[CR] นกแล้วไง ชวนเพื่อนสาวไปขึ้นดอยเลียแผลใจกันดีกว่า(ดอยผ้าห่มปก+แม่กำปอง+พิสูจน์ร้านอร่อยตามรีวิวชาวบ้าน)

ทริปนี้เริ่มขึ้นเพราะได้ไปเห็นรูปนึงในเฟสบุ๊คมาค่ะ เป็นรูปทะเลหมอกของหน้าเพจนึงของดอยผ้าห่มปก แล้วอยากไปมาก ก็เลยแท๊กเพื่อนนางนึง แล้วนางดันตอบกลับมาว่า ก็ไปดิ๊ เราก็กดจองตั๋วเลยดิ๊ เด่วจะหาว่าเราป๊อดด ชวนขำๆอะไร ไม่ขำจ้า ว่าแล้วก็ให้นางกดจองตั๋ว book วันกันแบบไปก็ไป เลยลางานรวดเดียว 4 วัน แต่ไปกัน 3 วันเท่านั้น อีกวันเก็บไว้พักผ่อนนาจาาเพราะต้องเหนื่อยแน่ๆ แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะเหนื่อยขนาดเน้น้น้น้น้!!!!


***กระทู้นี้หน้าจริง ไม่มีการเซ็นเซอร์และใส่ลายน้ำอะไรทั้งสิ้น ภาพทั้งหมด พวกเราถ่ายกันเอง และขี้เกียจเบลอหน้าเพื่อนและหน้าตัวเอง อยากให้เพื่อนกระทู้แชร์ประสบการณ์เที่ยวเหมือนเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง ถ้าต้องการใช้รูป ขออนุญาตกันก่อนนะจ๊ะ


เริ่มเดินทางก็บรรลัยตั้งแต่ตื่นเลยค่ะ นาฬิกาไม่ปลุก ขึ้นเครื่อง 8 โมง ตั้งนาฬิกาปลุก ตี 4.30 เพื่อนโทรมาก็ดันไม่ได้ยินเสียง จนนางมาเคาะถึงประตูบ้าน ทริปนี้เลยเริ่มต้นด้วยน้ำไม่ได้อาบ บึ่งไปโบก taxi ไป bts ด่วนที่สุด เราต้องไปสุวรรณภูมิกัน แล้วตกใจคือคนเมืองตื่นเช้ากันมากกว่าที่คิด ตี5 รถเริ่มเต็มถนนแล้ว แล้วติดมันทุกไฟแดง เป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของเราด้วย แต่ครั้งที่สองของเพื่อน สุดท้ายยก็ถึงทันเวลาจนได้ แต่เครื่องดีเลย์นะแจ๊ะเพราะฝรั่งตกเครื่อง ดีเลย์เป็นชั่วโมงเลย


ทริปนี้ เราเดินทางขาไปด้วยการบินไทย จองล่วงหน้าเป็นเดือนก็ได้ราคามาอยู่ที่ 700บาท/คน ไม่ต่างกับรถทัวร์เท่าไหร่ แถมยังรวดเร็ว แค่ 1 ชั่วโมงก็ถึงเชียงใหม่แล้ว นี่ไปทนนั่งรถทัวร์ทำไมหลายๆชั่วโมง เบิกเนตรจริมๆ



วิวจากตรงกลางเครื่องเลย มองดูปีกขยับไปขยับมา เพลิน นางเลือกให้เรานั่งส่วนนี้เพราะนางบอกว่า ตรงส่วนนี้ของเครื่องบินแข็งแรงสุด


สักพักสจ๊วตสุดหล่อก็เอาของว่างมาเสริฟ์ ครือออ มองเพลินมาก ม่ะรุว่าเกย์หรือไม่เกย์ แต่ชอบฟังชอบมอง เค้าสูง ผู้หญิงนกตลอดแบบเราก็ได้จ้องไปค่ะ จนเค้ามาใกล้ๆก็เอาโรตีแกงเขียวหวานมาให้กับเครื่องดื่ม coffee or tea? แหมมม หุ่นแบบหนู เอามาทุกอย่างเลยเพ่ 555




รีวิวรสชาติกันก่อนนะ มันไม่ใช่เนื้อโรตีแบบแป้งทอดแต่เป็นเหมือนเบอริโต้ ข้างในเป็นไก่เขียวหวาน แต่ไก่เป็นเนื้อซุยๆมาแบบทูน่า แล้วก็รสชาติไม่เผ็ดแต่ได้กลิ่นเครื่องแกงเขียวหวานนะ รสชาติออกครีมมี่ๆ ฉ่ำแต่ไม่แฉะ มาแบบอุ่นๆร้อนๆ เราอร่อยนะ นี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าฝรั่งเค้าจะชอบมั้ย เลยสังเกตหน้าแหม่มข้างหน้า ได้ยิน ดิลิเชียนๆ ก็คงจะพอใจอยู่ แต่เพื่อนชะโงกมากระซิบว่า ฝรั่งอีกคนข้างๆแหม่มเค้าไม่ชอบนะแก อื้มมม แสดงว่าก็มีทั้งชอบและไม่ชอบกันโนะ


นั่งยังไม่ทันอุ่นตูด วิวข้างล่างเริ่มเป็นภูเขา แปบเดียวถึงแล้วจ้า ลงเครื่องไปตื่นเต้นสุดพลัง หนาววว หนาววว ชอบมากกก ชอบบที่สุด อยากให้กรุงเทพอากาศแบบนี้ตลอดปี >_< พอลงเครื่องเสร็จวิ่งออกไปโบกรถแดงเลยเจ้า ต้องไปขนส่งทางช้างเผือกเพื่อต่อรถส้มไปฝาง คนขับคิดคนละ 50 บาท แต่ไม่ได้ไปปล่อยตรงขนส่งนะ พี่ใจดีไง เห็นรถส้มๆข้างหน้า เหยียบคันเร่งจะส่งเราขึ้นรถส้มที่เพิ่งออกไป แต่ไม่ทัน ทิ้งเราไว้กลางทาง สองชะนีก็เลยต้องเดินย้อนกลับมาอีก 500 เมตร เพื่อไปขึ้นรถส้มที่ท่า เพราะเกรงว่าถ้าไม่ขึ้นที่ท่า คงไม่มีที่นั่งเป็นแน่ รถที่ไปฝาง มีแบบส้มบัส( ราคา 85 บาท) กับส้มสองแถว (ตามแต่คนขับจะคิด แต่นี่เสียไป 85 บาท)

เม้ามอยกะคนในรถไปทั่ว จนเค้าชวนไปอ่างขาง แต่เรามีจุดหมายในใจเราแล้ว เราจะคล้อยตามคนแปลกหน้าไม่ได้ เราสองคนลงจนสุดสาย ลุงคนขับส่งไม้ต่อ ให้ลุงวินมอไซค์สองคัน ต่อรถไปอุทยาน ด้วยความรีบกลัวจะไม่ทันขึ้นดอยตอน 15.30 ลุงคิดพวกเราคนละ 100 บาท แต่ไม่มีเวลาต่อล้าวว ร้อยก็ร้อยยย วิวระหว่างทางไปงานดีมาก มีลำธารไหลผ่านหน้าบ้านสวยๆหลายหลังเลย พอขึ้นไปถึงเขตอุทยานเท่านั้น จากที่หนาวอยู่แล้ว อากาศก็หนาววูบขึ้นมาอีก แม้แต่ลุงก็ยังหันมาหัวเราะแล้วถามว่าหนาวขึ้นไหม ต้นไม้มันเยอะ มันก็เลยหนาว แหม นึกว่ามีใครตามเรามารึป่าว ฮึฮึ


เขตอุทยานที่นี่เป็นบ่อน้ำพุร้อนด้วย แต่เราสองคนไม่มีเวลาถ่ายรูปเลย พอเสียค่าเข้าอุทยานไป 50 บาท แล้วไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเช่ารถโฟร์วิลขึ้นดอยผ้าห่มปก ถ้าเหมาเลย ราคา 1,800 บาท เพราะฉะนั้นอยากเสียน้อยๆเราต้องหาคนหาร รถคันนึงจะไปได้ 8 คน ค่ะ โชคดีมาก ที่เรามาถึง มีพี่สองคนเป็นแฟนกัน เขามาถึงก่อนเรา แต่เจ้าหน้าที่ให้เค้ารอหาคนหาร เราก็เลยได้สมาชิก 4 คนแล้ว ระหว่างทางที่เรามา เราได้กินแค่โรตีเขียวหวานไปอันเดียว แต่เวลาที่เราถึงอุทยานบ่ายสามเข้าไปแล้ว เราสั่งกะเพราหมูสับไข่ดาวกินกัน ไม่รู้ว่าเค้าทำอร่อยจริง หรือเราหิว ซัดเรียบ แม้ว่าหน้าตามันจะดูดำๆ เพราะทำแบบบ้านๆ ใส่หอมใหญ่ด้วย แต่มันอร่อยอยู่นะ จนเรากินอย่างเร็ว เพราะเกรงใจพี่ๆที่เค้ารอ แล้วก็สั่งข้าวผัดหมูขึ้นไปกินเป็นข้าวเย็นอีก เพราะเสริช์ข้อมูลมาว่า เค้าไม่มีอะไรขายบนนั้นเลย เคยมีร้านค้าเปิด แต่ตอนนี้ปิดไปแล้ว เราจึงไม่เสี่ยง ขนเสบียงไปด้วยดีกว่า ระหว่างนั้นเราก็ได้สมาชิกมาอีกคู่นึงเป็น 6 คน ดีใจมาก ที่จะเสียเงินน้อยลง 555


ระหว่างทางขึ้นเขาขอบอกว่าทางมันขรุขระและโค้งเยอะมาก เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่ให้รถยนต์ส่วนตัวขึ้นมาหลัง 15.30 สำหรับคนไม่ชินทาง หากมาติดหล่มติดอะไรแถวนี้ ใครจะมาช่วยได้ล่ะ แต่วิวระหว่างทางที่คนขับจอดแวะให้ ทำให้ลืมอาการเจ็บตูดจากถนนกระแทกๆๆๆได้ดีเลย หยั่งกะสวรรค์ นี่แค่ระหว่างทางนะ ยังสวยขนาดนี้





พอถึงจุดกางเต้นท์ที่สูงสุดของประเทศไทยแล้ว เรารีบเข้าไปขอเช่าเต้นท์และอุปกรณ์นอนต่างๆทันที เพราะเพื่อนสาวนางดูในเว็บมา มีอยู่ประมาณ 30 ชุด เราก็ไม่รู้ว่านทท.จะเยอะแค่ไหน แต่เราก็ประมาทไปแล้วโดยไม่ได้จองก่อน แต่ตอนเราไปไม่น่าห่วงเลยสักนิด เพราะเหลือบาน คนตรงจุดกางเต้นท์มีประมาณ 2 กรุ๊ป กรุ๊ปละ 5-6 คน เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปแย่งเที่ยว แย่งกิน แย่งถ่ายรูปกับใครเลย ทุกอย่างมันโอเคมากๆ เต้นท์ก็กางเรียบร้อยแล้ว เราใช้สิทธิ์ของความไวและสิทธิ์แห่งความเป็นผู้หญิง ลากน้องจนท. ที่เหมือนจะเป็นไกด์ขึ้นเขา ให้ตามเรามาเลือกเต้นท์ที่วิวสวยที่สุด ซึ่งจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย เพราะเต้นท์ว่างมากถึงว่างที่สุด สุดท้าย น้องก็ตอบแบบกลางๆว่าสวยหมด เลือกเองเถอะพี่ โอเค ได้!! น้องใช้สิทธิ์แห่งความเป็นชาย โดยตอบว่า แล้วแต่พี่ (ผู้ชายเหมือนกันหมด )


วิวพระอาทิตย์ตกจากในเต้นท์


ยังไม่หน่ำใจ เราเลยพากันเดินขึ้นไปจุดชมวิว เพื่อถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก เอาให้เหงาตายไปเบยย คนอื่นเค้าสวีทถ่ายรูปแฟนกัน เราก็ถ่ายกันเองล่ะกันโนะ เพื่อนหญิงพลังหญิง



พอพระอาทิตย์ตก เราก็รีบไปจัดการธุระส่วนตัวกันก่อน ห้องน้ำที่นี่มีทั้งหมด 3 ห้องไม่แยกชายหญิงและน้ำไหลแล้วเยี่ยวแมว แต่น้ำเย็นเหมือนเอาน้ำแข็งมาถูตัว จำได้มั้ยคะว่าเมื่อเช้า อิชั้นไม่ได้อาบน้ำ หัวก็เหนียวเพราะไม่ได้สระ แต่เห็นสภาพน้ำไหลแล้ว ก็เลยหมักต่ออีก1 วัน แต่สระผมนะเพราะไม่ไหวจริงๆ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่ทิ้งแชมพูแห้งไว้ที่บ้าน ทำไม ทำไม ถึงไม่เอาพกมา โทษฝน โทษฟ้า แต่ไม่โทษตัวเอง รับกรรมไป หนังหัวแทบหลุด สระเสร็จเหมือนไข้จะจับ อาบน้ำเสร็จ เพื่อมากินข้าวผัดเย็นเจี๊ยบ มองคนอื่นกินต้มยำไก่ร้อนๆ ไข่เจียวหอมฉุย ที่พี่จนท.ขาย ราคาไม่แพงมาก ประมาณอย่างละ 70-80 บาท ได้แต่ยิ้มแล้วถามว่า อร่อยมั้ยคะ ^^ พี่ๆตอบอร่อยดีจ้าา 555 เห็นพี่กินอิ่มหนูก็ดีใจ


ไปซื้อเบียร์มาดื่มกะฮานามิ ได้มองวิวแบบนี้ อากาศแบบนี้ ทำไมต้องมากะเพื่อนว่ะ




สัก 2 ทุ่ม จนท.ก็ปิดไฟแล้วค่ะ ทุกอย่างมืดหมด เพราะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4.30 เดินขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดดอย แต่สิ่งที่สวยงามที่สุดกำลังจะเริ่มขึ้น แต่เราจะเก็บมันไว้ในรูปถ่ายเราได้หรือป่าว แค่นั้นเอง



เก็บดาวมาได้แค่นี้ เพราะไม่เคยถ่ายดาวเลย ของจริงมันสวยกว่านี้มากๆ มันพร่างพราวเต็มท้องฟ้าไปหมด บอกได้เลยว่าแค่นี้ก็คุ้มแล้วนะที่ขึ้นมาถึงนี่ ของจริงมันกว้างเป็นแบบพาโนรามา กว่าจะถ่ายภาพนี้มาได้ ต้องให้ครูพันทิปช่วยสอนวิธีถ่ายดาว เราไม่มีขาตั้งกล้อง ถ้าคนที่เก่งกว่าเราถ่าย ไม่รู้จะสวยกว่านี้กี่ร้อยเท่า

เราสองคนเข้านอนด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทาง แต่เราประมาทอากาศหนาวไปหน่อย ใส่เกงวอร์มสี่ส่วน คิดว่าเหลือท่อนขาว่างนิดเดียวไม่เป็นไรหรอก นอนไม่หลับทั้งคืน จนท.มาปลุกถึงหน้าเต้นท์ รีบเปลี่ยนเป็นขายาว เสื้อหนาว ไฟฉาย ผ้าใบ กล้อง น้ำดื่ม ก็พร้อมลุยแล้ว


ลืมบอกไปว่าทริปเดินขึ้นเขานี้ มีสมาชิกใหม่ชื่อ น้อง B เป็นผู้ชายเอ๊าะๆ 22 ปี ขอหารค่าไกด์ขึ้นไปกะกลุ่มเราด้วย ค่าไกด์ 300 บาท ทั้งขบวนเรามีกัน 7 คน เราให้พี่ไกด์ไปคนละ 50 บาท น้องB เก่งมาก ขี่มอไซค์ขึ้นมาคนเดียวตั้งแต่เช้า เราถามน้องว่าทำไมถึงมาคนเดียว น้องเล่าว่าน้องไปม่อนจองมากับเพื่อน แต่ยังไม่อยากกลับ เลยขอมาคนเดียว ส่วนเพื่อนๆกลับไปแล้ว เรารู้สึกว่า เด็กคนนี้มันใช่อ่ะ น้องเก่ง น้องสุดยอด น้องถ่ายรูปสวย ตอนน้องขอเราไปด้วย เราตอบว่าได้แบบไม่ต้องคิดเลย เพราะเราเคยเที่ยวแบบน้องมาก่อน สิ่งที่เราชอบการเที่ยวแบบนี้ เพราะเราจะได้สัมผัสใจคนได้มากกว่าเที่ยวแบบสบายๆ แล้วสิ่งเล็กๆน้อยๆแบบนี้มันมีค่ามาก เราเลยขอไลน์น้องไว้ เอามาแชร์รูปสวยๆและสร้างทริปด้วยด้วยกันในโอกาสหน้าอีก (เก๊าไม่ได้คิดนอกเหนือจากนี้จริมๆ)

ดอยผ้าห่มปก มีจุดที่ต้องฝ่าฟันทั้งหมด 8 จุด แต่ผ่านมาแค่ 2 จุด ถึงม่อนวัดใจ พี่ไกด์บอกว่า บางคนแค่จุดนี้ก็มีคนเลี้ยวกลับแล้ว แต่สำหรับเรามันไม่ใช่แค่นี้ เราอ้วน เราเหนื่อย เรางอแง ทางมันก็ชัน พี่ผู้หญิงในทริปอีกคนก็งอแงเหมือนกัน อยากจะเลี้ยวกลับ เราทำงานออฟฟิศ เราไม่คิดว่าใจเราจะเต้นแรงได้ขนาดนี้ แต่เราต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน มาถึงขนาดนี้แล้ว ต้องเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้ ว่ามันสวยเหมือนในรูปที่ทำให้เราอยากมามั้ย
เหนื่อยก็หยุดพักเป็นจุดๆไป ไม่ทันเห็นพระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ต้องถึงให้ได้!


ขาเราล้า เราแทบยกขาไม่ไหวอีกต่อไป กิ่งไม้ หญ้าพันขาเราไปหมด ทั้งหนาว ทั้งเหนื่อย ทำไมแค่ 3 โล มันถึงยากลำบากขนาดนี้ แต่คนอื่นไหว จะไม่ไหวได้ยังไง ลากสังขารตัวเองขึ้นมาถึงยอดจนได้ คิดถึงแต่บาปกรรมที่ทำไว้กับข้าวขาหมู บุฟเฟ่ต์ กุ้งย่างต่างๆนาๆ ว่าชั้นกินพวกแกเยอะแค่ไหน ก็ต้องมาชดใช้กรรมใช่มั้ย เพื่อนสาวเดินลิ่ววตัวปลิวไปกับน้อง B ตามพี่ไกด์ไปติดๆเหมือนไม่รู้จักเหนื่อย แต่ใต้ความตัวปลิว เพื่อนของอิชั้นมันแปะพลาสเตอร์เพราะหนังพองรองเท้ากัดทั้งสองข้าง ชั้นนี่เปลี่ยนความคิดแทบไม่ทัน ทุกคนก็เหนื่อยกันคนละแบบ เห็นนางลัลล้า เดินลิ่ว ทั้งๆที่นางขาเจ็บ ชั้นแค่เหนื่อยพักก็หาย โทษนั้นโทษนี่ไปได้ เหมือนชีวิตจริงของคนเรานั่นแหละ เห็นว่าเขาถึงจุดหมายก่อน คิดว่าเค้าผอมนิ เค้าเดินสบาย ทั้งๆที่เราไม่รู้สักหน่อยว่ากว่านางจะถึงจุดหมายได้ นางอาจจะเจ็บมากกว่าเราก็ได้เนะ เที่ยวแบบดวงตาเห็นธรรม ^^



ภาพที่เห็นคือวิว 360 องศา ทะเลหมอกลอยเอื่อยๆ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น โห สวยมาก หายเหนื่อยไหม พักสักหน่อยก็หาย
ชื่อสินค้า:   ดอยผ้าห่มปก
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่