyster Bar แถว the flats (ย่านคนรวย)
จะบอกว่าอร่อยมากกกกก

วันนี้เรารู้จักคนไทยอีกหลายคนทั้งพี่ที่มาทำ reseach fellow,clinical fellow และเพื่อนๆที่มาฝึกงานคล้ายๆกับเราแต่คนละแผนกอีก7คน จริงๆตั้งแต่มาที่คลีฟแลนยังไม่มีวันไหนที่รู้สึกเหงาเลย เนื่องจากหลับเป็นส่วนใหญ่55
ความสุข ความสงบ ที่เราหลงลืมไป
งานเราส่วนใหญ่เลิกครึ่งวันคะ มีน้อยครั้งมากที่จะมีclinic บ่าย เนื่องจากbus no32 เนี่ยมาไม่ตรงเวลาเลย นานๆทีมาคัน ส่วนใหญ่เราเลยเดินกลับ ระยะทางจากclinic กลับบ้านประมาณ3.2km จริงๆก็ไม่ใกล้เลยนะ เดินเหนื่อยเอาการอยู่ แต่เราก็ไม่ได้รีบไปไหน slow life สุดๆ เดินช้าๆฟังเพลง ผ่านอะไรก็แวะ อากาศก็ดีคะ ชิวมาก คือลืมไปแล้วว่ารู้สึกแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร บางวันเลิกเร็วหน่อยก็ไปmuseum คะ
Cleveland museum of art

อยู่ระหว่างทางกลับบ้านคะ เป็น free museum ที่ใหญ่นะคะมี 3 ชั้น เราเดินผ่านๆ2ชม ยังไม่ทั่วเลยคะ เดินจนขาลาก แต่เราชอบนะ จัดได้น่าสนใจดี โซนที่cleveland clinic ตั้งอยู่ใกล้กับunivercity circle แถบนี้มีมหาวิทยาลัย และ โรงพยาบาล univercity hospitalว่าง่ายๆเป็นแถบการศีกษาคะ นอกจากCleveland museum of art แล้วก็ยังมี Clevaland botanical garden อันนี้เสียค่าเข้า 16 คะ เราเลยไม่เข้า55
เมื่อการเดินทางพาเราไปพบกับ...
Bangkok-->SFO-->CLE
1 ตุลาคม 2559 6.30 เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิโดยสายการบินANA ไปทรานซิสที่ญี่ปุ่น 2 ชม.แล้วก็บินยาวอีก7-8 ชม.คือเราโชคดีมากที่ที่นั่งข้างๆว่าง2ที่ เรานอนยาว 3 ที่ ตื่นก็ถึงเลยคะ.. ถึง sanfran 10.30 ซึ่งไฟท์ต่อไป Cleveland 22.30 เรามีเวลา 12 hr ในสนามบิน จริงๆถามคนอื่นมาเหมือนกันว่ามีที่ออกไปใกล้ๆสนามบินมั้ย เพราะยังไม่อยากเข้าเมือง ผ่านตม.ออกมาก็เลยเดินหาที่รับฝากกระเป๋า มีอยู่ที่ terminal 1 ราคา30 แอบแพง แต่ก็ไม่มีทางเลือก สรุปเราเข้าเมืองคะ นั่งbart ไปลงunion square…
‘‘love at first sight’’ ใช้คำนี้ได้เปล่าไม่รู้ คือmoment แรกที่เห็นเมือง คือเราฟินมาก อากาศเลขตัวเดียวปลายๆกำลังสบาย แล้วเมืองก็สวย ประกอบกับความสดชื่นจากการหลับยาวบนเครื่อง มีแรงคะ55 ขึ้นจาก bart ก็เจอ cable car หรือ สถานีรถรางเลยคะ คือ unique มาก รถรางเค้ายังใช้คนขับ คนสับรางอยู่คะ เราก็เวิ่นถ่ายรูปอยู่2ชม ได้ ไปคนเดียวนี่อุปกรณ์ต้องเยอะคะ ทั้งไม้เซลฟี่ หนวดปลาหมึก กล้องmilorless 2 ตัว + กล้อง xiaomi + กล้องiphone กว่าจะได้รูปที่ถูกใจ จากนั้นก็ไป AT&T กะจะหาซื้อsim pre paid เข้าไปนั่งคุยกะเจ้าหน้าที่สักพัก ก็เดินออกมา คือยังไม่ถูกใจราคา เดินเล่นไปสักพักเจอ shop T mobile สรุปเราซื้อคะ ราคา67 unlimit โทรไทย+US ,unlimit 4G 3G จริงๆเราอยากแนะนำ AT&T มากกว่า เพราะเท่าที่ใช้มาตลอด1เดือน เทียบกันกะของคนอื่น AT&T สัญญาณดีกว่าคะ คือมี event นึงที่เราไปเมืองไกลออกมาหน่อย มันไม่มีสัญญานแล้วแบบต้องเรียกรถกลับ ลำบากมากๆคะ …เพลินกับการเดินถ่ายรูป สักพักก็เดินไปhotel 2 ที่ ที่จองไว้ เราจอง san francisco international hostel กับ orange village hostel ไว้คะ จริงๆเราไม่เคยนอนhostelมาก่อน เลยแอบกังวล ที่แรกคนเยอะมากไม่น่าไหว เดินไปดูอีกที่ดูprivateกว่า แต่ไม่ได้เข้าไปดูด้านในนะคะ เพราะคนพักเต็มเลยดูห้องไม่ได้ เราตกลงเลือก orange village hostel หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นไปเจอ Nordstrom rack คะ จมอยู่ที่นั่นนานเลย…จนหมดเวลา ต้องไปขึ้นเครื่องแล้น 6-7ชม กับการบินข้ามฝั่งจากsanfran มายังCleveland เราบิน frontier คะ low cost ที่นั่งนี่แบบเมื่อยและแคบมาก พอๆกะบขส บ้านเรา ทรมานสุดๆ หลับๆตื่นๆ ไม่น่างกเลยตรู มาถึงCleveland 6โมงเช้าคะ คุยกับไว้hostว่าเค้าจะมารับ แต่เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ เค้าต้องไปโบสถ์ด้วย ไอเราก็เหนื่อย เพลียจากการเดินทาง แต่โชคดีคะที่ป้ามาส่งเราที่บ้านก่อน หลับยาวไป6ชม ตื่นมาบ่ายสามคะ อ่อ..host ที่เรามาอยู่ด้วยขอเรียกนามสมมุติว่าป้าเอ็มนะคะ ป้ามีบ้าน2หลังคือบ้านป้ากะบ้านลูก ป้าจะรับคนพักแบบระยะสั้นคะ คนส่วนมากที่มาพักก็จะมาเรียนมาทำงานมาแลกเปลี่ยนระยะสั้น เราได้พักบ้านป้าชั้น2ห้องติดกับห้องนอนป้า ระหว่างนั่งรถมาบ้านป้าก็เล่าเรื่องของป้า ป้าหย่ากับสามีคนญี่ปุ่นมาหลายสิบปี บ้านรับลูกบุญธรรมชาวเกาหลีมาเลี้ยง3คน ตอนนี้มีลูกสาว2คน ยังอยู่กับป้า 1ใน2 เป็น schizophrenia เบาๆ อันนี้เพื่อนที่เคยมาพักเคยเล่าให้ฟังมาบ้างแล้ว ป้าพูดเก่งคะ พูดไม่หยุด หลังจากที่เราตื่นนอน ป้าก็พาเราขับรถไปดู Cleveland clinic สถานที่ที่เราไปฝึกงาน แล้วป้าก็มาปล่อยเราซื้อbus pass ที่Dave เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านคะ เพื่อนเราเคยบอกให้มาซื้อแบบ unlimit 7วัน ราคา22.5 ให้ซื้อไป3ใบเลย coverช่วงที่อยู่ เพราะบัตรหมดบ่อย ปกติbus ที่นี่เที่ยวละ 2.5 ไม่ทอนตัง ซึ่งการซื้อบัตรน่าจะสะดวกสุด ปรากฏบัตรแบบนี้หมดคะ เราเลยซื้อแบบ5 เที่ยวมา2ใบ ราคา 12.5/ใบ เอาวะลองดูก่อน dave ของกินของใช้พอควรคะ คือไม่อดตายละ เราก็ซื้ออาหารไปตุนเล็กน้อยแล้วเดินเวิ่นๆ ถ่ายรูปจนมาถึงบ้านกะเอาของมาเก็บก่อน แล้วค่อยไปเดินสำรวจ กลับมาบ้านเจอเพื่อนๆที่อยู่บ้านป้า2 คน Beatrice คนอิตาลี่ และ Nuno 2 คนนี้เฟรนลี่มากๆ นั่งคุยกันจนไม่ได้ออกไปไหน พวกนางชวนไปปาตี้คืนนี้ ไอเราก็เออๆไปก็ไป ขึ้นไปเปลี่ยนชุดปรากฎเผลอหลับไปจนเช้า ตื่นมา6โมงเช้า ตกใจมาก รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุด กินอาหารเช้าง่ายๆ แล้วรีบออกไปรอบัส
วันแรกที่cleveland clinic กับ วันเกิดปีแรกที่ต่างแดน
7 โมงแล้ว ฟ้ายังมืดอยู่เลย รอบัสนานเป็นชั่วโมงคือบัสไม่มา ไม่ตรงตามตารางที่ป้าให้ไว้ ไม่ตรงตามgoogle map เห้ย…เอาไง orientation 9โมง คือไม่อยากสายแล้วยังไม่รู้ว่าตึกไหนด้วย เลยตัดสินใจเรียก uber ปรากฎนางมาคะ bus no 32 นั่งประมาณ 15นาที ก็ถึงcleveland clinic ลงบัสเสร็จ โชคดีเจอกลุ่มคนที่จะไปorientation ที่เดียวกัน เลยขอติดไปกะเค้า พอแนะนำการปฏิบัติตัวในการฝึกงานเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็พาเดินทัวร์โรงพยาบาล ซึ่งโคดใหญ่ เดินไปก็งงทาง เจ้าหน้าทีก็ทยอยส่งคนไปตามแผนกต่างๆ เรามองว่าที่นี่เค้าทำเป็นระบบมาก รู้สึกละอายใจเวลามีชาวต่างชาติมาแลกเปลี่ยนที่เรา...
หลังจากที่เจ้าหน้าที่เค้าพาเราไปส่งที่แผนกhemato/oncology แผนกที่เรามาดูงานเป็นเกี่ยวกับมะเร็งเม็ดเลือดคะ brittani เป็นเจ้าหน้าที่ของแผนกที่ดูแลเราต่อคะ ชีnice มากๆ ช่วยเราหลายๆอย่างคะ ทำไรไม่ได้หาไรไม่เจอ เทอจะช่วยเต็มที่คะ รักนางมากจริงๆ การฝึกงานวันแรกของเราเริ่มจากแผนกผู้ป่วยนอกคะ คนไข้ที่จะได้ตรวจจะต้อง bookมาก่อน ซึ่งหมอ(staff)แต่ละคนจะได้คนไข้ไม่เกินวันละ 8 คน โดยมีแพทย์ประจำบ้านต่อยอด(fellow) ตรวจคนไข้ก่อนแล้วนำเคสมารายงานstaff ซึ่งเราก็ได้ attend ดูได้แต่ห้ามแตะตัวคนไข้นะคะ เคสนึงนี่เค้าตรวจกันอย่างต่ำครึ่งชั่วโมง โดยการคิดdfหรือ doctor fee เค้าคิดตามเวลาที่ตรวจคนไข้เลย คนไข้ที่นี่เป็นคนไข้มะเร็งเม็ดเลือดนะคะ มีทั้งสภาพทรุดโทรมนั่งรถเข็ญมา จนถึงwell beingดีจนดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนป่วยโรคมะเร็ง แต่สิ่งที่ทุกๆคนมีเหมือนกันคือ education คะ จะพูดยังไง คือคนไข้ที่นี่เค้ารู้เกี่ยวกับโรคและยาเคมีบำบัดหรือเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับตัวเองเยอะมากๆ ปลื้มคะ ถามอะไรรู้หมด จดมาหมด ส่วนตัวคิดว่าดีคะ คนเราควรรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองเป็น มันแสดงถึงความใส่ใจคะ ไม่ใช่ผลักภาระมาให้คนอื่นจำ คนอื่นดู คนอื่นรู้ บรรยากาศการตรวจในclinic ดีงาม ทุกคน nice แม้กระทั่งคนไข้ ก็ชวนเราคุยคะ ดูเหมือนเค้าจะปลื้มที่เราสนใจมาฝึกที่ประเทศเค้าคะ '' i hope you get many experience from here '' ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดคนนึงพูดกะเราแล้วเข้ามากอดคะ การกอดหรือหอมแก้ม เป็นธรรมเนียมการทักทายของชาวต่างชาติคะ ไม่ได้แปลกอะไร ลืมบอกไปวาวันนี้วันเกิดเรา เป็นวันเกิดปีแรกที่เราอยู่ไกลบ้าน อยู่คนละซีกโลก วันนี้เพื่อนที่บ้านเราจะจัดปาตี้วันเกิดให้คะ ถามว่าเหงามั้ย ไม่เลยคะ หลับข้ามวันเกิดไปเลย คือjet lag หนักมาก 55 สรุปไม่ได้ปาตี้อะไรใดๆ ตื่นมาเกือบๆตีหนึ่ง หิวจัดเลยลงไปค้นหาของกินในครัว วันที่สองของการฝึกงานเราก็ไปแผนกผู้ป่วยนอกเหมือนเดิมคะ แต่เปลี่ยน attending staff ทุกเที่ยงจะมีconference วิชาการ ซึ่งจะมาอาหารให้กินเปลี่ยนๆกันไป บางวันเป็นข้าว บางวันเป็นพิซซ่า บางทีก็เป็นtaco จริงๆมันไม่อร่อยหรอกคะ กินเผื่ออยู่ แต่ที่ชอบมากคือฟรี55 จะบอกว่าอาหารที่โรงอาหาร(cafeteria) ที่นี่แพงมาก มื้อนึกต้องมี10ขึ้นไป คนที่มาฝึกงานส่วนใหญ่เค้าจะทำอาหารใส่กล่องมากินคะ แต่เราทำไม่เป็น คือง่อยและขี้เกียจ...
Downtown Cleveland กับเพื่อนใหม่
จะบอกว่าอร่อยมากกกกก
ความสุข ความสงบ ที่เราหลงลืมไป
งานเราส่วนใหญ่เลิกครึ่งวันคะ มีน้อยครั้งมากที่จะมีclinic บ่าย เนื่องจากbus no32 เนี่ยมาไม่ตรงเวลาเลย นานๆทีมาคัน ส่วนใหญ่เราเลยเดินกลับ ระยะทางจากclinic กลับบ้านประมาณ3.2km จริงๆก็ไม่ใกล้เลยนะ เดินเหนื่อยเอาการอยู่ แต่เราก็ไม่ได้รีบไปไหน slow life สุดๆ เดินช้าๆฟังเพลง ผ่านอะไรก็แวะ อากาศก็ดีคะ ชิวมาก คือลืมไปแล้วว่ารู้สึกแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร บางวันเลิกเร็วหน่อยก็ไปmuseum คะ
Cleveland museum of art