เรื่องนี้ปล่อยไปแล้วจะน้อมใจผิด แล้วก็พูดจมลงในยุคสมัยเหมือนเดิม ซึ่งจริงๆแล้ว เพราะว่าเขาแค่
จะเอาชนะคน เอาชนะตัวตนลัทธิ แต่เขาไม่คิดจะก้าวล่วงข้ามผ่านยุคสมัย ที่อาจจะเป็นความหวังว่าชนะก็ไม่อาจจะชนะแล้ว เพราะว่าดีแต่ทางหนังสือแต่ละเลยยึดโยงประเด็นโดยไม่เห็นว่าอะไรเป็นวาทะกรรมแห่งยุค มันก็จะเท่ากะว่าเชือดเช่นเซ่นชาติตนเองมอบแก่อวิชชาเปล่าๆอยู่นั่นแล เพราะเรื่องที่ควรจะให้เป็นเรื่องนั้น เรียนไปแล้วรู้แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น สรุปไม่ตรงตลอดตามความที่เป็นอรรถคดีแห่งยุคสมัย และสรุปแสดงกันอยู่แค่ ๒ เรื่อง
เรื่อง ๑ ที่หักล้างได้เพียงไม่ต้องทำอะไรมากก็คือ เรื่องพระพุทธวจนะ พระไตรปิฎก หรือชั้นตำราที่วิเศษมากอย่างไรก็แล้วแต่ ย่อมตกไป! เพราะการสืบทอดและการกล่าวต่อคำของพระพุทธเจ้านั้นถือกันที่มุขปาฐะ พระภิกษุสงฆ์แม้ปัจุบันนี้ก็ย่อมรู้ดี จะพูดกล่าวกันให้วิเศษไปอย่างไรก็แล้วแต่ ในชุมชนชาวอะไรก็แล้วแต่ พระพุทธวจนะ(เอกสาร) ย่อมจะไม่วิเศษไปได้ และจะคุยว่าชั้นสูงนั้น ก็จะไม่ใช่ทั้งนั้น
เรื่อง ๑ คือเรื่องตื่นตามเต้นช่วยเพื่อป่วยการพูดเปล่าๆ ก็คือ เรื่องพระวินัย 150 กำหนด เรื่องไม่มีสาระให้คิดก็ทำบังคับกันให้เอามาคิด ทั้งที่พระภิกษุสงฆ์ ประพฤติ กรณียกิจ 4 และอกรณียกิจ 4 เท่านี้ก็ไม่เป็นโมฆะกรรมในบรรพชาอุปสมบทแล้ว การที่จะไปค้านคิดตัดรอนกันว่า ไม่เท่านั้นเท่านี้จึงเป็นการพูดไปเปล่าๆ คือเปล่าประโยชน์และก็พูดไม่ถูกเรื่อง ย่อมเสนอเป็นอาบัติญัตติอะไรไม่ได้
อยากจะขอแจ้งเตือนเพื่อนนักประพฤติ ที่คิดค้านหว่านเกณฑ์หวังแต่ทางซื่อตรงกันสักหน่อยว่า ควรยึดโยงหน่วงเหนี่ยววาทะกรรมหลักแห่งพุทธาภิสมัยให้ดีก่อน จะกล่าวอย่างไรก็จึงจะไม่ผิด และจะเป็นแต่ทางให้ได้เรียนรู้ข้ามผ่าน ซึงว่าโดยวาทะกรรมโดยธรรมแล้ว ในสมัยที่พระศาสนานี้ยังไม่อันตรธานนั้น ก็มีอยู่ 5 อย่างในที่กล่าว แต่โดยกำหนดแล้วจะเป็น 4 อย่างด้วยกัน ดังนี้ คือ
1. ไม่ให้-ให้อยู่นอกเขตเมืองเป็นหลัก และไม่อยู่ภายในอาคาร(ที่มุงบัง)
2. ไม่รับ-รับคำเชิญ บัตรเชิญ และการตอบสำคัญเรื่องนัดหมาย
3. ไม่ใช้-ใช้เฉพาะผ้าเก่าหาเก็บของทิ้ง ไม่ใช้ผ้าใหม่
4. ไม่รับ-รับประทานเฉพาะอาหารมังสวิรัติเท่านั้น
ด้วยข้อรื่องของการศึกษาเล่าเรียนนั้น ได้ตามไปฟังดูจากการเยิ่นเย้อตามลิงก์ของวิดีโอนั้นๆที่แจ้งกันให้เป็นข่าว เห็นทีจะมีแต่ที่กล่าวเป็นทิฏฐิคติธรรมส่วนตนนั้นๆ จะได้เห็นก็แต่ว่า เหมือนว่าพูดผิดพลาดอยู่ทั้งหมด เพราะอรรถประโยชน์ของการศึกษา พยัญชนะ อักขระภาวะ ไม่ใช่จะต้องให้มากล่าวดีในเรื่องใด หรือจะกล่าวดีแต่คำที่จดมาจากปรากฏการณ์พิเศษเท่านี้เท่านั้น เพราะตามเป็นจริง-แท้จริงนั้นอักขระเลขหมายเพียงตัวเดียว ก็มีค่ามีความหมายบรรยายได้ไม่หมด เพราะถือได้ว่าเป็นมนุษย์สมบัติ ไม่ว่าที่ใด ใครจำ จด จาร เลข เสก สัก ลัทธิอะไรที่ไหนก็ตาม ก็ช่าง ย่อมต้องให้ผู้นั้นได้ถึงมนุษย์สมบัติ และแดนมนุษย์นั้น เป็นแดนที่จะมีพระพุทธเจ้าเสมอ ไม่อาจพ้นไปได้ เพราะเป็นเขตบำเพ็ญได้เฉพาะแต่แดนนี้
เพราะฉะนั้น การที่เสนอกัน ว่า คำพูดตรงนั้นมีค่า ตรงนี้ไม่มีค่า พุทธวจนมีค่า หากว่าจะให้มีค่าแต่ตรงนั้น จึงเป็นเหมือนกับว่ากะเกณฑ์กล่าวหา กล่าววาจาตลกโปกฮาไม่มีที่สิ้นสุด เพราะข้อเรื่องที่แท้จริงเป็นเรื่องของอรรถคดีในนั้น เป็นลักษณ์ เลข ความ ข้องด้วยเกี่ยวตามจะต้องให้เราได้มนุษยสมบัติด้วยกันเท่านั้นก่อน จะให้อ่านหนังสืออะไรก็ต้องนับว่าดีทั้งนั้น และก็ไม่ใช่แต่จะมีแค่หนังสือภาษาไทยเท่านั้นที่ดีกว่าเขา
ไม่ใช่แต่พระพุทธวจนเท่านั้นที่ดีกว่า
จะเอาชนะคน เอาชนะตัวตนลัทธิ แต่เขาไม่คิดจะก้าวล่วงข้ามผ่านยุคสมัย ที่อาจจะเป็นความหวังว่าชนะก็ไม่อาจจะชนะแล้ว เพราะว่าดีแต่ทางหนังสือแต่ละเลยยึดโยงประเด็นโดยไม่เห็นว่าอะไรเป็นวาทะกรรมแห่งยุค มันก็จะเท่ากะว่าเชือดเช่นเซ่นชาติตนเองมอบแก่อวิชชาเปล่าๆอยู่นั่นแล เพราะเรื่องที่ควรจะให้เป็นเรื่องนั้น เรียนไปแล้วรู้แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น สรุปไม่ตรงตลอดตามความที่เป็นอรรถคดีแห่งยุคสมัย และสรุปแสดงกันอยู่แค่ ๒ เรื่อง
เรื่อง ๑ ที่หักล้างได้เพียงไม่ต้องทำอะไรมากก็คือ เรื่องพระพุทธวจนะ พระไตรปิฎก หรือชั้นตำราที่วิเศษมากอย่างไรก็แล้วแต่ ย่อมตกไป! เพราะการสืบทอดและการกล่าวต่อคำของพระพุทธเจ้านั้นถือกันที่มุขปาฐะ พระภิกษุสงฆ์แม้ปัจุบันนี้ก็ย่อมรู้ดี จะพูดกล่าวกันให้วิเศษไปอย่างไรก็แล้วแต่ ในชุมชนชาวอะไรก็แล้วแต่ พระพุทธวจนะ(เอกสาร) ย่อมจะไม่วิเศษไปได้ และจะคุยว่าชั้นสูงนั้น ก็จะไม่ใช่ทั้งนั้น
เรื่อง ๑ คือเรื่องตื่นตามเต้นช่วยเพื่อป่วยการพูดเปล่าๆ ก็คือ เรื่องพระวินัย 150 กำหนด เรื่องไม่มีสาระให้คิดก็ทำบังคับกันให้เอามาคิด ทั้งที่พระภิกษุสงฆ์ ประพฤติ กรณียกิจ 4 และอกรณียกิจ 4 เท่านี้ก็ไม่เป็นโมฆะกรรมในบรรพชาอุปสมบทแล้ว การที่จะไปค้านคิดตัดรอนกันว่า ไม่เท่านั้นเท่านี้จึงเป็นการพูดไปเปล่าๆ คือเปล่าประโยชน์และก็พูดไม่ถูกเรื่อง ย่อมเสนอเป็นอาบัติญัตติอะไรไม่ได้
อยากจะขอแจ้งเตือนเพื่อนนักประพฤติ ที่คิดค้านหว่านเกณฑ์หวังแต่ทางซื่อตรงกันสักหน่อยว่า ควรยึดโยงหน่วงเหนี่ยววาทะกรรมหลักแห่งพุทธาภิสมัยให้ดีก่อน จะกล่าวอย่างไรก็จึงจะไม่ผิด และจะเป็นแต่ทางให้ได้เรียนรู้ข้ามผ่าน ซึงว่าโดยวาทะกรรมโดยธรรมแล้ว ในสมัยที่พระศาสนานี้ยังไม่อันตรธานนั้น ก็มีอยู่ 5 อย่างในที่กล่าว แต่โดยกำหนดแล้วจะเป็น 4 อย่างด้วยกัน ดังนี้ คือ
1. ไม่ให้-ให้อยู่นอกเขตเมืองเป็นหลัก และไม่อยู่ภายในอาคาร(ที่มุงบัง)
2. ไม่รับ-รับคำเชิญ บัตรเชิญ และการตอบสำคัญเรื่องนัดหมาย
3. ไม่ใช้-ใช้เฉพาะผ้าเก่าหาเก็บของทิ้ง ไม่ใช้ผ้าใหม่
4. ไม่รับ-รับประทานเฉพาะอาหารมังสวิรัติเท่านั้น
ด้วยข้อรื่องของการศึกษาเล่าเรียนนั้น ได้ตามไปฟังดูจากการเยิ่นเย้อตามลิงก์ของวิดีโอนั้นๆที่แจ้งกันให้เป็นข่าว เห็นทีจะมีแต่ที่กล่าวเป็นทิฏฐิคติธรรมส่วนตนนั้นๆ จะได้เห็นก็แต่ว่า เหมือนว่าพูดผิดพลาดอยู่ทั้งหมด เพราะอรรถประโยชน์ของการศึกษา พยัญชนะ อักขระภาวะ ไม่ใช่จะต้องให้มากล่าวดีในเรื่องใด หรือจะกล่าวดีแต่คำที่จดมาจากปรากฏการณ์พิเศษเท่านี้เท่านั้น เพราะตามเป็นจริง-แท้จริงนั้นอักขระเลขหมายเพียงตัวเดียว ก็มีค่ามีความหมายบรรยายได้ไม่หมด เพราะถือได้ว่าเป็นมนุษย์สมบัติ ไม่ว่าที่ใด ใครจำ จด จาร เลข เสก สัก ลัทธิอะไรที่ไหนก็ตาม ก็ช่าง ย่อมต้องให้ผู้นั้นได้ถึงมนุษย์สมบัติ และแดนมนุษย์นั้น เป็นแดนที่จะมีพระพุทธเจ้าเสมอ ไม่อาจพ้นไปได้ เพราะเป็นเขตบำเพ็ญได้เฉพาะแต่แดนนี้
เพราะฉะนั้น การที่เสนอกัน ว่า คำพูดตรงนั้นมีค่า ตรงนี้ไม่มีค่า พุทธวจนมีค่า หากว่าจะให้มีค่าแต่ตรงนั้น จึงเป็นเหมือนกับว่ากะเกณฑ์กล่าวหา กล่าววาจาตลกโปกฮาไม่มีที่สิ้นสุด เพราะข้อเรื่องที่แท้จริงเป็นเรื่องของอรรถคดีในนั้น เป็นลักษณ์ เลข ความ ข้องด้วยเกี่ยวตามจะต้องให้เราได้มนุษยสมบัติด้วยกันเท่านั้นก่อน จะให้อ่านหนังสืออะไรก็ต้องนับว่าดีทั้งนั้น และก็ไม่ใช่แต่จะมีแค่หนังสือภาษาไทยเท่านั้นที่ดีกว่าเขา