สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวก่อนเลย ชื่อส้มนะคะ นี่เป็นกระทู้แรกของส้มในพันทิปค่ะ ยืมไอดีเพื่อนมาโพสด้วยเพราะไม่มีไอดี ปกติเข้ามาอ่านอย่างเดียวไม่เคยตั้งกระทู้เลย 5555
ส้มอยากจะมารีวิวการสมัครเรียน ขอวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน จนถึงการเดินทางมาเรียนภาษาอังกฤษที่ USA ค่ะ เผื่อเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากจะทำเอง ประหยัดไปเยอะเลยค่ะ
ก่อนตัดสินใจมาเรียนภาษาที่ USA ส้มอายุ 25 ปีค่ะ ทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่งเกี่ยวกับสายงานก่อสร้าง ตำแหน่ง QA Engineer ได้ประมาณ 2 ปีค่ะ ซึ่งงานของส้มจำเป็นอย่างมากที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษค่ะ ส้มเคยเรียนภาษาอังกฤษกับสถาบันต่างๆที่เค้าบอกว่าดี ตระเวนเรียนไปหมด ผลก็คือเรื่องคำศัพท์และแกรมม่าอยู่ในขั้นดีเลยค่ะ แต่สำเนียง การออกเสียง การฟัง และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ค่อยได้เลย ประกอบกับในตอนนั้นมีความคิดที่อยากจะเปลี่ยนงานค่ะ เลยลองส่งใบสมัครไปหลายบริษัทเลย ทุกบริษัทที่โทรกลับมาสนใจในโปรไฟล์ส้มหมดเลยค่ะ มีประสบการณ์ทำงานมาแล้วเค้ายิ่งชอบค่ะ แต่ !!! ก็จะถามว่า “ภาษาอังกฤษโอเคไหม?? ได้ภาษารึเปล่า?? ” ซึ่งส้มก็จะบอกเค้าไปว่าพูดได้นิดหน่อยค่ะ ไม่อยากโม้เพื่อให้ได้งานค่ะ ทำไม่ได้จริงมันไม่โอเคค่ะ ทุกบริษัทแทบจะบอกเหมือนกันหมดว่า ถึงไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนเค้ายินดีสอนให้ค่ะถ้าภาษาอังกฤษดี O_O วินาทีนั้นส้มรู้เลยค่ะว่า ถึงได้งานวันนี้ แต่อนาคตอาจจะตกงาน เพราะภาษาส้มสู้เด็กใหม่ๆไม่ได้เลย แพ้เด็กๆแน่นอนค่ะ ไม่อยากตกงานตอนแก่ค่ะ มันฟังดูน่ากลัววววว 555 ส้มเลยมีความคิดว่าส้มอยากจะพัฒนาภาษาของตัวเองก่อนค่ะ ที่อยากได้มากๆเลยคือสำเนียงและการใช้จริงค่ะ เลยตัดสินใจว่าอยากจะมาอยู่ USA เรียนภาษาและก็ทดลองใช้ภาษาอังกฤษให้อยู่ในชีวิตประจำวันจริงๆ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าส้มคิดตั้งแต่แรกว่าจะทำเรื่องสมัครเรียนและวีซ่าเองทั้งหมดค่ะ เพื่อเป็นการประหยัดงบ และได้ฝึกภาษาเล็กน้อย ข้อมูลเราเอง เราต้องกรอกได้ดีที่สุดค่ะ เลยเปิดเข้ามาอ่านกระทู้รีวิวต่างๆในพันทิปเนี่ยแหละค่ะ ก็เลยพอจะเรียบเรียงได้ว่า
สมัครเรียน -> ได้รับ i-20 จากโรงเรียน -> นำ i-20 ไปยื่นขอวีซ่าในเว็ปไซต์ + นัดวันสัมภาษณ์ -> ไปสัมภาษณ์ -> (ถ้าผ่าน) รอวีซ่าส่งมาบ้าน เตรียมบิน
ต่อไปส้มจะรีวิวแต่ละขั้นตอนนะคะ
--- สมัครเรียน จนถึงได้รับ i-20 ---
ส้มหาข้อมูลจากพันทิปค่ะ มีโรงเรียนแนะนำเยอะมาก เลยคิดว่าต้องเลือกเมืองก่อนค่ะ ด้วยความที่มีเพื่อนอยู่ที่ชิคาโก 1 คน และส้มไม่คิดจะซื้อรถ ต้องหาเมืองที่เดินทางสะดวก กะว่าจะฝากเพื่อนดูที่พักให้ด้วยค่ะ เลยตัดสินใจเลือกชิคาโก จากนั้นก็หาโรงเรียนในชิคาโก ซึ่งมีเยอะมากกกกกกกกก... จากที่สอบถามเพื่อน และข้อมูลจากพันทิป โรงเรียนที่ส้มเลือกคือ BIR Training Center ค่ะ เหตุผลเพราะว่า ราคาไม่แพง สามารถเลือกวันเวลาเรียนได้เอง และมีเจ้าหน้าที่คนไทยทำงานที่นั้นค่ะ ส้มคิดว่าน่าจะง่ายต่อการสอบถามข้อมูลติดต่อ รวมถึงถ้ามีปัญหาอะไรในอนาคตตอนที่มาเรียนแล้วด้วยค่ะ ทีแรกบอกตรงๆเลยว่าก็หวั่นใจค่ะ บางคนก็บอกว่าโรงเรียนที่ราคาถูกขอวีซ่ายากนะ โรงเรียนนี้ไม่ดีนะ บลาๆ อ่านรีวิวในพันทิปก็มีทั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ด้วยความที่เรามีงบจำกัด แล้วก็ต้องเผื่อเงินไปจ่ายในส่วนที่พักและชีวิตประจำวันด้วยแล้ว เลยตัดสินใจเด็ดขาดเลือกโรงเรียนนี้ค่ะ ส้มก็ได้สมัครเรียนไปทางเว็ปไซต์ และมีพี่คนไทยติดต่อกลับมาภายในสองวันเลยค่ะ เร็วมาก 55 จากนั้นพี่เค้าก็ให้เตรียมเอกสารที่ใช้สมัครเรียนค่ะ ก็มี statement , transcript , บัตรประชาชน , ทะเบียนบ้าน , พาสปอร์ต , หนังสือสปอนเซอร์ ค่ะ ส่งให้พี่เค้าดำเนินการ ประมาณ 2 อาทิตย์ i-20 ก็ส่งมาที่บ้านค่ะ
--- นำ i-20 ไปยืนขอวีซ่าในเว็ปไซต์ ---
ระหว่างที่รอ i-20 ส้มก็เตรียมเอกสารอื่นค่ะ
- พาสปอร์ต
- รูปถ่าย 2x2 นิ้ว พื้นสีขาว ให้เห็นใบหูเยอะๆ ขอไฟล์รูปมาด้วยนะคะ จำเป็นมาก ต้องใช้ค่ะ อันนี้อ่านมาจากพันทิปค่ะ เค้าแนะนำมา อิอิ
- ใบรับรองวุฒิการศึกษาที่จบมา
- Transcript และ ใบรับรองการทำงานค่ะ
- ใบรับรองเงินฝากของสปอนเซอร์ค่ะ ส้มให้คุณแม่สปอนเซอร์ค่ะ
- เอกสาร i-20 ที่ส่งมาจากโรงเรียน
หลังจากนั้นก็เข้าไปจ่ายค่าธรรมเนียม SEVIS ก่อนที่
https://www.fmjfee.com/ เป็นเงิน $200 ส้มใช้บัตรเครดิตคุณแม่จ่ายค่ะ เพราะเห็นมาจากกระทู้ในพันทิป กรอกข้อมูล SEVIS อ้างอิงจาก i-20 นะคะ ดังนั้นต้องมี I-20 ก่อนค่ะ พอกรอกข้อมูลเสร็จ จ่ายเงิน ก็จะมีใบเสร็จรับรองการจ่ายเงินให้ค่ะ ปริ้นออกมาเพื่อนำไปกรอกข้อมูลวีซ่า และถือไปในวันสัมภาษณ์ด้วยค่ะ
ในการกรอกข้อมูลวีซ่าให้ไปที่
https://ceac.state.gov/genniv/default.aspx มีภาษาให้เลือกด้วยนะคะ จะช่วยแปลให้ค่ะ มีกระทู้นึงแนะนำว่า อย่าลืมจดหมายเลขยืนยัน DS-160 ที่มุมขวาบนไว้ด้วยค่ะ เผื่อว่าใช้เวลากรอกนานเกินไป ระบบมันก็จะตัดไปอัตโนมัติ ถ้าเรามีหมายเลขยืนยันเราก็เข้าไปที่ RETRIEVE AN APPLICATION และตอบคำถามเพื่อความปลอดภัยที่ตั้งไว้ แล้วกรอกข้อมูลต่อได้เลยค่ะ ถ้าไม่มีก็ต้องไปเริ่มกรอกใหม่เลยนะคะ ข้อมูลที่ส้มกรอกก็มาจากเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่ค่ะ เพิ่มเติมคือ ที่อยู่ในอเมริกา (ส้มกรอกว่าให้ทางโรงเรียนจัดการให้ค่ะ) , แผนการเดินทาง (ถ้ามี ตอนกรอกยังไม่มีค่ะ คร่าวๆแค่ว่าจะรอได้วีซ่าก่อนค่อยซื้อตั๋วค่ะ) , ชื่อบุคคลที่เราจะเดินทางไปด้วย (อันนี้เดินทางคนเดียวค่ะ) , ข้อมูลของผู้ที่จะรับรองเรา 2 คนที่อยู่ในไทย (ของส้มพ่อกับแม่ค่ะ) , ข้อมูลของคนรู้จักที่อยู่ที่อเมริกา (ตอบไปว่าไม่มีค่ะ) กรอกข้อมูลเสร็จก็อัพโหลดรูปค่ะ ปริ้นใบ Confirmation ต้องใช้ในวันสัมภาษณ์ และข้อมูลทั้งหมดที่เรากรอกไปค่ะ จะได้อ่านว่าเรากรอกอะไรไปบ้าง เวลาตอบคำถามกงสุลก็จะได้ตอบตรงกับที่เรากรอก เมื่อกรอกข้อมูลเรียบร้อยก็ไปนัดคิวสัมภาษณ์ที่
https://cgifederal.secure.force.com/ ลงทะเบียนเป็นผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลสมัครแล้วอย่าลืมจด username กับ password ไว้นะคะ เมื่อเรากรอกข้อมูลของครบแล้ว ก็จ่ายเงินค่ะ โดยการปริ้นเอกสารที่มีหมายเลขใบเสร็จเพื่อใช้ชำระเงินที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาค่ะ (U.S. Visa fee deposit slip) ไปดาวน์โหลดแบบฟอร์มการชำระเงินของธนาคารที่
http://www.ustraveldocs.com/th_th/BAYDepositSlip.pdf มาด้วยนะคะ เอกสารครบก็ไปจ่ายตังได้เลยค่ะ จะได้ใบเสร็จจากธนาคารมาเก็บไว้ แต่พอจ่ายเงินแล้วยังจองคิวไม่ได้ทันทีนะคะ เราต้องรอวันถัดไป ส้มอ่านอ้างอิงจากพันทิปเช่นเดียวกันค่ะ มีประโยชน์มากจริงๆเว็บนี้ อิอิ
--- นัดวันสัมภาษณ์ ---
เมื่อจ่ายเงินไปแล้ว 1 วันทำการ ให้เข้าไปที่
https://cgifederal.secure.force.com/ ไปที่การชำระเงินใส่เลขใบเสร็จของเราไปค่ะ ถ้าใส่ไปแล้วไปที่หน้าให้จองวันสัมภาษณ์ก็แสดงว่าเงินของราเข้าระบบแล้ว เมื่อระบบให้จองวันส้มก็เลือกเลยค่ะ 2 อาทิตย์หลังจากวันนั้น ปริ้นใบ Appointment Confirmation ไปด้วยนะคะ ต้องใช้ในวันสัมภาษณ์ค่ะ ระหว่างรอถึงวันสัมภาษณ์ ส้มก็จะนำเอกสารมาเช็คอีกครั้งค่ะ รวมทั้งเพิ่มเติมบางเอกสารไปเผื่อด้วยค่ะ เช่น ใบรับรองการทำงานของคุณแม่ รับรองเงินเดือน บลาๆ ก็เผื่อไว้หน่ะค่ะ อย่าลืมเอกสารสำคัญทุกใบที่ปริ้นออกมานะคะ ใบเสร็จจ่ายเงินต่างๆ หอบไปให้หมดเลยค่ะ
--- วันสัมภาษณ์ ---
ส้มไปต่อแถวแต่เช้าเลยค่ะ เค้าก็ให้เราฝากของไว้ข้างหน้า จากนั้นก็เข้าไปค่ะ ตอนสัมภาษณ์ส้มโดนเป็นภาษาอังกฤษค่ะ แต่ก็ขอให้เค้าพูดช้าๆค่ะ ถามแค่แปปเดียวค่ะ แปปเดียวจริงๆ ชื่อ ? ไปทำอะไร ? ส้มก็ตอบว่าไปเรียนภาษาค่ะ แล้วก็ถามว่า เคยเรียนที่ไทยรึยัง ? ส้มตอบว่าเคยค่ะ แต่สำเนียงยังไม่ได้ ไม่ค่อยได้ใช้ค่ะ ก็ถามอีกว่ามีใบรับรองไหม ส้มก็ตอบว่าไม่ได้ติดมาด้วยค่ะ จากนั้นก็ถามถึงสปอนเซอร์ว่าใคร ? ส้มก็บอกแม่ แล้วก็ไม่ดูเอกสารอะไรเลยค่ะ ดูแค่ transcript กับใบ i-20 กดคอมนิดหน่อย เก็บพาสปอร์ตส้มไป แล้วบอกให้กลับบ้านได้ค่ะ ตอนนั้นดีใจมากค่ะ แทบกรี๊ด ก็ไหว้ขอบคุณล่ะก็ออกมาค่ะ รอวีซ่า 1 อาทิตย์ก็ถึงบ้านค่ะ ส้มได้วีซ่า F-1 มา 5 ปีค่ะ ดีใจมากกกกกกกกกก ^^
หลังจากนั้นส้มก็ทำการหาตั๋วเครื่องบิน ไปได้ของ
https://www.skyscanner.com/ ได้ตั๋วของการบินไทยบ้านเรานี่เอง ส่วนเรื่องที่พักส้มวานเพื่อนที่อยู่ที่ชิคาโกหาให้ค่ะ จากนั้นก็รอวีซ่ามา ซื้อของ เตรียมบินค่ะ ^^”
หลังจากวีซ่ามาถึงประมาณ 1 เดือน ส้มก็เดินทางมาถึงชิคาโกค่ะ อ่อ เราสามารถเดือนทางมาก่อนโรงเรียนเปิดได้นะคะ ส้มมาก่อน 3 อาทิตย์ค่ะ มาปรับตัวกับอากาศเย็นนนนนนนนนนนน 555
แต่การเดินทางสะดวกสบายค่ะ รถไฟ รถบัส คือดีค่ะ ก่อนเริ่มเรียนส้มต้องไปทดสอบระดับภาษากับทางโรงเรียนก่อนค่ะ ซึ่งเค้าจะจัดห้องเรียนตามนั้นค่ะ วันแรกที่ไปทดสอบภาษาตื่นเต้นมาก คิดว่าคงได้ต่ำสุดซะแล้ว 555 โรงเรียนอยู่ในดาวทาวของชิคาโก้ หาง่ายมากค่ะ ไปถึงก็ทำบัตรนักเรียน ถ่ายรูป แล้วก็ไปเข้าห้องแนะนำโรงเรียนค่ะ มีนักเรียนมาจากชาติต่างๆเยอะมากเลยค่ะ ฝั่งเอเชียก็จะมี จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรปก็มีค่ะ บรรยากาศน่าสนุกมาก ช่วงบ่ายก็ได้ทดสอบภาษาค่ะ ส้มได้ระดับกลางค่ะ ดีกว่าเริ่มต้น 1 ขั้น 5555 หลังจากนั้นก็กลับบ้านไปรอวันเปิดเทอมในอาทิตย์หน้าค่ะ
จบรีวิวแล้วค่ะ ยาวมากเลย ทีแรกว่าจะสรุปสั้นๆ แต่อยากให้ทุกคนทำตามได้จริงๆ เลยใส่เต็มไปเลย หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคนบ้างนะคะ ตอนนี้ส้มเริ่มเรียนได้เดือนที่ 2 แล้วค่ะ มีเพื่อนมากขึ้น หลายชาติ สนุกสนานกันไป ที่ชิคาโกหิมะตกแล้วค่ะ หนาวมากกกกกก ๆๆๆๆ
ขอบคุณที่ทุกคนอ่านจนจบนะคะ ถ้าผิดพลาดยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ มือใหม่จริงๆค่ะ ไว้ถ้ามีเวลาส้มจะมารีวิวการเรียนและเรื่องตลกของเพื่อนต่างชาติอีกทีนะคะ บายคร้า >.<”
จาก QA Engineer มาเป็นนักเรียนที่ USA เพราะไม่อยากตกงานตอนแก่ และรวมการขอวีซ่า F-1 ด้วยตัวเอง
ส้มอยากจะมารีวิวการสมัครเรียน ขอวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน จนถึงการเดินทางมาเรียนภาษาอังกฤษที่ USA ค่ะ เผื่อเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากจะทำเอง ประหยัดไปเยอะเลยค่ะ
ก่อนตัดสินใจมาเรียนภาษาที่ USA ส้มอายุ 25 ปีค่ะ ทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่งเกี่ยวกับสายงานก่อสร้าง ตำแหน่ง QA Engineer ได้ประมาณ 2 ปีค่ะ ซึ่งงานของส้มจำเป็นอย่างมากที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษค่ะ ส้มเคยเรียนภาษาอังกฤษกับสถาบันต่างๆที่เค้าบอกว่าดี ตระเวนเรียนไปหมด ผลก็คือเรื่องคำศัพท์และแกรมม่าอยู่ในขั้นดีเลยค่ะ แต่สำเนียง การออกเสียง การฟัง และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ค่อยได้เลย ประกอบกับในตอนนั้นมีความคิดที่อยากจะเปลี่ยนงานค่ะ เลยลองส่งใบสมัครไปหลายบริษัทเลย ทุกบริษัทที่โทรกลับมาสนใจในโปรไฟล์ส้มหมดเลยค่ะ มีประสบการณ์ทำงานมาแล้วเค้ายิ่งชอบค่ะ แต่ !!! ก็จะถามว่า “ภาษาอังกฤษโอเคไหม?? ได้ภาษารึเปล่า?? ” ซึ่งส้มก็จะบอกเค้าไปว่าพูดได้นิดหน่อยค่ะ ไม่อยากโม้เพื่อให้ได้งานค่ะ ทำไม่ได้จริงมันไม่โอเคค่ะ ทุกบริษัทแทบจะบอกเหมือนกันหมดว่า ถึงไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนเค้ายินดีสอนให้ค่ะถ้าภาษาอังกฤษดี O_O วินาทีนั้นส้มรู้เลยค่ะว่า ถึงได้งานวันนี้ แต่อนาคตอาจจะตกงาน เพราะภาษาส้มสู้เด็กใหม่ๆไม่ได้เลย แพ้เด็กๆแน่นอนค่ะ ไม่อยากตกงานตอนแก่ค่ะ มันฟังดูน่ากลัววววว 555 ส้มเลยมีความคิดว่าส้มอยากจะพัฒนาภาษาของตัวเองก่อนค่ะ ที่อยากได้มากๆเลยคือสำเนียงและการใช้จริงค่ะ เลยตัดสินใจว่าอยากจะมาอยู่ USA เรียนภาษาและก็ทดลองใช้ภาษาอังกฤษให้อยู่ในชีวิตประจำวันจริงๆ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าส้มคิดตั้งแต่แรกว่าจะทำเรื่องสมัครเรียนและวีซ่าเองทั้งหมดค่ะ เพื่อเป็นการประหยัดงบ และได้ฝึกภาษาเล็กน้อย ข้อมูลเราเอง เราต้องกรอกได้ดีที่สุดค่ะ เลยเปิดเข้ามาอ่านกระทู้รีวิวต่างๆในพันทิปเนี่ยแหละค่ะ ก็เลยพอจะเรียบเรียงได้ว่า
สมัครเรียน -> ได้รับ i-20 จากโรงเรียน -> นำ i-20 ไปยื่นขอวีซ่าในเว็ปไซต์ + นัดวันสัมภาษณ์ -> ไปสัมภาษณ์ -> (ถ้าผ่าน) รอวีซ่าส่งมาบ้าน เตรียมบิน
ต่อไปส้มจะรีวิวแต่ละขั้นตอนนะคะ
--- สมัครเรียน จนถึงได้รับ i-20 ---
ส้มหาข้อมูลจากพันทิปค่ะ มีโรงเรียนแนะนำเยอะมาก เลยคิดว่าต้องเลือกเมืองก่อนค่ะ ด้วยความที่มีเพื่อนอยู่ที่ชิคาโก 1 คน และส้มไม่คิดจะซื้อรถ ต้องหาเมืองที่เดินทางสะดวก กะว่าจะฝากเพื่อนดูที่พักให้ด้วยค่ะ เลยตัดสินใจเลือกชิคาโก จากนั้นก็หาโรงเรียนในชิคาโก ซึ่งมีเยอะมากกกกกกกกก... จากที่สอบถามเพื่อน และข้อมูลจากพันทิป โรงเรียนที่ส้มเลือกคือ BIR Training Center ค่ะ เหตุผลเพราะว่า ราคาไม่แพง สามารถเลือกวันเวลาเรียนได้เอง และมีเจ้าหน้าที่คนไทยทำงานที่นั้นค่ะ ส้มคิดว่าน่าจะง่ายต่อการสอบถามข้อมูลติดต่อ รวมถึงถ้ามีปัญหาอะไรในอนาคตตอนที่มาเรียนแล้วด้วยค่ะ ทีแรกบอกตรงๆเลยว่าก็หวั่นใจค่ะ บางคนก็บอกว่าโรงเรียนที่ราคาถูกขอวีซ่ายากนะ โรงเรียนนี้ไม่ดีนะ บลาๆ อ่านรีวิวในพันทิปก็มีทั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ด้วยความที่เรามีงบจำกัด แล้วก็ต้องเผื่อเงินไปจ่ายในส่วนที่พักและชีวิตประจำวันด้วยแล้ว เลยตัดสินใจเด็ดขาดเลือกโรงเรียนนี้ค่ะ ส้มก็ได้สมัครเรียนไปทางเว็ปไซต์ และมีพี่คนไทยติดต่อกลับมาภายในสองวันเลยค่ะ เร็วมาก 55 จากนั้นพี่เค้าก็ให้เตรียมเอกสารที่ใช้สมัครเรียนค่ะ ก็มี statement , transcript , บัตรประชาชน , ทะเบียนบ้าน , พาสปอร์ต , หนังสือสปอนเซอร์ ค่ะ ส่งให้พี่เค้าดำเนินการ ประมาณ 2 อาทิตย์ i-20 ก็ส่งมาที่บ้านค่ะ
--- นำ i-20 ไปยืนขอวีซ่าในเว็ปไซต์ ---
ระหว่างที่รอ i-20 ส้มก็เตรียมเอกสารอื่นค่ะ
- พาสปอร์ต
- รูปถ่าย 2x2 นิ้ว พื้นสีขาว ให้เห็นใบหูเยอะๆ ขอไฟล์รูปมาด้วยนะคะ จำเป็นมาก ต้องใช้ค่ะ อันนี้อ่านมาจากพันทิปค่ะ เค้าแนะนำมา อิอิ
- ใบรับรองวุฒิการศึกษาที่จบมา
- Transcript และ ใบรับรองการทำงานค่ะ
- ใบรับรองเงินฝากของสปอนเซอร์ค่ะ ส้มให้คุณแม่สปอนเซอร์ค่ะ
- เอกสาร i-20 ที่ส่งมาจากโรงเรียน
หลังจากนั้นก็เข้าไปจ่ายค่าธรรมเนียม SEVIS ก่อนที่ https://www.fmjfee.com/ เป็นเงิน $200 ส้มใช้บัตรเครดิตคุณแม่จ่ายค่ะ เพราะเห็นมาจากกระทู้ในพันทิป กรอกข้อมูล SEVIS อ้างอิงจาก i-20 นะคะ ดังนั้นต้องมี I-20 ก่อนค่ะ พอกรอกข้อมูลเสร็จ จ่ายเงิน ก็จะมีใบเสร็จรับรองการจ่ายเงินให้ค่ะ ปริ้นออกมาเพื่อนำไปกรอกข้อมูลวีซ่า และถือไปในวันสัมภาษณ์ด้วยค่ะ
ในการกรอกข้อมูลวีซ่าให้ไปที่ https://ceac.state.gov/genniv/default.aspx มีภาษาให้เลือกด้วยนะคะ จะช่วยแปลให้ค่ะ มีกระทู้นึงแนะนำว่า อย่าลืมจดหมายเลขยืนยัน DS-160 ที่มุมขวาบนไว้ด้วยค่ะ เผื่อว่าใช้เวลากรอกนานเกินไป ระบบมันก็จะตัดไปอัตโนมัติ ถ้าเรามีหมายเลขยืนยันเราก็เข้าไปที่ RETRIEVE AN APPLICATION และตอบคำถามเพื่อความปลอดภัยที่ตั้งไว้ แล้วกรอกข้อมูลต่อได้เลยค่ะ ถ้าไม่มีก็ต้องไปเริ่มกรอกใหม่เลยนะคะ ข้อมูลที่ส้มกรอกก็มาจากเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่ค่ะ เพิ่มเติมคือ ที่อยู่ในอเมริกา (ส้มกรอกว่าให้ทางโรงเรียนจัดการให้ค่ะ) , แผนการเดินทาง (ถ้ามี ตอนกรอกยังไม่มีค่ะ คร่าวๆแค่ว่าจะรอได้วีซ่าก่อนค่อยซื้อตั๋วค่ะ) , ชื่อบุคคลที่เราจะเดินทางไปด้วย (อันนี้เดินทางคนเดียวค่ะ) , ข้อมูลของผู้ที่จะรับรองเรา 2 คนที่อยู่ในไทย (ของส้มพ่อกับแม่ค่ะ) , ข้อมูลของคนรู้จักที่อยู่ที่อเมริกา (ตอบไปว่าไม่มีค่ะ) กรอกข้อมูลเสร็จก็อัพโหลดรูปค่ะ ปริ้นใบ Confirmation ต้องใช้ในวันสัมภาษณ์ และข้อมูลทั้งหมดที่เรากรอกไปค่ะ จะได้อ่านว่าเรากรอกอะไรไปบ้าง เวลาตอบคำถามกงสุลก็จะได้ตอบตรงกับที่เรากรอก เมื่อกรอกข้อมูลเรียบร้อยก็ไปนัดคิวสัมภาษณ์ที่ https://cgifederal.secure.force.com/ ลงทะเบียนเป็นผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลสมัครแล้วอย่าลืมจด username กับ password ไว้นะคะ เมื่อเรากรอกข้อมูลของครบแล้ว ก็จ่ายเงินค่ะ โดยการปริ้นเอกสารที่มีหมายเลขใบเสร็จเพื่อใช้ชำระเงินที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาค่ะ (U.S. Visa fee deposit slip) ไปดาวน์โหลดแบบฟอร์มการชำระเงินของธนาคารที่ http://www.ustraveldocs.com/th_th/BAYDepositSlip.pdf มาด้วยนะคะ เอกสารครบก็ไปจ่ายตังได้เลยค่ะ จะได้ใบเสร็จจากธนาคารมาเก็บไว้ แต่พอจ่ายเงินแล้วยังจองคิวไม่ได้ทันทีนะคะ เราต้องรอวันถัดไป ส้มอ่านอ้างอิงจากพันทิปเช่นเดียวกันค่ะ มีประโยชน์มากจริงๆเว็บนี้ อิอิ
--- นัดวันสัมภาษณ์ ---
เมื่อจ่ายเงินไปแล้ว 1 วันทำการ ให้เข้าไปที่ https://cgifederal.secure.force.com/ ไปที่การชำระเงินใส่เลขใบเสร็จของเราไปค่ะ ถ้าใส่ไปแล้วไปที่หน้าให้จองวันสัมภาษณ์ก็แสดงว่าเงินของราเข้าระบบแล้ว เมื่อระบบให้จองวันส้มก็เลือกเลยค่ะ 2 อาทิตย์หลังจากวันนั้น ปริ้นใบ Appointment Confirmation ไปด้วยนะคะ ต้องใช้ในวันสัมภาษณ์ค่ะ ระหว่างรอถึงวันสัมภาษณ์ ส้มก็จะนำเอกสารมาเช็คอีกครั้งค่ะ รวมทั้งเพิ่มเติมบางเอกสารไปเผื่อด้วยค่ะ เช่น ใบรับรองการทำงานของคุณแม่ รับรองเงินเดือน บลาๆ ก็เผื่อไว้หน่ะค่ะ อย่าลืมเอกสารสำคัญทุกใบที่ปริ้นออกมานะคะ ใบเสร็จจ่ายเงินต่างๆ หอบไปให้หมดเลยค่ะ
--- วันสัมภาษณ์ ---
ส้มไปต่อแถวแต่เช้าเลยค่ะ เค้าก็ให้เราฝากของไว้ข้างหน้า จากนั้นก็เข้าไปค่ะ ตอนสัมภาษณ์ส้มโดนเป็นภาษาอังกฤษค่ะ แต่ก็ขอให้เค้าพูดช้าๆค่ะ ถามแค่แปปเดียวค่ะ แปปเดียวจริงๆ ชื่อ ? ไปทำอะไร ? ส้มก็ตอบว่าไปเรียนภาษาค่ะ แล้วก็ถามว่า เคยเรียนที่ไทยรึยัง ? ส้มตอบว่าเคยค่ะ แต่สำเนียงยังไม่ได้ ไม่ค่อยได้ใช้ค่ะ ก็ถามอีกว่ามีใบรับรองไหม ส้มก็ตอบว่าไม่ได้ติดมาด้วยค่ะ จากนั้นก็ถามถึงสปอนเซอร์ว่าใคร ? ส้มก็บอกแม่ แล้วก็ไม่ดูเอกสารอะไรเลยค่ะ ดูแค่ transcript กับใบ i-20 กดคอมนิดหน่อย เก็บพาสปอร์ตส้มไป แล้วบอกให้กลับบ้านได้ค่ะ ตอนนั้นดีใจมากค่ะ แทบกรี๊ด ก็ไหว้ขอบคุณล่ะก็ออกมาค่ะ รอวีซ่า 1 อาทิตย์ก็ถึงบ้านค่ะ ส้มได้วีซ่า F-1 มา 5 ปีค่ะ ดีใจมากกกกกกกกกก ^^
หลังจากนั้นส้มก็ทำการหาตั๋วเครื่องบิน ไปได้ของ https://www.skyscanner.com/ ได้ตั๋วของการบินไทยบ้านเรานี่เอง ส่วนเรื่องที่พักส้มวานเพื่อนที่อยู่ที่ชิคาโกหาให้ค่ะ จากนั้นก็รอวีซ่ามา ซื้อของ เตรียมบินค่ะ ^^”
หลังจากวีซ่ามาถึงประมาณ 1 เดือน ส้มก็เดินทางมาถึงชิคาโกค่ะ อ่อ เราสามารถเดือนทางมาก่อนโรงเรียนเปิดได้นะคะ ส้มมาก่อน 3 อาทิตย์ค่ะ มาปรับตัวกับอากาศเย็นนนนนนนนนนนน 555
แต่การเดินทางสะดวกสบายค่ะ รถไฟ รถบัส คือดีค่ะ ก่อนเริ่มเรียนส้มต้องไปทดสอบระดับภาษากับทางโรงเรียนก่อนค่ะ ซึ่งเค้าจะจัดห้องเรียนตามนั้นค่ะ วันแรกที่ไปทดสอบภาษาตื่นเต้นมาก คิดว่าคงได้ต่ำสุดซะแล้ว 555 โรงเรียนอยู่ในดาวทาวของชิคาโก้ หาง่ายมากค่ะ ไปถึงก็ทำบัตรนักเรียน ถ่ายรูป แล้วก็ไปเข้าห้องแนะนำโรงเรียนค่ะ มีนักเรียนมาจากชาติต่างๆเยอะมากเลยค่ะ ฝั่งเอเชียก็จะมี จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรปก็มีค่ะ บรรยากาศน่าสนุกมาก ช่วงบ่ายก็ได้ทดสอบภาษาค่ะ ส้มได้ระดับกลางค่ะ ดีกว่าเริ่มต้น 1 ขั้น 5555 หลังจากนั้นก็กลับบ้านไปรอวันเปิดเทอมในอาทิตย์หน้าค่ะ
จบรีวิวแล้วค่ะ ยาวมากเลย ทีแรกว่าจะสรุปสั้นๆ แต่อยากให้ทุกคนทำตามได้จริงๆ เลยใส่เต็มไปเลย หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคนบ้างนะคะ ตอนนี้ส้มเริ่มเรียนได้เดือนที่ 2 แล้วค่ะ มีเพื่อนมากขึ้น หลายชาติ สนุกสนานกันไป ที่ชิคาโกหิมะตกแล้วค่ะ หนาวมากกกกกก ๆๆๆๆ
ขอบคุณที่ทุกคนอ่านจนจบนะคะ ถ้าผิดพลาดยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ มือใหม่จริงๆค่ะ ไว้ถ้ามีเวลาส้มจะมารีวิวการเรียนและเรื่องตลกของเพื่อนต่างชาติอีกทีนะคะ บายคร้า >.<”