บทความโดย เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์
การเมือง คือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด ส่วนสงคราม ก็คือการเมืองที่หลั่งเลือด
เหมา เจ๋อ ตุง
ปีศาจที่คอยหลอกหลอนประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ ก็คือ ความกลัวที่ว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า เพราะมันเป็นจังหวะที่ความขัดแย้งทางการเมืองไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ก้าวถึงจุดพลิกผันพอดี เมื่อผลไม้สุกงอม มันก็ย่อมร่วงหล่นจากต้น ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดฝ่าฝืนชะตากรรมนี้ได้
นี่อาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาคเอกชนของไทยไม่กล้าลงทุนโครงการใหญ่ๆ มันทำให้หลายๆ คนไม่อยากที่จะขยับขยายความคิดสร้างสรรค์และทำสิ่งดีๆ ให้กับประเทศไทย เพราะต้องการรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนเสียก่อน
หากปล่อยให้ความคิดนี้ลุกลามไปทั่วสังคมไทย เศรษฐกิจตกต่ำและสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องรอให้สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นจริง
“สงครามกลางเมือง ที่ยืดเยื้อและยาวนาน มีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงแค่ 20%”
นี่เป็นบทสรุปจากความคิดของผม หลังจากที่ศึกษาประวัติศาสตร์และติดตามการเมืองไทยมาหลายสิบปี
ประเทศไทย คนไทย และชนชั้นนำไทย ไม่ได้เป็นชนชาติแห่งนักรบ แต่พวกเขาถนัดที่จะเป็นนักการเมืองมากกว่า
โดยเฉพาะในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ปี 2325 เป็นต้นมา การช่วงชิงอำนาจของชนชั้นนำไทย ส่วนใหญ่จะจบลงที่การประนีประนอมหรือรอโอกาสกลับมาแก้มือในภายหลัง จึงทำให้การต่อสู้ของพวกเขาได้ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินไม่มากนัก หากเทียบกับกรณีที่ไม่มีใครยอมใคร และต้องสู้กันจนยกสุดท้าย
เจ้าฟ้ามงกุฎต้องสละบัลลังก์ให้กับรัชกาลที่ 3 ในช่วงเปลี่ยนผ่านแผ่นดิน แต่สุดท้ายก็ได้กลับขึ้นครองราชย์ในสมัยต่อมา ซึ่งเป็นโชคชะตาหรือเกมการเมืองแบบไทยๆ ที่ลงตัวอย่างยิ่ง
เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งการอภิวัฒน์ 2475 มันก็แทบจะไม่มีใครต้องสังเวยไปกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แม้จะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในภายหลัง แต่ก็จบลงอย่างรวดเร็วและไม่มีการสูญเสียที่กระทบกระเทือนต่อประเทศชาติมากนัก
หากพูดถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา ไปจนกระทั่งถึงพฤษภาทมิฬด้วยใจเป็นกลางแล้ว ก็จะพบความจริงว่า ความสูญเสียนั้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็นหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศอื่น
ชีวิตแม้เพียง 1 ชีวิต ก็มีคุณค่ามหาศาล และไม่มีใครอยากให้เกิดการสูญเสีย แต่ธรรมชาติของมนุษย์และการเมืองทั่วโลกก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ เราจึงได้แต่เพียงส่งคำขอบคุณ เชิดชูเกียรติยศ และระลึกถึงวีรกรรมของบุคคลที่เสียสละเหล่านั้น
ความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่ยืดเยื้อมานับจากปี 2549 ก็เป็นเช่นนี้
แม้จะมีวีรชนสังเวยชีวิตไปมากมาย แต่มันก็ไม่ลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองอย่างที่คนทั้งหลายหวั่นเกรงกัน
บางคนอาจแย้งว่า เพราะการประนีประนอมของกลุ่มต่างๆ นั่นเอง ที่ทำให้เราแก้ปัญหาไม่ได้สักที หากเกิดการแตกหักและสงครามกลางเมืองขึ้น ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากหล่มปลักนี้ และก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส
แต่มันเป็นเช่นนี้จริงหรือ เพราะหลายประเทศในทวีปแอฟริกาและประเทศด้อยพัฒนาอีกมากมาย ก็เกิดสงครามกลางเมืองกันอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง
เราไม่ควรนำกรณีของประเทศไทยไปเปรียบเทียบเพียงกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งอเมริกาเท่านั้น หากยังต้องมองเห็นกรณีอีกมากมายที่สงครามกลางเมืองนำไปสู่ความบอบช้ำ สูญเสีย และล้มเหลวอีกด้วย
ปัญหาการเมือง ก็ต้องแก้ด้วยการเมือง แม้จะมีสงครามมาสลับฉากเป็นระยะ แต่ก็ควรจะจำกัดความสูญเสียให้น้อยที่สุด
ผมเชื่อว่า “ชนชั้นนำไทย” ที่ไม่ได้จำกัดแค่คนกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ใจกลางอำนาจเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงพ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการ และที่ปรึกษาทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็สามารถประคับประคองประเทศไทยให้อยู่รอดได้เสมอมา
โดยเฉพาะเมื่อชนชั้นนำกลุ่มเก่าต้องพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มใหม่เข้ามาบริหารประเทศแทน แต่ก็มีการตกลงและประนีประนอมกัน จนกระทั่งสามารถจำกัดความเสียหายแห่งความขัดแย้งให้เหลือน้อยที่สุดได้
บางคนอาจวิจารณ์ว่า ชนชั้นนำไทยในปัจจุบันมีความฉลาดหลักแหลมเทียบกับในอดีตไม่ได้ แต่จากการศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปไกลๆ ก็จะพบว่า ชนชั้นนำไทยทุกสมัยก็ถูกวิจารณ์เช่นนี้จากคนร่วมสมัย แต่พวกเขาก็สามารถฟันฝ่าวิกฤตมาได้ แม้จะไม่สวยงามไปทั้งหมดก็ตาม
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ผิดพลาดไปในการวิเคราะห์เกมการเมืองของชนชั้นนำไทย ก็คือ เราไม่รู้ถึง “มันสมอง” ทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา เรามองแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าและตัดสินใจว่า ผู้นำเหล่านั้นไม่ฉลาดหรือไม่น่าจะนำพาประเทศไทยไปรอดได้
แท้จริงแล้ว ผู้นำในทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือบริษัทอะไรก็ตาม ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอัจฉริยะเหนือคน แต่เขาจะต้องมีคณะที่ปรึกษาที่รอบรู้และเสนอแผนการดีๆ ให้อย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่า ผู้นำย่อมจะมีอารมณ์ดื้อรั้นส่วนตนบ้าง หากทว่า ขอเพียงรับฟังและทำตามเพียงแค่ 30% ของสิ่งดีๆ ซึ่งคนวงในที่ไว้ใจได้ของพวกเขาเสนอมา ก็จะสามารถบริหารองค์กรให้ไปรอดได้
กลยุทธ์ทางการเมืองที่แยบยล ทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้น ทั้งอ่อนโยนและหลั่งเลือด ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมาของชนชั้นนำไทย ทำให้ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่า โอกาสที่สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้านั้น มีไม่มากนัก
หากเราคาดคิดว่า การเมืองไทยขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียว เราก็เข้าใจผิดแล้ว
เพราะนับตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ชนชั้นนำไทยก็ไม่เคยมีใครที่ครองอำนาจสูงสุดเพียงคนเดียว หากมีการประสานประโยชน์และสลับขั้วกันอยู่เสมอมา
ดังนั้น แม้คนที่มีอำนาจและมันสมองดีที่สุด จะไม่ได้คอยบงการสิ่งต่างๆ อีกต่อไป แต่ก็ย่อมมีมันสมองระดับรองๆ อีกหลายคน คอยประคับประคองอำนาจไว้
หลายคนอาจรู้สึกว่า สิ่งที่ผมวิเคราะห์นี้ช่างหดหู่ แต่ก็เชื่อเถิดว่า โอกาสที่คนรุ่นใหม่ๆ จะได้ขึ้นมาบริหารประเทศเหมือนในการอภิวัฒน์ 2475 ก็ยังเกิดขึ้นได้ในอนาคต หากทว่า มันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเข้าช่วงชิง เพราะอาวุธทั้งหลาย ย่อมเป็นเพียงแค่เครื่องมือของสติปัญญาทางการเมืองเท่านั้น
นี่เป็นสิ่งที่ชนชั้นนำไทยทั้งหัวก้าวหน้าและอนุรักษนิยมตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
ที่มา
https://www.matichonweekly.com/column/article_17513
สงครามกลางเมือง มีโอกาสเกิดขึ้นในไทยเพียง 20% เท่านั้น
เหมา เจ๋อ ตุง
ปีศาจที่คอยหลอกหลอนประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ ก็คือ ความกลัวที่ว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า เพราะมันเป็นจังหวะที่ความขัดแย้งทางการเมืองไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ก้าวถึงจุดพลิกผันพอดี เมื่อผลไม้สุกงอม มันก็ย่อมร่วงหล่นจากต้น ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดฝ่าฝืนชะตากรรมนี้ได้
นี่อาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาคเอกชนของไทยไม่กล้าลงทุนโครงการใหญ่ๆ มันทำให้หลายๆ คนไม่อยากที่จะขยับขยายความคิดสร้างสรรค์และทำสิ่งดีๆ ให้กับประเทศไทย เพราะต้องการรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนเสียก่อน
หากปล่อยให้ความคิดนี้ลุกลามไปทั่วสังคมไทย เศรษฐกิจตกต่ำและสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องรอให้สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นจริง
“สงครามกลางเมือง ที่ยืดเยื้อและยาวนาน มีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงแค่ 20%”
นี่เป็นบทสรุปจากความคิดของผม หลังจากที่ศึกษาประวัติศาสตร์และติดตามการเมืองไทยมาหลายสิบปี
ประเทศไทย คนไทย และชนชั้นนำไทย ไม่ได้เป็นชนชาติแห่งนักรบ แต่พวกเขาถนัดที่จะเป็นนักการเมืองมากกว่า
โดยเฉพาะในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ปี 2325 เป็นต้นมา การช่วงชิงอำนาจของชนชั้นนำไทย ส่วนใหญ่จะจบลงที่การประนีประนอมหรือรอโอกาสกลับมาแก้มือในภายหลัง จึงทำให้การต่อสู้ของพวกเขาได้ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินไม่มากนัก หากเทียบกับกรณีที่ไม่มีใครยอมใคร และต้องสู้กันจนยกสุดท้าย
เจ้าฟ้ามงกุฎต้องสละบัลลังก์ให้กับรัชกาลที่ 3 ในช่วงเปลี่ยนผ่านแผ่นดิน แต่สุดท้ายก็ได้กลับขึ้นครองราชย์ในสมัยต่อมา ซึ่งเป็นโชคชะตาหรือเกมการเมืองแบบไทยๆ ที่ลงตัวอย่างยิ่ง
เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งการอภิวัฒน์ 2475 มันก็แทบจะไม่มีใครต้องสังเวยไปกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แม้จะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในภายหลัง แต่ก็จบลงอย่างรวดเร็วและไม่มีการสูญเสียที่กระทบกระเทือนต่อประเทศชาติมากนัก
หากพูดถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา ไปจนกระทั่งถึงพฤษภาทมิฬด้วยใจเป็นกลางแล้ว ก็จะพบความจริงว่า ความสูญเสียนั้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็นหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศอื่น
ความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่ยืดเยื้อมานับจากปี 2549 ก็เป็นเช่นนี้
แม้จะมีวีรชนสังเวยชีวิตไปมากมาย แต่มันก็ไม่ลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองอย่างที่คนทั้งหลายหวั่นเกรงกัน
บางคนอาจแย้งว่า เพราะการประนีประนอมของกลุ่มต่างๆ นั่นเอง ที่ทำให้เราแก้ปัญหาไม่ได้สักที หากเกิดการแตกหักและสงครามกลางเมืองขึ้น ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากหล่มปลักนี้ และก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส
แต่มันเป็นเช่นนี้จริงหรือ เพราะหลายประเทศในทวีปแอฟริกาและประเทศด้อยพัฒนาอีกมากมาย ก็เกิดสงครามกลางเมืองกันอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง
เราไม่ควรนำกรณีของประเทศไทยไปเปรียบเทียบเพียงกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งอเมริกาเท่านั้น หากยังต้องมองเห็นกรณีอีกมากมายที่สงครามกลางเมืองนำไปสู่ความบอบช้ำ สูญเสีย และล้มเหลวอีกด้วย
ปัญหาการเมือง ก็ต้องแก้ด้วยการเมือง แม้จะมีสงครามมาสลับฉากเป็นระยะ แต่ก็ควรจะจำกัดความสูญเสียให้น้อยที่สุด
ผมเชื่อว่า “ชนชั้นนำไทย” ที่ไม่ได้จำกัดแค่คนกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ใจกลางอำนาจเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงพ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการ และที่ปรึกษาทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็สามารถประคับประคองประเทศไทยให้อยู่รอดได้เสมอมา
โดยเฉพาะเมื่อชนชั้นนำกลุ่มเก่าต้องพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มใหม่เข้ามาบริหารประเทศแทน แต่ก็มีการตกลงและประนีประนอมกัน จนกระทั่งสามารถจำกัดความเสียหายแห่งความขัดแย้งให้เหลือน้อยที่สุดได้
บางคนอาจวิจารณ์ว่า ชนชั้นนำไทยในปัจจุบันมีความฉลาดหลักแหลมเทียบกับในอดีตไม่ได้ แต่จากการศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปไกลๆ ก็จะพบว่า ชนชั้นนำไทยทุกสมัยก็ถูกวิจารณ์เช่นนี้จากคนร่วมสมัย แต่พวกเขาก็สามารถฟันฝ่าวิกฤตมาได้ แม้จะไม่สวยงามไปทั้งหมดก็ตาม
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ผิดพลาดไปในการวิเคราะห์เกมการเมืองของชนชั้นนำไทย ก็คือ เราไม่รู้ถึง “มันสมอง” ทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา เรามองแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าและตัดสินใจว่า ผู้นำเหล่านั้นไม่ฉลาดหรือไม่น่าจะนำพาประเทศไทยไปรอดได้
แท้จริงแล้ว ผู้นำในทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือบริษัทอะไรก็ตาม ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอัจฉริยะเหนือคน แต่เขาจะต้องมีคณะที่ปรึกษาที่รอบรู้และเสนอแผนการดีๆ ให้อย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่า ผู้นำย่อมจะมีอารมณ์ดื้อรั้นส่วนตนบ้าง หากทว่า ขอเพียงรับฟังและทำตามเพียงแค่ 30% ของสิ่งดีๆ ซึ่งคนวงในที่ไว้ใจได้ของพวกเขาเสนอมา ก็จะสามารถบริหารองค์กรให้ไปรอดได้
กลยุทธ์ทางการเมืองที่แยบยล ทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้น ทั้งอ่อนโยนและหลั่งเลือด ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมาของชนชั้นนำไทย ทำให้ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่า โอกาสที่สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้านั้น มีไม่มากนัก
หากเราคาดคิดว่า การเมืองไทยขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียว เราก็เข้าใจผิดแล้ว
เพราะนับตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ชนชั้นนำไทยก็ไม่เคยมีใครที่ครองอำนาจสูงสุดเพียงคนเดียว หากมีการประสานประโยชน์และสลับขั้วกันอยู่เสมอมา
ดังนั้น แม้คนที่มีอำนาจและมันสมองดีที่สุด จะไม่ได้คอยบงการสิ่งต่างๆ อีกต่อไป แต่ก็ย่อมมีมันสมองระดับรองๆ อีกหลายคน คอยประคับประคองอำนาจไว้
หลายคนอาจรู้สึกว่า สิ่งที่ผมวิเคราะห์นี้ช่างหดหู่ แต่ก็เชื่อเถิดว่า โอกาสที่คนรุ่นใหม่ๆ จะได้ขึ้นมาบริหารประเทศเหมือนในการอภิวัฒน์ 2475 ก็ยังเกิดขึ้นได้ในอนาคต หากทว่า มันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเข้าช่วงชิง เพราะอาวุธทั้งหลาย ย่อมเป็นเพียงแค่เครื่องมือของสติปัญญาทางการเมืองเท่านั้น
นี่เป็นสิ่งที่ชนชั้นนำไทยทั้งหัวก้าวหน้าและอนุรักษนิยมตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
ที่มา https://www.matichonweekly.com/column/article_17513