ภิกษุทั้งหลาย ! ในบรรดาลัทธิทั้ง ๓ นั้น
สมณพราหมณ์พวกใด มีถ้อยคำและความเห็นว่า
“บุคคลได้รับสุข หรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
เพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนอย่างเดียว” มีอยู่,
เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่าน้นั แล้วสอบถาม
ความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว เรากล่าวกะเขาว่า
“ถ้ากระนั้น คนที่ฆ่าสัตว์ ... ลักทรัพย์ ... ประพฤติผิด
พรหมจรรย์ ... พูดเท็จ ... พูดคำหยาบ ... พูดยุให้แตกกัน
... พูดเพ้อเจ้อ ... มีใจละโมบเพ่งเล็ง ... มีใจพยาบาท ...
มีความเห็นวิปริตเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง (ในเวลานี้)
นั่นก็ต้องเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน.
เมื่อมัวแต่ถือเอา
กรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน
มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ
หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า
สิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ)
สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป.
เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ
ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว
คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่า
เป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.
ลัทธิที่เชื่อว่าสุขและทุกข์ เกิดจากกรรมเก่าอย่างเดียว
สมณพราหมณ์พวกใด มีถ้อยคำและความเห็นว่า
“บุคคลได้รับสุข หรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
เพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนอย่างเดียว” มีอยู่,
เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่าน้นั แล้วสอบถาม
ความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว เรากล่าวกะเขาว่า
“ถ้ากระนั้น คนที่ฆ่าสัตว์ ... ลักทรัพย์ ... ประพฤติผิด
พรหมจรรย์ ... พูดเท็จ ... พูดคำหยาบ ... พูดยุให้แตกกัน
... พูดเพ้อเจ้อ ... มีใจละโมบเพ่งเล็ง ... มีใจพยาบาท ...
มีความเห็นวิปริตเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง (ในเวลานี้)
นั่นก็ต้องเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน.
เมื่อมัวแต่ถือเอา
กรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน
มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ
หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า
สิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ)
สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป.
เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ
ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว
คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่า
เป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.