ประสบการณ์ ที่ข้าพเจ้าบวชระยะสั้น 1 เดือน

กระทู้สนทนา
ก่อนหน้าที่ผมจะตัดสินใจโพสท์เรื่องราวประสบการณ์ส่วนตัวมาในบอร์ดนี้ ก็คิดอยู่หลายรอบเหมือนกันว่าจะโพสท์ดีหรือไม่ เพราะบางเรื่องก็เป็นเรื่องน่าอายและบางเรื่องก็มีสาระอยู่ เมื่อสรุปได้ว่าถ้าหากมีใครเข้ามาอ่านแล้วได้คติธรรมจากเรื่องราวของเรา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอีกไม่น้อย เรื่องต่อไปนี้ออกจะยาวสักหน่อย ขอแบ่งเป็นตอนๆ  และขอเล่าเรื่องราวสู่กันฟังดังนี้ (ยืม Login เพื่อนมาโพสท์นะครับ ผมสมัครสมาชิกไม่เป็น)

ตอนที่ 1 – The Recruits
ผมเกิดมาในครอบครัวคริสเตียน เติบโตมากับจารีตประเพณีและการปฏิบัติทางศาสนาแบบชาวคริสต์ สาเหตุที่เข้ามาสนใจในพระพุทธศาสนานั้นเป็นความอยากรู้และอยากศึกษาส่วนตัวที่มีมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ซึ่งในขณะนั้นมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับตัวผมแต่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะกลัวเขาจะหาว่าเราบ้าหรือเสียสติไปแล้ว
สิ่งแปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมในช่วงวัยเด็กคือ – ช่วงวัยเด็กผมชอบนอนบ้านตากับยาย โดยที่ตาให้นอนร่วมห้องด้วย โดยแยกเอาที่นอนไปปูริมขอบผนัง ตาชอบจุดตะเกียง ทั้งๆ ที่มีไฟฟ้าใช้ แต่ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบตาก็ยังจุดตะเกียงส่องสว่างในห้องนอนเป็นประจำ เมื่อผมจ้องมองตะเกียงก่อนนอนทุกวัน เข้าใจว่าจ้องเปลวตะเกียงอยู่หลายวัน นับเดือนหรือหลายเดือนโดยที่ไม่ตั้งใจ แต่คงเพราะมันเป็นสิ่งที่สว่างที่สุด อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อจะหลับตานอนปรากฏว่ารูปเปลวไฟยังติดตาอยู่ เมื่อพุ่งจุดสนใจไปยังเปลวไฟที่ติดตาอยู่นั้น (เห็นเปลวไฟทั้งๆ ที่หลับตาอยู่) รู้สึกแปลกๆ ชอบกล คือมีอาการขนหัวลุกซู่ รูขุมขนลุก น้ำตาไหล ตกใจแล้วก็เลิกมองตรงนั้น

แต่ว่ายังติดใจอยู่กับอาการแปลกดังกล่าว คืนต่อๆ มาจึงพุ่งจุดสนใจไปยังเปลวไฟที่ติดตาในขณะที่หลับตาอยู่ คราวนี้ไม่ตกใจแล้ว หลังจากอาการขนหัวลุกและรูขุมขนลุกแล้ว ในขณะที่โฟกัสและให้ความสนใจกับเปลวไฟ รู้สึกอิ่มเอม มีความสุขแบบไม่เคยมีมาก่อน และต่อมาก็ได้เข้าไปตรงนั้นเป็นประจำก่อนนอนทุกคืน บางคืนนั้นสามารถกำหนดสีของเปลวไฟเป็นสีอื่นได้ เปลี่ยนขนาดได้ และบังคับเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้ สังเกตว่าสีที่เปลวไฟจะเปลี่ยนระยะสุดท้ายจะเป็นสีประกายพรึก คือคล้ายผลึกของสารส้มที่เคยเรียนในห้องวิทยาศาสตร์ แต่ใสและสว่างกว่ามาก

พอย่างเข้าสู่วัยรุ่น มีเหตุการณ์แปลกๆ อยู่อย่างหนึ่งคือ สามารถรู้สถาณการณ์ล่วงหน้าได้ สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ การติดต่อสื่อสารยังไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบันนี้ แต่ก็รู้ว่าใครจะเดินทางมาหา โดยเฉพาะแม่ รู้สึกว่าจะเชื่อมต่อและรับรู้ได้ดีเป็นพิเศษ
หลังจากนั้นผมก็เหินห่างจากการจ้องมองเปลวไฟ เพราะไม่ได้อยู่บ้านตายายแล้ว กอรปกับชีวิตในวัยรุ่นจะติดเที่ยวเตร่ กินเหล้าตามเพื่อน และกิจกรรมกับหญิงสาว ฯลฯ ทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าหาจุดสงบนั้นได้อีกต่อไป และความสามาถที่จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็พลอยหายไปด้วย
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ผมเก็บไว้คนเดียว ไม่เคยบอกให้ใครรู้ เพราะกลัวเขาจะหาว่าบ้า และก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ ในหนังสือธรรมะของคริสเตียนที่ผมพอจะเข้าถึงและหาศึกษาอ่านได้
เมื่อผ่านพ้นชีวิตวัยรุ่น โตขึ้นมาหน่อยช่วงอายุยี่สิบต้นๆ ผมได้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และอาศัยเรียนและทำงานอยู่ต่างประเทศเป็นเวลากว่า 20 ปี ชีวิตในระหว่างอยู่ต่างประเทศนั้นได้มีโอกาสใกล้ชิดกับวัดมาก (นอกจากคาสิโนแล้ว) คือวัดไทยในต่างประเทศจะเป็นศูนย์รวมของคนไทย ช่วงแรกๆ ที่ผมไปวัด บอกตรงๆ ว่าไม่ได้ไปเพราะมีความศรัทธาอะไรเลย แต่ไปอาศัยข้าววัดและกับข้าวอาหารไทยกิน ทั้งนี้เพราะว่าอาหารไทยนั้น จะอร่อยที่สุดก็คือที่วัดไทย เพราะทำจากฝีมือแม่บ้านไทยจากหลายๆ ภาค ส่วนใหญ่แล้วจะมีสามีเป็นคนต่างชาติมีครอบครัวอยู่ใน suburb หรือเมืองใกล้เคียง

อาหารไทยที่แม่บ้านทำมาถวายพระนั้นเลิศรสมาก เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่งั้นก็ต้องกินอาหารฝรั่งไปตามเรื่องตามราว ส่วนใหญ่แล้วจะออกแนว Junk food เสียมากกว่า – ร้านอาหารไทยทั่วไปก็ทำอร่อยสู้ฝีมือแม่บ้านไทยไม่ได้ เพราะร้านอาหารทำกับข้าวแต่ละอย่างให้ฝรั่งกินได้ (Westernized) จะออกหวาน ผิดรสชาติดั้งเดิมไปหมด

เมื่อไปอาศัยข้าววัดกิน ก็ต้องทำประโยชน์ให้กับวัดบ้าง ซึ่งตอนนั้นผมก็ทำทุกอย่าง คือช่วยเก็บกวาด หรือขับรถให้พระนั่งไปทำธุระ เวลาผ่านไปสิบกว่าปี พระธรรมคำสอนต่างๆ ทางพุทธศาสนาเริ่มซึมซับเข้าสมองส่วนลึกของผมบ้าง นับว่าผมเองเป็นคนที่เรียนรู้อะไรได้ช้ามาก……

เมื่อกลับมาเมืองไทยแล้ว ก็ไม่ลืมเรื่องวัด มีแฟนก็เป็นชาวพุทธ และเมื่อมีลูกก็สอนให้ลูกไหว้พระตามขนบธรรมเนียมปฏิบัติที่ดี ผมพยายามหาโอกาสบวชเพื่อศึกษาธรรมมะอย่างถ่องแท้สักครั้ง เมื่อมีครอบครัว มีลูก ก็มีภาระค่าใช้จ่ายเหมือนกับครอบครัวอื่นๆ ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าใช้จ่ายลูก จิปาถะ

ผมจึงวางแผนทางการเงิน คือสะสมเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายให้เพียงพอในระหว่างไปบวชโดยที่ไม่ต้องพะว้าพะวง ห่วงหน้าห่วงหลัง – ก่อนหน้านี้ผมเองก็เป็นไม้เบื่อไม้เมาก้บบัตรเครดิต คือมีหลายใบเกินความจำเป็น และใช้จ่ายเกินความจำเป็น ก่อหนี้สินรวมกันหลายแสนบาท ล้างเคลียร์หนี้บัตรเครดิตไปก็หลายหน หนสุดท้ายนี่หนักที่สุดคือเกิดหนี้เน่า เพราะหาเงินมาใช้จ่ายไม่ทัน ขาดสภาพคล่องโดยสิ้นเชิง สุดท้ายก็ต้องรอให้ธนาคารเจ้าของบัตรฟ้อง และเมื่อถึงเวลาประนอมหนี้ ผมก็ไปขึ้นศาลตามกำหนด และใช้หนี้เขาไปตามที่ตกลงกัน หลังจากนั้นผมเข็ดอย่างยิ่งกับเจ้าบัตรพลาสติกพวกนี้
หลังจากนั้นภาระผ่อนจ่ายค่างวดรถยนต์ทั้งคันของผมและแฟนก็หมดลง คือเราสองคนเป็นหนี้เจ๊กมาหลายปีและในสุดท้ายก็ผ่อนเขาหมด แต่ราคาปัจจุบันของรถนั้นอย่าพูดถึงเลย น้ำตาจะไหล.....

เมื่อมีเงินสะสมพอที่จะส่งค่างวดบ้านไปอีกหลายเดือน และค่าใช้จ่ายสำหรับลูกรวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะได้อีกหลายเดือน ผมจึงมีโอกาสบวชเสียที การบวชในครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต ผมจึงตั้งเป้าหมายเอาไว้คือ อย่างน้อยบวชให้ได้ 1 เดือน และให้ตั้งใจศึกษาธรรมมะของพระพุทธเจ้าด้วยใจเคารพ ไม่มีการเอามาเปรียบเทียบกับพื้นเพคริสต์ ศาสนาเดิมตามกำเนิด หลีกเลี่ยงไม่ใช้ตรรกทางวิทยาศาสตร์วิเคราะห์เหตุผล และเป้าหมายสุดท้ายคือ ตามหาสมาธิที่ได้มาแบบแปลกๆ เมื่อตอนเป็นเด็ก

ผมหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตอยู่หลายวัน จนมาเจอศูนย์ปฏิบัติธรรมที่หนึ่ง ซึ่งเปิดโครงการให้บวชโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผมไม่ขอระบุชื่อสถานที่นี้ เพราะในเนื้อความของเรื่องราวจะมีหลายอย่างที่พาดพิง เกรงว่าจะไม่เป็นการสมควร – ผมจึงทำการติดต่อศูนย์ปฏิบัติธรรม ทางศูนย์ทำการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ และส่งเอกสารมาให้กรอก พร้อมกับให้มีเอกสารรับรองจากผู้รับรองที่เชื่อถือได้ และที่สำคัญคือใบตรวจสุขภาพ คือเขาให้เน้นตรวจหาสารเสพติดแอมเฟตามีนและผลเลือด HIV – ครั้งนี้แหล่ะ ผมใจเต้นอีกครั้งในรอบหลายสิบปี ยาบ้านั้นไม่ใช่ประเด็น เพราะผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว แต่ HIV นี่สิยังลังเลอยู่นิดๆ เพราะเพิ่งจะซุกซนกับใครบางคนที่พบเจอในอินเตอร์เน็ตเมื่อไม่นานมานี้ ในเวลานั้นก็ป้องกันนะ
เจอเธอในอินเตอร์เน็ต เธอเป็นดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้า เธอชวนมาพูดคุยที่คอนโดของเธอ จากประสบการณ์แล้วผมสังหรณ์ใจชอบกลว่าคงจะไม่เป็นการพูดคุยกันธรรมดาแน่จึงแอบเตียมถุงยางอนามัยไปด้วยเผื่อขาดเผื่อเหลือ แล้วมันก็ได้ใช้งานจริงๆ
ที่โรงพยาบาลผมอดลังเลและกังวลไม่ได้  ในเมื่อผลแล็ปออกมาเป็น Negative ผมอดดีใจและรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อถึงวันนัดรายงานตัว ทางศูนย์ก็จัดรถตู้ไปรับคนที่จะมาบวช ซึ่งนัดพบรวมตัวกันเพื่อรอรถตามจุดต่างๆ ตอนนั้นพระพี่เลี้ยงใช้สรรพนามแทนตัวพวกเราว่า “นาค” ผมรู้สึกปราบปลื้มใจไปหมด เมื่อเดินทางมาถึงศูนย์ปฏิบัติธรรม ทางพระพี่เลี้ยงก็จัดที่นอนชั่วคราวให้นอนที่ศาลาของศูนย์ ซึ่งเป็นอาคารเอนกประสงค์หลังใหญ่ มีพระประธานและไฟฟ้าส่องสว่างไสว พื้นกระเบื้องสะอาด พวกเราทั้งหลาย ซึ่งในที่นี้จะเตรียมตัวในการเป็นพระ ในระหว่างช่วงนี้ยังไม่ได้เป็นพระ จึงขอเรียกกลุ่มพวกเราสั้นๆ ว่า The Recruits ก็แล้วกันครับ
---โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป---
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่