สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 32
อาการของ heart attack คืออาการเจ็บหน้าอกค่ะ ลักษณะการเจ็บ จะเหมือนมีอะไรมาทับ เจ็บแบบหนักๆ ถ้าภาษาชาวบ้านเค้าจะเรียกว่า
เจ็บเหมือนช้างเหยียบ หรือช้างทับ อาการอื่นๆที่พบร่วมด้วยคือ เหงื่อออก รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว คนส่วนมากจะนั่งพักในที่อากาศเย็นๆ
หาน้ำดื่ม เพราะคิดว่าเป็นอาการเหนื่อยทั่วๆไป แต่พอทำแบบนั้นไปแล้วอาการก็ไม่ดีขึ้น
อาการเจ็บอกของภาวะหัวใจวายเฉียบพลันเกิดขึ้นได้หลายลักษณะค่ะ โดยขึ้นกับขนาดของเส้นเลือด
ถ้าเส้นเลือดถูกอุดตันไม่มาก อาการเจ็บอกจะเกิดขึ้นตอนทำกิจกรรมหนักๆ เช่น ออกกำลังกาย เพราะร่างกายจะมีการตอบสนอง
โดยมีการหดตัวของเส้นเลือดเกิดขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ลดลง แต่พอได้นั่งพัก หรือการอมยา (nitroglycerine) อาการจะดีขึ้นค่ะ
เพราะเส้นเลือดคลายตัวแล้ว เลือดกลับไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ แบบนี้จะเรียกว่า stable angina
ถ้าเส้นเลือดถูกอุดตันมาก และอุดตันตลอดเวลา (เกิดจากเส้นเลือดบาดเจ็บเนื่องจากไขมันไปเกาะตามผนังเส้นเลือดมาก
จนผนังด้านในของเส้นเลือดแตก ทำให้เกิดการซ่อมแซมเส้นเลือดโดยมีเกล็ดเลือดมาเกาะบริเวณที่เส้นเลือดบาดเจ็บ).
อาการเจ็บอกจะไม่ดีขึ้นจากการพัก หรือการอมยาค่ะ แบบนี้จะเรียกว่า unstable angina
ส่วนบริเวณที่เจ็บอกนั้น สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ แบบที่พบบ่อยคือ
เจ็บบริเวณกลางอก เจ็บเหมือนมีอะไรมาทับ เจ็บแน่นๆ อาการเจ็บร้าวไปที่ท้องแขนซ้ายด้านใน หรือร้าวไปที่กรามด้านซ้าย
แบบนี้จะเรียกว่า typical angina
ส่วนการเจ็บอกแบบอื่นๆ เช่นเจ็บบริเวณลิ้นปี่ หรือเจ็บอกร้าวไปสะบัก เรียกว่า atypical angina ค่ะ
รูปแบบของการเจ็บอก ขึ้นกับเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจค่ะ ซึ่งแตกต่างได้ในแต่ละคนนะคะ
สังเกตว่าเวลาที่เราไปโรงพยาบาล แล้วแจ้งแพทย์ว่ามีอาการของกรดไหลย้อน แพทย์จะทำการซักประวัติหลายอย่างเลยทีเดียว
เพราะอาการเจ็บอกเหมือนกรดไหลย้อน สามารถวินิจฉัยได้กว้างมากๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกรดไหลย้อน โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง
โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคถุงน้ำดีอักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบ หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็งถุงน้ำดี หรือมะเร็งตับ ได้เลยค่ะ
ถ้าแพทย์ถามอะไร อยากให้ตอบตามความเป็นจริงนะคะ เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ประวัติของคนไข้ล้วนจะเป็นความลับระหว่าง
ทีมการรักษาพยาบาลและคนไข้ ค่ะ
สำหรับแพทย์ทุกคนแล้ว ถ้าซักประวัติได้ถูกต้องและครบถ้วน สามารถวินิจฉัยโรคได้ใกล้เคียงความจริง 80-99% เลยทีเดียว
ที่ไม่ให้อีก. 1 % เพราะว่าไม่มีอะไรแน่นอนบนโลกใบนี้นะคะ 😁😁
เจ็บเหมือนช้างเหยียบ หรือช้างทับ อาการอื่นๆที่พบร่วมด้วยคือ เหงื่อออก รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว คนส่วนมากจะนั่งพักในที่อากาศเย็นๆ
หาน้ำดื่ม เพราะคิดว่าเป็นอาการเหนื่อยทั่วๆไป แต่พอทำแบบนั้นไปแล้วอาการก็ไม่ดีขึ้น
อาการเจ็บอกของภาวะหัวใจวายเฉียบพลันเกิดขึ้นได้หลายลักษณะค่ะ โดยขึ้นกับขนาดของเส้นเลือด
ถ้าเส้นเลือดถูกอุดตันไม่มาก อาการเจ็บอกจะเกิดขึ้นตอนทำกิจกรรมหนักๆ เช่น ออกกำลังกาย เพราะร่างกายจะมีการตอบสนอง
โดยมีการหดตัวของเส้นเลือดเกิดขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ลดลง แต่พอได้นั่งพัก หรือการอมยา (nitroglycerine) อาการจะดีขึ้นค่ะ
เพราะเส้นเลือดคลายตัวแล้ว เลือดกลับไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ แบบนี้จะเรียกว่า stable angina
ถ้าเส้นเลือดถูกอุดตันมาก และอุดตันตลอดเวลา (เกิดจากเส้นเลือดบาดเจ็บเนื่องจากไขมันไปเกาะตามผนังเส้นเลือดมาก
จนผนังด้านในของเส้นเลือดแตก ทำให้เกิดการซ่อมแซมเส้นเลือดโดยมีเกล็ดเลือดมาเกาะบริเวณที่เส้นเลือดบาดเจ็บ).
อาการเจ็บอกจะไม่ดีขึ้นจากการพัก หรือการอมยาค่ะ แบบนี้จะเรียกว่า unstable angina
ส่วนบริเวณที่เจ็บอกนั้น สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ แบบที่พบบ่อยคือ
เจ็บบริเวณกลางอก เจ็บเหมือนมีอะไรมาทับ เจ็บแน่นๆ อาการเจ็บร้าวไปที่ท้องแขนซ้ายด้านใน หรือร้าวไปที่กรามด้านซ้าย
แบบนี้จะเรียกว่า typical angina
ส่วนการเจ็บอกแบบอื่นๆ เช่นเจ็บบริเวณลิ้นปี่ หรือเจ็บอกร้าวไปสะบัก เรียกว่า atypical angina ค่ะ
รูปแบบของการเจ็บอก ขึ้นกับเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจค่ะ ซึ่งแตกต่างได้ในแต่ละคนนะคะ
สังเกตว่าเวลาที่เราไปโรงพยาบาล แล้วแจ้งแพทย์ว่ามีอาการของกรดไหลย้อน แพทย์จะทำการซักประวัติหลายอย่างเลยทีเดียว
เพราะอาการเจ็บอกเหมือนกรดไหลย้อน สามารถวินิจฉัยได้กว้างมากๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกรดไหลย้อน โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง
โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคถุงน้ำดีอักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบ หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็งถุงน้ำดี หรือมะเร็งตับ ได้เลยค่ะ
ถ้าแพทย์ถามอะไร อยากให้ตอบตามความเป็นจริงนะคะ เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ประวัติของคนไข้ล้วนจะเป็นความลับระหว่าง
ทีมการรักษาพยาบาลและคนไข้ ค่ะ
สำหรับแพทย์ทุกคนแล้ว ถ้าซักประวัติได้ถูกต้องและครบถ้วน สามารถวินิจฉัยโรคได้ใกล้เคียงความจริง 80-99% เลยทีเดียว
ที่ไม่ให้อีก. 1 % เพราะว่าไม่มีอะไรแน่นอนบนโลกใบนี้นะคะ 😁😁
แสดงความคิดเห็น
Heart Attack (ที่หลงเข้าใจผิด คิดว่าเป็น กรดไหลย้อน)
ลองไปหาหมอ ตรวจเช็คกันดูนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับสามี จขกท เอง
(เราอยู่ อเมริกา ค่ะ)
สามีเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพตัวเองเท่าไรนัก ไม่เคยไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพประจำปี
เขาจะไปหาหมอก็ต่อเมื่อจำเป็นจริง ๆ (มีคำสั่งให้ไป...จากที่ทำงาน/ไม่ใช่คำสั่งจากเรา)
เขาเคยสูบบุหรี่ แต่เลิกมานานแล้ว นานเกินยี่สิบปี
เมื่อก่อนเขาก็ดูแลสุขภาพตัวเองดี ออกกำลังกาย ทั้งวิ่ง ทั้งเวท อาหารก็เลือกกิน
แต่หลัง ๆ กินไม่เลือก ยิ่งมัน ๆ ยิ่งชอบ เราพยายามปรามตลอด แต่เขาไม่ฟัง
เมื่อราว ๆ หกเดือนก่อน เขาเริ่มบ่นว่ามี heartburn (กรดไหลย้อน) ก็ไปหายามากิน
ซื้อ zantac มากิน แรก ๆ เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะใคร ๆ ก็เป็นได้
เขาจะกินยาหลังทานอาหารเย็นทุกวัน บอกเราว่า ถ้าไม่กิน นอนไม่ได้
อาการกรดไหลย้อนมันเล่นงาน เรารู้สึกเป็นห่วง เลยบอกให้ไปหาหมอ
เช็คดูหน่อยก็ดี เผื่อมีอะไรผิดปกติ แต่เขาไม่ยอมไป บอกว่า เขาโอเคดี
แค่พยายามเลี่ยงอาหารที่ทำให้มี heartburn ก็พอล่ะ (พวกซอสมะเขือเทศ)
แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ เพราะไม่ว่าจะกิน หรือไม่กินอาหารพวกนั้น
เขาก็ยังต้องกิน zantac ก่อนนอนทุกคืน
วันศุกร์ที่ 18 ที่ผ่านมา เราได้รับโทรศัพท์เบอร์ไม่คุ้น จากเมืองที่สามีทำงานอยู่
ตอนแรกก็ว่าจะไม่รับ แต่คิดดีๆ แล้วก็รับดีกว่า เผื่อมีอะไรเกี่ยวกับสามี
พอรับสายก็กลายเป็น เบอร์จาก รพ. เป็น จนท ประสานงานให้คนไข้
เธอส่งสายต่อให้ พยาบาลจาก ER ให้บอกเราว่าเกิดอะไรขึ้น
เราค่อนข้างช๊อค คือ จริง ๆ แล้ว คิดไว้แล้วนะ ว่าสักวันอาจจะมีแบบนี้
แต่พอมันเกิดขึ้นจริง ๆ มันก็อดใจหายใจคว่ำไม่ได้
เรื่องของเรื่องคือ สามีทำงานเสร็จกำลังจะออกไปทานข้าวเที่ยง
เขารู้สึกแปลก ๆ เลยแวะจอดข้างทาง เพราะเกรงว่า ขับต่อไปจะไม่ปลอดภัย
พอหยุดรถแล้ว เริ่มมีอาการเหงื่อตก คลื่นไส้ สารพัดอย่าง (เล่ามา เราจำไม่หมด)
คือเขาคิดว่ามันไม่ปกติมาก ๆ เลยโทรหา 911 ราว ๆ เที่ยงวัน
ใช้เวลาไม่นาน รถสีแดง ๆ ที่คุ้นเคยกันดี(สำหรับคนที่อเมริกา) ก็มาถึง
ทีแรก จนท 911 คิดว่าน่าจะเป็นอาการ dehydrated
แต่สามีเขามั่นใจว่าไม่ใช่แน่ๆ (เพราะเขาชอบจิบชาเย็นตลอด)
สักพัก สัญญาณ ECG เริ่มไม่ปกติ ทีนี้แหละ จนท บอกเลย... ยูน่ะมี heart attack ล่ะ
ทีนี้ รถก็เปิดหวอ ขอทางกันด่วนเลย
สรุปว่า สามีเราเขามีเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจอุดตัน (100% blockage)
หมอใส่ stent เข้าไปเพื่อช่วยเปิด/ขยาย ตรงที่มันปิด
แต่มันยังไม่จบแค่นี้... เพราะเขายังมีจุดที่มันตีบอยู่อีกที่ (90% blockage)
หมอบอกว่า ขอรอทำเส้นนี้วันจันทร์ เพราะต้องการรอดูก่อนว่า
ร่างกายมีปฏิกิริยายังไงกับ stent ที่ใส่เข้าไป
พร้อมทั้งอยากรอให้ dye ที่ฉีดไปวันนี้มันจางไปก่อน
หลังการใส่ stent ครั้งที่ 2 เรามีโอกาสได้ดูภาพ/คลิป ก่อนและหลังใส่ stent ทั้งสองครั้ง
ที่หมอเปิดให้ดู พร้อมย้ำกับเราว่า ให้สามีทานเจ้า Brilinta อย่างน้อย หนึ่งปี
ไม่ว่าเขาจะไปหาหมอที่ไหน ไม่ให้หยุดตัว blood thiner นี้
ถ้าจะหยุดหรือเลิกทาน ให้ถามเขาคนเดียวเท่านั้น (หมอเป็นคนอินเดียค่ะ)
เบ็ดเสร็จ หมอใส่ stent เข้าไป 3 อัน สามีอยู่ที่ รพ. ไป 4 วัน 4 คืน
ตอนนี้ เจ้าอาการที่หลงคิดว่าเป็น heartburn ก็หายไปเลย (ก็มันไม่ใช่อ่ะนะ เหอๆ)
สามีเรา ความดันปกติ ไม่ได้ overweight ไม่ได้เป็นเบาหวาน
แต่มีความเสี่ยงเรื่องหัวใจสูง เพราะแกมี
- ระดับคลอเรสเตอรอลก็สูง (จริง ๆ เคยสูงกว่านี้เยอะมาก)
- ลักษณะงานที่ทำ เคลื่อนไหวร่างกายน้อยมาก
- ขาดการออกกำลังกาย
- ครอบครัวเป็นโรคหัวใจกันทุกคน (ย้ำว่าทุกคนค่ะ พ่อ แม่ พี่ชาย เป็นกันหมด)
- อาหาร ฯลฯ
จากเหตุการณ์นี้ มันเป็น wake up call สำหรับเขาเลย
ต้องหันมาปรับปรุงเรื่องอาหารการกินกันใหม่ ต้องหันมาออกกำลังกายบ้างล่ะ
(เมื่อก่อนจะมีข้ออ้าง กลับาจากทำงานก็เหนื่อยยยยมากแล้วไม่มีแรงออก ฯลฯ)
ที่สำคัญ ต้องไปหาหมอ เช็คสุขภาพประจำปี ถ้าเจอปัญหาเร็ว ก็จะแก้ไขได้ทัน
ดีกว่าปล่อยไว้จนมันเกิดปัญหา นี้โชคดีแค่ไหน ที่รอดมาได้
คือนี้มัน heart attack นะคะ ไม่ใช่ปวดหัวธรรมดา...
ประโยคที่ว่า... "สุขภาพดี ไม่มีขาย อยากได้ ต้องทำเอง" ... มันจริงมาก ๆ
ปล. เวลาไปเช็คสุขภาพประจำปี อย่าลืมลากคนข้าง ๆ ไปด้วยนะคะ ถึงเขาไม่ยอมไป ก็จงกระชาก ลากไปให้ได้
ดิฉันเสียดายที่ไม่ได้ กระชากสามีไปด้วย ทั้งตอนไปหาหมอตอน annual check up ทั้งเวลาที่ไปวิ่ง
แถมปีนี้ ดิฉันเองก็ดันแกล้งลืม ไม่ไปเช็คสุขภาพประจำปีซะงั้น