🧬 ทำไมการแบ่งชาติพันธุ์ เช่น มองโกลอยด์ คอเคซอยด์ ฯลฯ จึงล้าสมัยแล้ว

เราคงเคยได้ยินเรื่องการแบ่งชาติพันธุ์มนุษย์ออกเป็นกลุ่ม เช่น ชาวเอเชียส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์มองโกลอยด์ (Mongoloid) ชาวยุโรปส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์คอเคซอยด์ (Caucasoid) ซึ่งเป็นการจำแนกมนุษย์ตามลักษณะทางกายภาพที่เคยเป็นที่นิยมในอดีต (โดยเฉพาะมานุษยวิทยากายภาพในศตวรรษที่ 18-20) แต่ปัจจุบันแนวคิดนี้ ไม่เป็นที่ยอมรับและไม่นิยมใช้ในวงการมานุษยวิทยาสมัยใหม่ เนื่องจากหลักฐานทางพันธุกรรมแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความหลากหลายและมีความต่อเนื่องทางชีวภาพสูง การแบ่งเป็น "เผ่าพันธุ์" หลักๆ เพียงไม่กี่กลุ่มนั้นไม่สะท้อนความเป็นจริงทางชีววิทยาและพันธุกรรม

ลองดูตัวอย่างการแบ่งกลุ่มย่อยของชาติพันธุ์มองโกลอยด์ตามทฤษฎีในอดีตที่นักมานุษยวิทยาในยุคก่อนได้พยายามจัดกลุ่มประชากรในเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอเมริกา ออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ โดยใช้ความแตกต่างของลักษณะทางกายภาพและการกระจายทางภูมิศาสตร์เป็นเกณฑ์หลักโดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มมองโกลอยด์เอเชีย (Asiatic Mongoloid) และ กลุ่มอเมริกันอินเดียน (Amerindian)  

1. กลุ่มมองโกลอยด์เอเชีย
จะมี 4 กลุ่มย่อยได้แก่
- มองโกลอยด์เหนือ (Northern Mongoloid) หรือ มองโกลอยด์คลาสสิก (Classic Mongoloid) การกระจายตัวอยู่แถบมองโกเลีย, ไซบีเรีย, จีนตอนเหนือ, เกาหลี, ญี่ปุ่น (ในบางทฤษฎี) ลักษณะเด่นคือ รูปร่างสูงใหญ่กว่ากลุ่มอื่น, ผิวขาวเหลือง, มี รอยพับหนังตาแบบมองโกล (Epicanthic Fold) ชัดเจน, ใบหน้าแบนกว้าง, ผมตรงและหยาบ

- มองโกลอยด์ใต้ (Southern Mongoloid) หรือ มองโกลอยด์มาเลย์-อินโดนีเซีย (Indonesian-Malay Mongoloid) การกระจายตัวแถบ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์) ลักษณะเด่นคือ รูปร่างปานกลางถึงเล็ก, ผิวสีน้ำตาลเหลืองถึงน้ำตาล, รอยพับหนังตาอาจมีน้อยลงหรือไม่ชัดเจน, เส้นผมอาจหยักศกเล็กน้อย (ในกลุ่มที่ผสมกับกลุ่มอื่น)

- มองโกลอยด์ทิเบต-ไชนีส (Tibeto-Chinese) การกระจายตัวแถล ทิเบต, จีนตอนกลางและใต้
- มองโกลอยด์อาร์กติก (Arctic Mongoloid) หรือ เอสกิมอยด์ (Eskimoid) การกระจายตัวแถบพื้นที่อาร์กติก (เช่น ชาวอินูอิต/เอสกิโม) ลักษณะเด่น ปรับตัวเข้ากับความหนาวเย็น (รูปร่างป้อม, ใบหน้ากลมและกว้างมาก)

2. กลุ่มอเมริกันอินเดียน  
เป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือและใต้ (เราคุ้นเคยกับคำเรียกว่าอินเดียนแดง) ซึ่งเชื่อว่าอพยพข้ามช่องแคบเบริงมาจากเอเชียเมื่อหลายหมื่นปีก่อน แม้จะมีเชื้อสายมองโกลอยด์ แต่มีลักษณะที่พัฒนาและแตกต่างออกไป จึงมักถูกจัดเป็นกลุ่มย่อยหลักต่างหาก ได้แก่

- อเมรินเดียนเหนือ (North Amerindian) คือชนพื้นเมืองในอเมริกาเหนือ
- อเมรินเดียนใต้ (South Amerindian) คือชนพื้นเมืองในอเมริกาใต้
ลักษณะเด่นคือมีความหลากหลายสูงมาก แต่โดยทั่วไปมีผิวสีแดงน้ำตาล, ผมดำเหยียดตรง, รอยพับหนังตาพบน้อยกว่ากลุ่มมองโกลอยด์เอเชีย

🧬 แนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับความหลากหลายของมนุษย์
นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันมองว่ามนุษย์ทุกคนเป็น สปีชีส์เดียวกัน (One Species) คือ Homo sapiens และมีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมที่ใกล้ชิดกันมาก แนวคิดหลัก ๆ มีดังนี้ครับ

1. ความแตกต่างทางพันธุกรรมส่วนใหญ่อยู่ภายในกลุ่ม
การศึกษาพันธุกรรมแสดงให้เห็นว่าความแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic Variation) กว่า 85-95% ของมนุษย์ทั้งหมดนั้นอยู่ภายในกลุ่มประชากรที่ถูกจัดว่าเป็น "ชาติพันธุ์" เดียวกัน (เช่น ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง หรือระหว่างชาวจีนด้วยกันเอง)
ความแปรผันทางพันธุกรรมเพียง 5-15% เท่านั้น ที่อธิบายความแตกต่าง ระหว่าง กลุ่มประชากรทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความหลากหลายไม่ได้เกิดจากเส้นแบ่งทางเชื้อชาติที่ชัดเจน แต่เป็นการแปรผันอย่างต่อเนื่อง

ผมขออธิบายเพิ่มเติมเรื่องนี้อีกหน่อยเพื่อจะได้ไม่สับสนเรื่องความแปรผันทางพันธุกรรม คือในทางพันธุศาสตร์ เมื่อเราพูดถึงความแปรผัน เราหมายถึงความผันแปรของลำดับเบสใน DNA ระหว่างบุคคล (เช่น ตำแหน่ง A ใน DNA ของคุณคือ G แต่ของเพื่อนคือ C)

ตัวอย่างง่าย ๆ ลองดูที่ คนไทย 100 คน (สมมติว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน) และ คนจีน 100 คน (อีกกลุ่มหนึ่ง)
เมื่อนักวิทยาศาสตร์วัดความผันแปรทางพันธุกรรมทั้งหมดในประชากร 200 คนนี้ พวกเขาพบว่าความแปรผันส่วนใหญ่ (85-95%) สามารถพบได้แล้วจากการเปรียบเทียบคนไทยด้วยกันเอง (คนที่ 1 vs คนที่ 2, คนที่ 3 vs คนที่ 4, ฯลฯ)
ความผันแปรที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย (5-15%) เท่านั้นที่เกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มคนไทยกับคนจีน (คนไทย vs คนจีน)

2. ชาติพันธุ์คือ "โครงสร้างทางสังคม" ไม่ใช่ "โครงสร้างทางชีวภาพ"
ทางชีววิทยาไม่มีหลักฐานทางพันธุกรรมใดที่สามารถใช้แบ่งมนุษย์ออกเป็นกลุ่มย่อยที่แยกขาดจากกันได้โดยสมบูรณ์เหมือนที่ทฤษฎีชาติพันธุ์ในอดีตเคยอ้าง

ทางสังคมคำว่า "ชาติพันธุ์" (Race) จึงถูกมองว่าเป็น โครงสร้างทางสังคม (Social Construct) ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจำแนกและจัดลำดับกลุ่มคนตามรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งมีความหมายทางสังคมและการเมืองมากกว่าความหมายทางชีวภาพ

3. การแปรผันทางพันธุกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Clinal Variation)
แทนที่จะแบ่งเป็นกล่อง ๆ นักชีววิทยาพบว่าลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์จะแปรผันตาม ความลาดชัน (Cline) หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามระยะทางทางภูมิศาสตร์

ตัวอย่าง เช่น สีผิวของมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยนจาก "ขาว" เป็น "ดำ" ทันที แต่จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามระยะห่างจากเส้นศูนย์สูตร (เนื่องจากการปรับตัวต่อระดับรังสี UV ที่แตกต่างกัน) การแปรผันนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถลากเส้นแบ่งที่ชัดเจนได้

4. เน้นการศึกษา "ประชากร" และ "บรรพบุรุษ"
ปัจจุบัน นักพันธุศาสตร์จะใช้คำว่า "กลุ่มประชากร" (Populations) หรือ "บรรพบุรุษทางพันธุกรรม" (Genetic Ancestry) แทนคำว่า "ชาติพันธุ์ (Race)"

บรรพบุรุษทางพันธุกรรม หมายถึงการติดตามว่าบรรพบุรุษของบุคคลมาจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ใด และผสมผสานกันอย่างไรในหลายชั่วอายุคน ซึ่งสะท้อนความซับซ้อนของการอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์ได้ดีกว่า

มนุษย์ในอดีตมีการอพยพย้ายถิ่น ผสมผสาน และแลกเปลี่ยนยีนกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่มีกลุ่มใดที่มีความบริสุทธิ์ทางพันธุกรรม

🧠 บทสรุป

แนวคิดทางชีววิทยาและพันธุศาสตร์สมัยใหม่สรุปว่า "ชาติพันธุ์" ในความหมายของการแบ่งมนุษย์เป็นกลุ่มชีวภาพที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้น ไม่มีอยู่จริง ความแตกต่างที่เราเห็นภายนอก (เช่น สีผิว, รูปตา) เป็นผลมาจากการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเฉพาะถิ่นในช่วงเวลาหลายหมื่นปี และถูกควบคุมด้วยยีนเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่โดยรวมแล้ว มนุษย์มีความเป็นเอกภาพทางพันธุกรรมสูงมากครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่