รีวิวหนัง: Gattaca คนพันธุ์ด้อยในโลกพันธุกรรม (1997)


พระเจ้าสร้างสิ่งบกพร่อง ใครเล่าจักแก้ไขได้
(Ecclesiastes 7:13)


ตามคติของศาสนาคริสต์ พระเจ้าได้เนรมิตมนุษย์ขึ้นมาจากพระฉายา (ลักษณะ) ของพระองค์ เพื่อให้เป็นแบบจำลอง เป็นตัวแทนของพระเจ้าในการครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และแผ่นดินทั่วไปรวมถึงสัตว์ต่าง ๆ บนแผ่นดิน คำถามจึงเกิดมีว่า หากมนุษย์มีข้อบกพร่องแล้ว (To err is human.) เราจะถือว่าผู้สร้างก็อาจไม่สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกันได้หรือไม่ ในหนังหลายเรื่อง เราจะพบเห็นความพยายามที่จะสร้างโลกในอุดมคติและมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ เช่น Equals, THX 1138 เป็นต้น ซึ่งความพยายามเช่นนั้นบางครั้งก็หักเหไปจากเจตนาดีดั้งเดิมจนกลายเป็นโลกในแบบดิสโทเปียแทน

Gattaca ก็เป็นหนึ่งในหนังประเภทนั้น มันตั้งคำถามถึงความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ รวมถึงการออกแบบและการตัดต่อพันธุกรรมในยีนเพื่อให้ได้มนุษย์ที่ไร้ที่ติ ซึ่งความทะเยอทะยานดังกล่าวได้แบ่งแยกชนชั้นของมนุษย์ออกเป็นสองจำพวก คือ มนุษย์ยีนเด่น (Valid) และมนุษย์ยีนด้อย (Invalid) แม้ในยุคปัจจุบันเราจะได้ยินเรื่องการดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) อยู่บ้าง แต่วิทยาการนี้ยังคงจำกัดอยู่แค่พืชและสัตว์เท่านั้น ในขณะที่หนังเรื่องนี้ ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1997 กลับเล่นประเด็นไปไกลถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการปรับเปลี่ยนลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย์ โดยไม่พยายามชี้นำหรือให้ข้อสรุปแก่คนดูแต่อย่างใด


หนังโฟกัสไปที่เรื่องราวของวินเซนต์ ฟรีแมน (Ethan Hawke) ชายหนุ่มผู้เกิดมาพร้อมกับยีนด้อย เลือดของเขาสามารถวิเคราะห์ได้ถึงช่วงอายุขัยว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 30.2 ปีเท่านั้น และเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นโรคหัวใจล้มเหลวก็มีมากถึง 99% พ่อแม่ของวินเซนต์จึงตัดสินใจให้กำเนิดลูกคนที่สองโดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Eugenics ซึ่งเป็นการออกแบบพันธุกรรมโดยคัดยีนด้อยออก เหลือไว้แต่ยีนเด่นของพ่อแม่ เพื่อให้ได้ลูกที่มีร่างกายสมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามคาดคือ แอนโทน ฟรีแมน น้องชายของวินเซนต์ (Loren Dean) มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ตรงข้ามกับวินเซนต์ที่เป็นเด็กอ่อนแอขี้โรค และนอกจากหนังจะเล่นประเด็นเรื่องชาติกำเนิดที่ถูกกำหนดจากยีนแล้ว ยังใส่ประเด็นการเหยียดพันธุกรรมเข้ามาด้วย ยุคอนาคตดูเหมือนว่าจะก้าวข้ามการเหยียดเพศ (Sexism) และการเหยียดเชื้อชาติ (Racism) ได้ด้วยการตัดยีนผิวสีออก (เราจะไม่เห็นคนผิวดำในหนังแม้แต่คนเดียว) แต่ก็หันไปสร้างความรังเกียจผ่านทางพันธุกรรมแทน ยีนดีจะมาพร้อมกับสถานภาพทางสังคมที่รุ่งโรจน์ อาชีพดี ๆ จะถูกเก็บสำรองไว้ให้กับคนในชนชั้นนี้ ในขณะที่คนยีนด้อยทำได้เฉพาะงานที่ต้องใช้แรงเท่านั้น

วินเซนต์อยากเป็นนักบินอวกาศ
ในวัยเด็ก วินเซนต์ตระหนักถึงสถานะความเป็นมนุษย์ยีนด้อยของตนเองจากการเน้นย้ำของพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา หนังเผยให้เราเห็นว่า ตอนแรกพ่อของเขาตั้งใจจะให้วินเซนต์ใช้ชื่อพ่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะเห็นว่ายีนของเขาทรามเกินกว่าจะได้รับชื่อนั้น น้องของเขาจึงได้ชื่อพ่อ (แอนโทน) ไปใช้แทน นอกจากนี้ ครั้งหนึ่ง วินเซนต์ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าทำงานในสถานีอวกาศ แทนที่พ่อจะให้กำลังใจ แต่กลับดับฝันของเขาด้วยคำพูดว่า "วิธีเดียวที่แกจะได้เข้ายานคือเข้าไปกวาดถูเท่านั้นแหละ" ซึ่งดูเหมือนว่าพ่อและแม่ของวินเซนต์คือตัวแทนของทัศนคติทั่วไปในสังคมนั้นที่ยอมจำนนต่อชะตากรรมอย่างง่ายดายโดยไม่ตั้งคำถาม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดทางสังคมก็ดี การจี้จุดเรื่องยีนของพ่อแม่ก็ดี ปมด้อยทางร่างกายจากการเปรียบเทียบกับน้องชายก็ดี ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้วินเซนต์ต้องการหลีกหนีจากสภาวะที่เป็นอยู่ อาชีพนักบินอวกาศจึงน่าจะตอบโจทย์ความต้องการนี้ แต่น่าเสียดายที่อาชีพนี้สงวนไว้ให้กับคนยีนเด่นเท่านั้น

ทะเลใจ
ในหนัง มีฉากว่ายน้ำด้วยกันทั้งหมด 3 ฉาก 3 ช่วงวัย ซึ่งทั้งสามฉากนี้มีบทบาทสำคัญต่อเส้นเรื่องอย่างมาก เพราะเป็นจุดพลิกผันชะตากรรมของตัวละครเอก


การว่ายน้ำครั้งแรก: วินเซนต์และแอนโทนมีเกมที่ชอบเล่นด้วยกันคือ การว่ายน้ำแข่งกัน กติกาคือหากใครเกิดความกลัวหรือว่ายไม่ไหว และหันกลับเข้าฝั่งก่อนจะถือว่าแพ้ (ในหนังเรียกเกมนี้ว่า "Chicken" ซึ่งหมายถึงคนขี้ขลาด) แน่นอนว่าแอนโทนเป็นผู้ชนะเพราะมีพละกำลังทางกายเหนือกว่า และวินเซนต์ก็ยอมรับความจริงข้อนี้โดยดุษฎีว่า "แอนโทนเป็นนักว่ายน้ำที่แข็งแรงที่สุด เขาไม่มีเหตุผลที่จะแพ้ได้เลย" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทัศนะทางสังคมที่มองว่าผู้ที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมย่อมมีความสามารถเหนือกว่าผู้ที่ผ่านการคลอดแบบธรรมชาติ มนุษย์จึงไม่อาจฝืนชะตากรรมของตนเองได้

การว่ายน้ำครั้งที่สอง: ตอนนี้ทั้งคู่ได้เติบใหญ่เป็นวัยรุ่นแล้ว และการแข่งขันครั้งนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนของเนื้อเรื่อง วินเซนต์สามารถเอาชนะแอนโทนเป็นครั้งแรก ขณะที่แอนโทนว่ายไม่ไหวจนวินเซนต์ต้องช่วยพากลับเข้าฝั่ง ตอนนั้นเองที่วินเซนต์ตระหนักว่าเขาอาจทำความฝันของตนเองให้เป็นจริงได้ ซึ่งฉากนี้บอกเป็นนัยว่าชะตากรรมสามารถบิด ตัด หรือดัดแปลงได้ดุจ DNA ในพันธุกรรม ชัยชนะครั้งนี้เองได้หักล้างทัศนะทางสังคมของวินเซนต์ออกไปได้ทั้งหมด ดังจะเห็นได้จากความรู้สึกของเขาว่า "นาทีนั้นน้องชายผมไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เขาคิด และผมก็ไม่อ่อนแอ หลังจากนั้น อะไร ๆ ก็เป็นไปได้"

การว่ายน้ำครั้งที่สาม: ฉากนี้แตกต่างจากสองฉากแรก เพราะการว่ายน้ำเกิดขึ้นภายใต้ความมืดมิดของรัตติกาล ความมืดสนิทในฉากสื่อให้เห็นว่าการแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายที่จะตัดสินเรื่องราวทั้งหมด ทั้งคู่ว่ายออกห่างจากฝั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแอนโทนต้องร้องถามวินเซนต์ด้วยความพิศวงว่าเขาว่ายมาไกลขนาดนี้ได้อย่างไรในเมื่อยีนด้อยในตัวระบุว่าหัวใจของเขาอ่อนแอขนาดนั้น นาทีนั้นเองวินเซนต์ได้เผยคำพูดที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของเขาทั้งเรื่องว่า "ที่ฉันทำแบบนี้ได้เพราะฉันไม่ออมกำลังไว้ว่ายกลับเลย" (This is how I did it: I never saved anything for the swim back.) เพราะวินเซนต์รู้ดีว่าเขาไม่มีอะไรจะเสีย ต้นทุนของเขาจึงมีเพียงจิตใจที่แน่วแน่และการทุ่มเทจนสุดตัวเท่านั้น การทำงานหนักได้เอาชนะขีดจำกัดทางร่างกายและเงื่อนไขของยีนได้ในที่สุด

การสวมอัตลักษณ์
การสวมบทบาทเป็นผู้อื่นไม่ใช่พล็อตใหม่ในวงการภาพยนตร์แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากหนังหลายเรื่องที่สอดแทรกประเด็นนี้ เช่น Eternal Sunshine of the Spotless Mind, Source Code, Being John Malkovich หรือ The Talented Mr. Ripley แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหลายเรื่องข้างต้น คือ ตัวละครในเรื่องไม่ได้ "ขโมย" อัตลักษณ์ของใคร แต่เป็นการยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเข้าทำงานในสถานีอวกาศ Gattaca วินเซนต์จึงติดต่อนายหน้าเพื่อขอซื้ออัตลักษณ์ของมนุษย์ยีนเด่น ซึ่งในหนังเรียกว่า "พันธุลักษณ์" (Genetic Identity) ดูเหมือนว่าไม่ใช่มนุษย์ยีนเด่นทุกคนที่จะได้ดิบได้ดี บางคนก็ตกต่ำจนต้องขายพันธุลักษณ์กิน และนั่นเองที่ทำให้วินเซนต์ได้พบกับเจอร์โรม มอร์โรว์ (Jude Law) อดีตนักกีฬาว่ายน้ำ


เจอร์โรมเป็นมนุษย์ยีนเด่นที่มีความเป็นเลิศในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง ไอคิว สายตา และหัวใจที่แข็งแรง เขาเป็นบุคคลประเภทที่คลั่งไคล้การเป็นที่หนึ่ง แต่กลับแข่งขันได้ที่สอง การเป็นมนุษย์ยีนเด่นที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติชั้นเลิศทำให้เขาแบกรับความผิดหวังไว้ไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจปลิดชีวิตตนเองด้วยการกระโดดให้รถชน แต่สิ่งที่เขาได้รับคือการนั่งรถเข็นตลอดชีวิต เจอร์โรมได้ตกลงขายพันธุลักษณ์ให้กับวินเซนต์ ทุกวันเขาจะถ่ายเลือดและปัสสาวะใส่ถุงให้วินเซนต์นำไปใช้เพื่อสแกนขณะเข้าออกสถานี ในหนังเรื่องนี้ การแสดงของ Jude Law เป็นสิ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย การแสดงความรู้สึกขื่นขมผ่านสีหน้าและสายตาทำให้เรารู้สึกสงสารตัวละครตัวนี้จับจิตจับใจ การขายอัตลักษณ์ของตัวเองให้กับคนอื่นน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ยากจะอธิบาย เพราะมันหมายถึงการลบตนเองออกจากชื่อที่เคยใช้เพื่อให้คนอื่นเข้ามาสวมรอยแทน

ในเรื่องนี้ ยีนก็ดี พันธุลักษณ์ก็ดี ถูกมองว่าเป็นเพียงสิ่งของหรือเป็นเครื่องหมายบ่งบอกฐานะเท่านั้น  สอดคล้องกับคำพูดของนายหน้าที่บอกกับวินเซนต์ว่า "ไม่มีใครสนใจหรอกว่านายเกิดที่ไหน แต่เกิดด้วยวิธีใดต่างหาก เลือดไม่มีสัญชาติ ขอแค่นายมีสิ่งที่พวกเขาต้องการ (ยีน) ก็พอ" ตลอดทั้งเรื่อง เราจะเห็นว่าวินเซนต์พยายามหนีจากตัวตนของเขาด้วยการใช้เครื่องหมายเหล่านั้น และในขณะที่เขาถูกนักสืบต้อนแทบจนมุม เขาก็พบว่าการจะข้ามพ้นอัตตา (ความเป็นตัวตน) ได้ต้องเริ่มจากการยอมรับตัวเองเสียก่อน นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่เราแทบไม่ได้เห็นจากหนังสวมบทบาทเรื่องอื่น แต่เห็นในหนังเรื่องนี้คือ การไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใครและการยอมรับว่าตนเองสวมรอยเป็นคนอื่น ฉากหนึ่งที่วินเซนต์สารภาพกับไอรีน (Uma Thurman) ว่า เขาเป็น Invalid ไม่ใช่ Valid อย่างที่เธอเข้าใจ โดยมอบเส้นผมให้ไปตรวจ DNA พร้อมกับยอมรับผลลัพธ์ที่จะตามมา เป็นเครื่องบ่งบอกว่าวินเซนต์เลิกสวมหน้ากากเป็นคนอื่น และยอมรับความด้อยของตนเอง

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่