[รีวิวนอกรอบ] Gattaca - เหยียดพันธุกรรม ; (Andrew Niccol, 1997)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เหตุการณ์เกิดขึ้นในยุคอนาคต เมื่อมนุษย์สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีพันธุกรรมขั้นสูงได้ จนสามารถบอกอุปนิสัย,จุดเด่นจุดด้อย,โรคประจำตัวและอายุขัยในอนาคตของเด็กทารกได้แม่นยำ 100% .. มีเพียงมนุษย์ที่ถูกสร้างให้เกิดมาพร้อม 'ยีนส์เป็นเลิศ' เท่านั้นที่จะมีที่ยืนในสังคม และในขณะเดียวกันมนุษย์ที่เกิดมาโดยไม่ได้รับการปรับปรุงก็จะกลายเป็นชนชั้นล่างไปโดยปริยาย ซึ่งนั่นก็เป็นชีวิตที่ยากลำบากของ 'วินเซนท์' (Ethan Hawke) เด็กหนุ่มที่เกิดมาพร้อมยีนส์ที่บกพร่องผู้ใฝ่ฝันจะเป็นนักบินอวกาศ.
บอกเลยว่าถ้าไม่เห็นปีฉายของหนังก็แทบจะดูไม่ออกเลยว่ามันเป็นหนังเก่าเกือบ 20 ปีแล้ว! ทั้งพล็อตที่ล้ำสุดๆจนน่าประทับใจที่พ่วงประเด็น 'การเหยียดชาติกำเนิด' ได้ร่วมสมัยเอามากๆ, ซึ่งใครที่คุ้นเคยกับความเป็นอเมริกันจะรู้ว่า 'การเหยียดผิว' นั้นแทบจะเป็นหัวข้ออมตะของหนังแทบทุกเรื่องกันเลยทีเดียว ซึ่งมาในหนังเรื่องนี้ก็จะแอดวานซ์ไปอีกขั้น คือไหนๆเทคโนโลยีเราก็พัฒนาไปไกลแล้ว เราก็เปลี่ยนจากการเหยียดผิวมาเป็น 'การเหยียดพันธุกรรม' แทน เรียกได้ว่าฟิวเจอริสติกมากกกก
สิ่งแรกที่ชอบคือการนำเสนอที่ไม่ค่อยจะยัดเยียดเท่าไหร่ คือหนังทำให้เราเข้าใจได้แหละ ว่าชีวิตของ 'วินเซนต์' นั้นลำบากมากๆ ด้วยความที่ตนนั้นเป็นมนุษย์ยีนด้อยขี้โรคแถมอายุจะไม่ยืน (หมอสามารถบอกอายุขัยได้ตั้งแต่ตอนเกิด) อาภัพถึงขนาดที่ว่าพ่อไม่ยอมตั้งชื่อให้เพราะจะเก็บไว้สร้างลูกคนใหม่ที่ยีนส์ดีกว่านี้น่ะ คิดดู .. ถึงกระนั้นหนังก็ไม่ได้นำเสนอให้ชีวิตชีวิตของตานี่มันจะต้องน้ำเน่าล้มลุกคลุกคลานทั้งชีวิตเหมือนหนังชีวิตเรื่องอื่นๆ

ในทางกลับกัน วินเซนต์นั้นรู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันได้เป็นนักบินอวกาศด้วยชาติกำเนิดของตัวเองแน่ๆ เพราะฐานะของคนที่มียีนส์บกพร่องนั้นมีค่าแค่เพียง 'คนทำความสะอาด' ดังนั้นเขาจึงหาช่องทางดิ้นรนจนมาพบ 'เจโรม' (Jude Law) หนุ่มพิการผู้หมดอาลัยตายกับชีวิต ผู้พร้อมจะขาย 'อัตลักษณ์' (Identity) ของตัวเองให้วินเซนต์เนื่องจากตัวเองมียีนส์เป็นเลิศ ดังนั้นทุกๆวันของพระเอกเราจะต้องขัดผิวขัดหัวอย่างแรงเพื่อ สลัดเอายีนส์ที่ต่ำค่าทิ้งไป และต้องพก 'เลือด' และ 'ปัสสาวะ' ของเจโรมติดตัวไว้เสมอ เพื่อพร้อมรับการตรวจร่างกายที่เข้มงวดและบ่อยครั้งขององค์กรอวกาศอย่าง 'กัตตากา'

ด้วยข้อจำกัดและเงื่อนไขชีวิตที่มากมายเพียงเพื่อจะไล่ตามความฝัน แต่ละวันๆของวินเซนต์จึงเต็มไปด้วยความกดดันและหวาดระแวงจากการที่ต้องคอยปกปิดอัตลักษณ์ของตัวเองอย่างหมดจด ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูเย็นชาและเงียบขรึมในฐานะหัวกะทิขององค์กร ซึ่งส่วนตัวบอกเลยว่าชอบโทนความรู้สึกของหนังตรงนี้มากๆ มันเป็น suspense ในลักษณะที่ย่อมเยาภายใต้ธีม scifi ที่เข้มข้น ที่ออกมาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและน่าติดตามเอามากๆ จนเราต้องเก็บมาคิดว่า "ถ้าแค่ใช้ชีวิตไปวันๆมันจะยากขนาดนี้ เราจะยังพยายามอยู่มั้ย?" ซึ่งนั่นอาจจะเป็นคำถามที่แทงใจดำใครๆหลายคนก็เป็นได้

ความเป็นมิตรอีกอย่างของหนังคือการที่มันไม่ได้พาตัวเองลงลึกไปในเรื่องของ 'ปรัชญาชีวิต' (ทั้งๆที่มันมีศักยภาพจะพาตัวเองไปถึงตรงนั้นได้) ก็ช่วยทำให้หนังอยู่ในหมวดที่ย่อยไม่ยากนัก สามารถเข้าถึงคนดูได้ทุกกลุ่มและถ่ายทอดข้อความของตัวเองได้แบบไม่ซับซ้อน เชื่อว่าแม้คนไม่ชอบหนังสไตล์นี้ก็ยังจะสามารถ appreciate มันได้

นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆที่ทำให้หนังมันมีเสน่ห์ เช่นมีฉากนึงที่พระเอกกำลังจีบสาวระดับหัวกะทิอย่าง 'ไอรีน' (Uma Thurman) แล้วนางก็ดึงปอยผมออกมาเส้นนึงมาให้ พร้อมบอกเป็นนัยที่ว่าหากเอาเส้นผมไปตรวจ DNA แล้วรับข้อบกพร่องของเธอได้ก็ให้ติดต่อมา บ่งบอกถึงความ insecure ในฐานะของมนุษย์ที่มี 'ยีนส์เป็นเลิศ' แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่า 'สมบูรณ์แบบ' เหลือเกิน
พูดมาขนาดนี้แล้วถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงก็คงต้องไปหาดูกันเองแล้วล่ะ แต่ในเคสนี้ด้วยความที่หนังมันเก่ามากๆก็อาจจะหาแผ่นยากหน่อยนะ (แค่กๆออนไลน์แค่กๆ) ถือว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่าที่มีโอกาสได้ดูเลยล่ะ
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..
[รีวิวนอกรอบ] Gattaca - เหยียดพันธุกรรม (1997) by ตั๋วหนังมันแพง
[รีวิวนอกรอบ] Gattaca - เหยียดพันธุกรรม ; (Andrew Niccol, 1997)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เหตุการณ์เกิดขึ้นในยุคอนาคต เมื่อมนุษย์สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีพันธุกรรมขั้นสูงได้ จนสามารถบอกอุปนิสัย,จุดเด่นจุดด้อย,โรคประจำตัวและอายุขัยในอนาคตของเด็กทารกได้แม่นยำ 100% .. มีเพียงมนุษย์ที่ถูกสร้างให้เกิดมาพร้อม 'ยีนส์เป็นเลิศ' เท่านั้นที่จะมีที่ยืนในสังคม และในขณะเดียวกันมนุษย์ที่เกิดมาโดยไม่ได้รับการปรับปรุงก็จะกลายเป็นชนชั้นล่างไปโดยปริยาย ซึ่งนั่นก็เป็นชีวิตที่ยากลำบากของ 'วินเซนท์' (Ethan Hawke) เด็กหนุ่มที่เกิดมาพร้อมยีนส์ที่บกพร่องผู้ใฝ่ฝันจะเป็นนักบินอวกาศ.
บอกเลยว่าถ้าไม่เห็นปีฉายของหนังก็แทบจะดูไม่ออกเลยว่ามันเป็นหนังเก่าเกือบ 20 ปีแล้ว! ทั้งพล็อตที่ล้ำสุดๆจนน่าประทับใจที่พ่วงประเด็น 'การเหยียดชาติกำเนิด' ได้ร่วมสมัยเอามากๆ, ซึ่งใครที่คุ้นเคยกับความเป็นอเมริกันจะรู้ว่า 'การเหยียดผิว' นั้นแทบจะเป็นหัวข้ออมตะของหนังแทบทุกเรื่องกันเลยทีเดียว ซึ่งมาในหนังเรื่องนี้ก็จะแอดวานซ์ไปอีกขั้น คือไหนๆเทคโนโลยีเราก็พัฒนาไปไกลแล้ว เราก็เปลี่ยนจากการเหยียดผิวมาเป็น 'การเหยียดพันธุกรรม' แทน เรียกได้ว่าฟิวเจอริสติกมากกกก
สิ่งแรกที่ชอบคือการนำเสนอที่ไม่ค่อยจะยัดเยียดเท่าไหร่ คือหนังทำให้เราเข้าใจได้แหละ ว่าชีวิตของ 'วินเซนต์' นั้นลำบากมากๆ ด้วยความที่ตนนั้นเป็นมนุษย์ยีนด้อยขี้โรคแถมอายุจะไม่ยืน (หมอสามารถบอกอายุขัยได้ตั้งแต่ตอนเกิด) อาภัพถึงขนาดที่ว่าพ่อไม่ยอมตั้งชื่อให้เพราะจะเก็บไว้สร้างลูกคนใหม่ที่ยีนส์ดีกว่านี้น่ะ คิดดู .. ถึงกระนั้นหนังก็ไม่ได้นำเสนอให้ชีวิตชีวิตของตานี่มันจะต้องน้ำเน่าล้มลุกคลุกคลานทั้งชีวิตเหมือนหนังชีวิตเรื่องอื่นๆ
ในทางกลับกัน วินเซนต์นั้นรู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันได้เป็นนักบินอวกาศด้วยชาติกำเนิดของตัวเองแน่ๆ เพราะฐานะของคนที่มียีนส์บกพร่องนั้นมีค่าแค่เพียง 'คนทำความสะอาด' ดังนั้นเขาจึงหาช่องทางดิ้นรนจนมาพบ 'เจโรม' (Jude Law) หนุ่มพิการผู้หมดอาลัยตายกับชีวิต ผู้พร้อมจะขาย 'อัตลักษณ์' (Identity) ของตัวเองให้วินเซนต์เนื่องจากตัวเองมียีนส์เป็นเลิศ ดังนั้นทุกๆวันของพระเอกเราจะต้องขัดผิวขัดหัวอย่างแรงเพื่อ สลัดเอายีนส์ที่ต่ำค่าทิ้งไป และต้องพก 'เลือด' และ 'ปัสสาวะ' ของเจโรมติดตัวไว้เสมอ เพื่อพร้อมรับการตรวจร่างกายที่เข้มงวดและบ่อยครั้งขององค์กรอวกาศอย่าง 'กัตตากา'
ด้วยข้อจำกัดและเงื่อนไขชีวิตที่มากมายเพียงเพื่อจะไล่ตามความฝัน แต่ละวันๆของวินเซนต์จึงเต็มไปด้วยความกดดันและหวาดระแวงจากการที่ต้องคอยปกปิดอัตลักษณ์ของตัวเองอย่างหมดจด ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูเย็นชาและเงียบขรึมในฐานะหัวกะทิขององค์กร ซึ่งส่วนตัวบอกเลยว่าชอบโทนความรู้สึกของหนังตรงนี้มากๆ มันเป็น suspense ในลักษณะที่ย่อมเยาภายใต้ธีม scifi ที่เข้มข้น ที่ออกมาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและน่าติดตามเอามากๆ จนเราต้องเก็บมาคิดว่า "ถ้าแค่ใช้ชีวิตไปวันๆมันจะยากขนาดนี้ เราจะยังพยายามอยู่มั้ย?" ซึ่งนั่นอาจจะเป็นคำถามที่แทงใจดำใครๆหลายคนก็เป็นได้
ความเป็นมิตรอีกอย่างของหนังคือการที่มันไม่ได้พาตัวเองลงลึกไปในเรื่องของ 'ปรัชญาชีวิต' (ทั้งๆที่มันมีศักยภาพจะพาตัวเองไปถึงตรงนั้นได้) ก็ช่วยทำให้หนังอยู่ในหมวดที่ย่อยไม่ยากนัก สามารถเข้าถึงคนดูได้ทุกกลุ่มและถ่ายทอดข้อความของตัวเองได้แบบไม่ซับซ้อน เชื่อว่าแม้คนไม่ชอบหนังสไตล์นี้ก็ยังจะสามารถ appreciate มันได้
นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆที่ทำให้หนังมันมีเสน่ห์ เช่นมีฉากนึงที่พระเอกกำลังจีบสาวระดับหัวกะทิอย่าง 'ไอรีน' (Uma Thurman) แล้วนางก็ดึงปอยผมออกมาเส้นนึงมาให้ พร้อมบอกเป็นนัยที่ว่าหากเอาเส้นผมไปตรวจ DNA แล้วรับข้อบกพร่องของเธอได้ก็ให้ติดต่อมา บ่งบอกถึงความ insecure ในฐานะของมนุษย์ที่มี 'ยีนส์เป็นเลิศ' แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่า 'สมบูรณ์แบบ' เหลือเกิน
พูดมาขนาดนี้แล้วถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงก็คงต้องไปหาดูกันเองแล้วล่ะ แต่ในเคสนี้ด้วยความที่หนังมันเก่ามากๆก็อาจจะหาแผ่นยากหน่อยนะ (แค่กๆออนไลน์แค่กๆ) ถือว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่าที่มีโอกาสได้ดูเลยล่ะ
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..