การเดินทางที่ค่อนข้างไกลทำให้ผมนอนหลับใหลไม่รู้เรื่อง
จนแสงแดดยามเช้ากระทบตาทำให้ผมค่อยๆยืดตัวขึ้นมาและขยี้ตาเล็กน้อย ภูเขาและต้นไม้ข้างทางทำให้ผมตาสว่างขึ้น...เหล่าใบไม้สีเหลืองสีแดงใบไม้แห้ง บ่งบอกฤดูกาลได้เป็นอย่างดี และสีเหลืองของดอกราชพฤกษ์ทำให้ผมนึกได้ว่า...สงกรานต์ได้ก้าวเข้ามาอย่างเต็มตัวแล้ว
ในเช้าวันนี้เช้าวันที่... 11 เม.ย. ผมหันไปมองแม่เล็กน้อยซึ่งแม่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดื่มด่ำกับธรรมชาติข้างทาง แม่ทำราวกับว่าต้นไม้ใบหญ้ามันกำลังเขียวชอุ่ม...แต่สำหรับผมใบไม้แห้งมันก็สวยดีนะ สวยตามวัย...บ่งบอกว่ามันดำเนินชีวิตมาไกลแค่ไหนมาได้ไกลอย่างสง่า
แม้ว่าจะต้องโรยราสู่พื้นดินก็ตาม
“ตาไท ใกล้ถึงแล้วนะลูก...แม่ดีใจจนบอกไม่ถูกเลย” ผมกุมมือแม่ไว้เล็กน้อยอย่างให้กำลังใจ...ผมก็ตื่นเต้นไม่ต่างกันเหมือนกับว่าผมกำลังภาวนาอะไรไม่รู้อยู่ในใจเบาๆ ...
“แล้วนี่แม่จะไปหาใครเหรอครับ”
“แม่ว่าจะไปขอพักบ้านคุณยายเพียรน่ะ เพราะยายแกเป็นเพื่อนยายลูก...ถ้าแกยังมีชีวิตอยู่นะ เพราะแม่ก็ไม่รู้ว่ากาลเวลาพาแกจากไปหรือเปล่า แกเป็นคนแข็งแรงไม่เหมือนยายของลูกเจ็บออดแอดตั้งแต่สาวๆยันแต่งงานก็เลยอยู่ไม่นานเท่าไหร่” ความกังวลเริ่มฉายชัดแต่ผมก็รีบปัดมันออกไปจากแววตานี้...แววตาที่ผมอยากให้มันห่มไปด้วยยิ้ม
“ผมเชื่อนะครับว่ายายเพียรเขาต้องยังอยู่...รอให้แม่ไปกราบเท้าท่าน ผมว่าแม่ไปต้องคิดมากหรอกครับ ขนาดธรรมชาติแถบนี้ยังไม่เปลี่ยนไปอะไรๆก็คงน่าจะเหมือนเดิม”
“ไทจำได้ด้วยเหรอว่าแต่ก่อนที่นี่เป็นแบบนี้” แม่ประหลาดใจคล้ายๆกับผม ผมในวัยเด็กไม่อยากจดจำอะไรเกี่ยวกับที่นี่...แต่วันนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าภาพเหล่านั้นมันได้ตราเข้าไปลึกมากๆ ถิ่นทุรกันดาร...ที่แทบจะเข้าฝันผมอยู่บ่อยๆ ติดตรงที่มันเป็นฝันร้าย แต่วันนี้ผมจะทำให้มันเป็นความจริง...ความจริงที่งดงาม ตามรอยยัยดอกไม่ในสายหมอก...นั่นไง ต่อให้ไม่มีแล็ปท็อปผมก็ลักลอบคิดถึงชื่อยัยนั่นอยู่ดี
“ก็นิดหน่อยครับแม่” เมื่อล้อรถหมุนวนมาจนถึงหมู่บ้านภาพที่ผมเห็นนั้นคือหลังคาของบ้านหลายหลัง ที่ยังอยู่ห่างๆกัน มีร่องรอยการทำไร่นาเรือกสวนซึ่งบ่งบอกว่ามันได้ผ่านขบวนการเก็บเกี่ยวมาแล้ว
“ขับเข้าไปเรื่อยๆเลยนะลุงทบ ไปในสุดของหมู่บ้านเลย... เพราะว่านี่แค่ส่วนนอกหมู่บ้าน” แม่บอกคนขับรถพร้อมหันมาบอกผม ผมพยักหน้ารับทราบแล้วมองไปที่หน้าต่างรถดังเดิม... วิถีชาวบ้านขนานแท้ มีไร่นา วัวควาย ชาวบ้านใส่ชุดพื้นๆธรรมดาผมรู้สึกว่ามันสบายตากว่าชุดสูทหรูๆเป็นไหนๆ นี่ผมกำลังอยากมาทำไร่ทำสวนหรือเปล่า? ผมยิ้มให้กับความคิดอันมึนเมาของตัวเอง
‘สืบสานตำนานเล่า...ผูกเรื่องเก่ามาเล่าใหม่’ ป้ายใหญ่ๆที่ติดไว้ตรงนั้นเหมือนมันหล่นทับลงมา...และกระชากบางอย่างออกจากร่างผมสักครู่ ผมอยากเดินจากรถลงไปดูให้แน่ใจในตอนนั้น...นี่ผมคิดแต่เรื่องของยัยนั่นจนเก็บมาฝัน? หรือตาฝาด? ใจที่เต้นแรง...กับแข้งขาอ่อน ให้ตายเถอะผมยังไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต...ยัยดอกไม้ในสายหมอกอย่าบอกนะว่า...ที่เธอเล่ามาทั้งหมดฉันกำลังจะได้มาสัมผัสอย่างหมดจดด้วยตาตัวเอง ให้ตายเถอะ...ผมอยากเปล่งอะไรก็ได้ออกจากปาก
“ไท แม่อ่านไม่ทันเลยลูก...ป้ายอะไรเหรอ?” ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนบอกแม่ว่า...
“สืบสานตำนานเล่า...ผูกเรื่องเก่ามาเล่าใหม่”
“จริงเหรอ? ไท! แม่ว่ามันต้องเกี่ยวกับการอนุรักษ์อะไรบางอย่างแน่ๆ โชคดีของเราแท้ๆเลยนะลูก” ผมทำหน้าไม่ถูกไปเลยทีเดียว...มันเป็นโชคดีของแม่จริงๆครับแต่สำหรับผม...ไม่แน่ใจ
ผมเคยคิดว่าผมอยากมางานประเพณีนี้แต่พอมาคิดอีกทีผมก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไง? จริงอยู่ที่ยัยดอกไม้บ้าบอนั่นไม่รู้จักผม จริงอยู่ที่ผมไม่เคยเห็นหน้าเธอ... แต่ตอนนี้ใจผมมันพร่าเบลอไปหมด ตื่นเต้นยิ่งกว่าเดทแรกซะอีก... เอ๊ะ แล้วทำไมผมต้องไปเปรียบเทียบกับเดทด้วย? นี่ไงไอ้ไท..มีคำถามยิ่งใหญ่ให้ปวดสมองอีกแล้ว
เมื่อรถจอดสนิทในบริเวณที่แม่บอกผมก็มองไปรอบๆแถบนั้น มีชาวบ้านสาละวนทำอะไรสักอย่าง บางกลุ่มตบกลองร้องเพลง... บางกลุ่มเป็นแม่บ้านเหมือนจะทำอาหาร บางกลุ่มก็จักสานไม้ไผ่... ผมมองไปอย่างงงๆเล็กน้อย เพราะผมไม่รู้ว่าที่เขาทำกันนั้นมันเรียกว่าอะไร
พอแม่ก้าวเท้าลงไปชาวบ้านก็พากันตกใจถ้วนหน้าผมเดาว่าน่าจะเป็นการดีใจนะ เพราะวิ่งมากอดกันใหญ่ถามไถ่กันดังสนั่น...
ซึ่งผมที่กำลังใจสั่นไม่กล้าขยับกาย ผมอยากหายตัวได้และบ๊ายบายทุกอย่างตรงนี้ ใจผมจดจ่ออยู่ที่...ยัยดอกไม้ในสายหมอก
เหมือนใจผมมันสั่งการว่าให้มองหาและเดาว่าเธอคือคนไหน เพราะสาวๆก็มีมากมายที่อยู่ในวงของแม่บ้านรุ่นใหญ่หลายๆคน นั่นแหละเขากำลังสาละวนทำอะไรกันก็ไม่รู้...
“ตาไท ลงมาได้แล้วลูก...ทำอะไรอยู่จ้ะ” แม่เรียกผมอย่างยิ้มๆ ซึ่งผมก็ค่อยๆก้าวลงไป ให้ตายเถอะ... นายไท นักธุรกิจที่มีแต่ความมั่นใจเดินไปไหนดูสง่า แต่ท่าทางของผมวันนี้สิไม่กล้ามองหน้าใครแล้วยืดอกมั่นใจไม่ได้ด้วย
“โห ตาไทไม่เจอกันตั้งนานโตมาเป็นหนุ่มหล่อเลยนะ” ผมยิ้มให้และยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม สาวๆในวงสนทนาหลายคนมองมาที่ผมบางคนก็อมยิ้มบางคนก็ทักทายซึ่งๆหน้า ซึ่งผมก็คิดตามยัยดอกไม้ในสายหมอกที่บอกว่า... มีคนกลับจาก กทม.
เป็นไปได้ว่าสาวๆเหล่านี้ก็เป็นคนเมืองซึ่งสายตาก็ไม่ได้ต่างไปจากสาวๆทั่วไปที่มองผม ถ้าจะให้เดายัยนั่นไม่ได้อยู่ในวงนั้นแน่ๆ แม้ว่าทุกคนจะใส่ผ้าถุงเสื้อยืดธรรมดาเหมือนสาวชาวบ้านแต่กิริยาผมว่าไม่ใช่...หรือผมคิดมากไปก็ไม่รู้ โอย เบื่อตัวเองตอนนี้...
“มาๆเข้าบ้านกันก่อนดีกว่านะ” ผมรีบเดินตามไปเมื่อหญิงวัยกลางคนรุ่นราวคราวเดียวกับแม่เชื้อเชิญเข้าบ้าน
“นี่ป้าน้อย ลูกสาวคุณยายเพียรเพื่อนแม่เองลูก” ผมยกมือไหว้อีกครั้งอย่างเป็นทางการซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มกว้างแผ่มาอย่างอบอุ่น ก่อนเดินหายเข้าไปเตรียมอะไรสักอย่างมาต้อนรับเรา...ผมเดาหรอกนะ บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้กึ่งปูนสองชั้นแต่มีบันไดไม้ขัดสีสวยเอาไว้เป็นทางขึ้นบ้านอีกทาง ซึ่งก็สร้างกันตามยุคสมัย...ผมไล่มองไปอย่างใจไม่ค่อยได้มองตาม ตอนนี้ผมกำลังจมอยู่กับคำถาม...ยัยดอกไม้ในสายหมอกอยู่ที่ไหน?
ตัวอักษรจากบล็อคที่เธอเล่า... นำพาให้เรามาพบกัน ตอน 5
จนแสงแดดยามเช้ากระทบตาทำให้ผมค่อยๆยืดตัวขึ้นมาและขยี้ตาเล็กน้อย ภูเขาและต้นไม้ข้างทางทำให้ผมตาสว่างขึ้น...เหล่าใบไม้สีเหลืองสีแดงใบไม้แห้ง บ่งบอกฤดูกาลได้เป็นอย่างดี และสีเหลืองของดอกราชพฤกษ์ทำให้ผมนึกได้ว่า...สงกรานต์ได้ก้าวเข้ามาอย่างเต็มตัวแล้ว
ในเช้าวันนี้เช้าวันที่... 11 เม.ย. ผมหันไปมองแม่เล็กน้อยซึ่งแม่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดื่มด่ำกับธรรมชาติข้างทาง แม่ทำราวกับว่าต้นไม้ใบหญ้ามันกำลังเขียวชอุ่ม...แต่สำหรับผมใบไม้แห้งมันก็สวยดีนะ สวยตามวัย...บ่งบอกว่ามันดำเนินชีวิตมาไกลแค่ไหนมาได้ไกลอย่างสง่า
แม้ว่าจะต้องโรยราสู่พื้นดินก็ตาม
“ตาไท ใกล้ถึงแล้วนะลูก...แม่ดีใจจนบอกไม่ถูกเลย” ผมกุมมือแม่ไว้เล็กน้อยอย่างให้กำลังใจ...ผมก็ตื่นเต้นไม่ต่างกันเหมือนกับว่าผมกำลังภาวนาอะไรไม่รู้อยู่ในใจเบาๆ ...
“แล้วนี่แม่จะไปหาใครเหรอครับ”
“แม่ว่าจะไปขอพักบ้านคุณยายเพียรน่ะ เพราะยายแกเป็นเพื่อนยายลูก...ถ้าแกยังมีชีวิตอยู่นะ เพราะแม่ก็ไม่รู้ว่ากาลเวลาพาแกจากไปหรือเปล่า แกเป็นคนแข็งแรงไม่เหมือนยายของลูกเจ็บออดแอดตั้งแต่สาวๆยันแต่งงานก็เลยอยู่ไม่นานเท่าไหร่” ความกังวลเริ่มฉายชัดแต่ผมก็รีบปัดมันออกไปจากแววตานี้...แววตาที่ผมอยากให้มันห่มไปด้วยยิ้ม
“ผมเชื่อนะครับว่ายายเพียรเขาต้องยังอยู่...รอให้แม่ไปกราบเท้าท่าน ผมว่าแม่ไปต้องคิดมากหรอกครับ ขนาดธรรมชาติแถบนี้ยังไม่เปลี่ยนไปอะไรๆก็คงน่าจะเหมือนเดิม”
“ไทจำได้ด้วยเหรอว่าแต่ก่อนที่นี่เป็นแบบนี้” แม่ประหลาดใจคล้ายๆกับผม ผมในวัยเด็กไม่อยากจดจำอะไรเกี่ยวกับที่นี่...แต่วันนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าภาพเหล่านั้นมันได้ตราเข้าไปลึกมากๆ ถิ่นทุรกันดาร...ที่แทบจะเข้าฝันผมอยู่บ่อยๆ ติดตรงที่มันเป็นฝันร้าย แต่วันนี้ผมจะทำให้มันเป็นความจริง...ความจริงที่งดงาม ตามรอยยัยดอกไม่ในสายหมอก...นั่นไง ต่อให้ไม่มีแล็ปท็อปผมก็ลักลอบคิดถึงชื่อยัยนั่นอยู่ดี
“ก็นิดหน่อยครับแม่” เมื่อล้อรถหมุนวนมาจนถึงหมู่บ้านภาพที่ผมเห็นนั้นคือหลังคาของบ้านหลายหลัง ที่ยังอยู่ห่างๆกัน มีร่องรอยการทำไร่นาเรือกสวนซึ่งบ่งบอกว่ามันได้ผ่านขบวนการเก็บเกี่ยวมาแล้ว
“ขับเข้าไปเรื่อยๆเลยนะลุงทบ ไปในสุดของหมู่บ้านเลย... เพราะว่านี่แค่ส่วนนอกหมู่บ้าน” แม่บอกคนขับรถพร้อมหันมาบอกผม ผมพยักหน้ารับทราบแล้วมองไปที่หน้าต่างรถดังเดิม... วิถีชาวบ้านขนานแท้ มีไร่นา วัวควาย ชาวบ้านใส่ชุดพื้นๆธรรมดาผมรู้สึกว่ามันสบายตากว่าชุดสูทหรูๆเป็นไหนๆ นี่ผมกำลังอยากมาทำไร่ทำสวนหรือเปล่า? ผมยิ้มให้กับความคิดอันมึนเมาของตัวเอง
‘สืบสานตำนานเล่า...ผูกเรื่องเก่ามาเล่าใหม่’ ป้ายใหญ่ๆที่ติดไว้ตรงนั้นเหมือนมันหล่นทับลงมา...และกระชากบางอย่างออกจากร่างผมสักครู่ ผมอยากเดินจากรถลงไปดูให้แน่ใจในตอนนั้น...นี่ผมคิดแต่เรื่องของยัยนั่นจนเก็บมาฝัน? หรือตาฝาด? ใจที่เต้นแรง...กับแข้งขาอ่อน ให้ตายเถอะผมยังไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต...ยัยดอกไม้ในสายหมอกอย่าบอกนะว่า...ที่เธอเล่ามาทั้งหมดฉันกำลังจะได้มาสัมผัสอย่างหมดจดด้วยตาตัวเอง ให้ตายเถอะ...ผมอยากเปล่งอะไรก็ได้ออกจากปาก
“ไท แม่อ่านไม่ทันเลยลูก...ป้ายอะไรเหรอ?” ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนบอกแม่ว่า...
“สืบสานตำนานเล่า...ผูกเรื่องเก่ามาเล่าใหม่”
“จริงเหรอ? ไท! แม่ว่ามันต้องเกี่ยวกับการอนุรักษ์อะไรบางอย่างแน่ๆ โชคดีของเราแท้ๆเลยนะลูก” ผมทำหน้าไม่ถูกไปเลยทีเดียว...มันเป็นโชคดีของแม่จริงๆครับแต่สำหรับผม...ไม่แน่ใจ
ผมเคยคิดว่าผมอยากมางานประเพณีนี้แต่พอมาคิดอีกทีผมก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไง? จริงอยู่ที่ยัยดอกไม้บ้าบอนั่นไม่รู้จักผม จริงอยู่ที่ผมไม่เคยเห็นหน้าเธอ... แต่ตอนนี้ใจผมมันพร่าเบลอไปหมด ตื่นเต้นยิ่งกว่าเดทแรกซะอีก... เอ๊ะ แล้วทำไมผมต้องไปเปรียบเทียบกับเดทด้วย? นี่ไงไอ้ไท..มีคำถามยิ่งใหญ่ให้ปวดสมองอีกแล้ว
เมื่อรถจอดสนิทในบริเวณที่แม่บอกผมก็มองไปรอบๆแถบนั้น มีชาวบ้านสาละวนทำอะไรสักอย่าง บางกลุ่มตบกลองร้องเพลง... บางกลุ่มเป็นแม่บ้านเหมือนจะทำอาหาร บางกลุ่มก็จักสานไม้ไผ่... ผมมองไปอย่างงงๆเล็กน้อย เพราะผมไม่รู้ว่าที่เขาทำกันนั้นมันเรียกว่าอะไร
พอแม่ก้าวเท้าลงไปชาวบ้านก็พากันตกใจถ้วนหน้าผมเดาว่าน่าจะเป็นการดีใจนะ เพราะวิ่งมากอดกันใหญ่ถามไถ่กันดังสนั่น...
ซึ่งผมที่กำลังใจสั่นไม่กล้าขยับกาย ผมอยากหายตัวได้และบ๊ายบายทุกอย่างตรงนี้ ใจผมจดจ่ออยู่ที่...ยัยดอกไม้ในสายหมอก
เหมือนใจผมมันสั่งการว่าให้มองหาและเดาว่าเธอคือคนไหน เพราะสาวๆก็มีมากมายที่อยู่ในวงของแม่บ้านรุ่นใหญ่หลายๆคน นั่นแหละเขากำลังสาละวนทำอะไรกันก็ไม่รู้...
“ตาไท ลงมาได้แล้วลูก...ทำอะไรอยู่จ้ะ” แม่เรียกผมอย่างยิ้มๆ ซึ่งผมก็ค่อยๆก้าวลงไป ให้ตายเถอะ... นายไท นักธุรกิจที่มีแต่ความมั่นใจเดินไปไหนดูสง่า แต่ท่าทางของผมวันนี้สิไม่กล้ามองหน้าใครแล้วยืดอกมั่นใจไม่ได้ด้วย
“โห ตาไทไม่เจอกันตั้งนานโตมาเป็นหนุ่มหล่อเลยนะ” ผมยิ้มให้และยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม สาวๆในวงสนทนาหลายคนมองมาที่ผมบางคนก็อมยิ้มบางคนก็ทักทายซึ่งๆหน้า ซึ่งผมก็คิดตามยัยดอกไม้ในสายหมอกที่บอกว่า... มีคนกลับจาก กทม.
เป็นไปได้ว่าสาวๆเหล่านี้ก็เป็นคนเมืองซึ่งสายตาก็ไม่ได้ต่างไปจากสาวๆทั่วไปที่มองผม ถ้าจะให้เดายัยนั่นไม่ได้อยู่ในวงนั้นแน่ๆ แม้ว่าทุกคนจะใส่ผ้าถุงเสื้อยืดธรรมดาเหมือนสาวชาวบ้านแต่กิริยาผมว่าไม่ใช่...หรือผมคิดมากไปก็ไม่รู้ โอย เบื่อตัวเองตอนนี้...
“มาๆเข้าบ้านกันก่อนดีกว่านะ” ผมรีบเดินตามไปเมื่อหญิงวัยกลางคนรุ่นราวคราวเดียวกับแม่เชื้อเชิญเข้าบ้าน
“นี่ป้าน้อย ลูกสาวคุณยายเพียรเพื่อนแม่เองลูก” ผมยกมือไหว้อีกครั้งอย่างเป็นทางการซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มกว้างแผ่มาอย่างอบอุ่น ก่อนเดินหายเข้าไปเตรียมอะไรสักอย่างมาต้อนรับเรา...ผมเดาหรอกนะ บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้กึ่งปูนสองชั้นแต่มีบันไดไม้ขัดสีสวยเอาไว้เป็นทางขึ้นบ้านอีกทาง ซึ่งก็สร้างกันตามยุคสมัย...ผมไล่มองไปอย่างใจไม่ค่อยได้มองตาม ตอนนี้ผมกำลังจมอยู่กับคำถาม...ยัยดอกไม้ในสายหมอกอยู่ที่ไหน?