มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องน่าแปลกใจอย่างนึงก็คือ จิตใจของมนุษย์นั้น สามารถเปลี่ยนไปได้อย่างง่ายดายหากเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมา หรือจะอะไรก็แล้วแต่ มันอาจมีผลคนๆนั้น กลายเป็นอีกคน ที่มีบุคลิกต่างออกไป รวมถึงนิสัย ราวกับว่าคนๆนั้นได้กลายเป็นคนใหม่ไปแล้ว

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากเอามาพูดถึง เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันช็อคพอสมควร ฉันเป็นเด็กมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง เคยคบหากับผู้ชายคนนึง ระหว่างที่คบกันเขาเป็นคนดีคนนึงที่เดียว พึ่งหาได้ ปรึกษาได้ แม้ว่าเราทั้งคู่จะอยู่กันคนละจังหวัด และจบมา ม.ปลายมาจากคนละโรงเรียนกันก็ตาม (ความจริงแล้วเราก็ไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้แต่แรก) แต่ก็พอมีเวลาที่จะเจอกันบ้างเป็นครั้งคราว เขาไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้ฉันเดือดร้อน แล้วก็ไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกกังวลใจเรื่องอะไรมากนัก เขาเป็นคนร่าเริง โซเชี่ยวสกิลค่อนข้างสูงทีเดียว จัดได้ว่าเฟลนลี่กับทุกคน แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเฟลนลี่ แต่เขาก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นคนพิเศษของเขาจริงๆ ต้องยอมรับจริงๆว่าเวลาในตอนนั้นฉันเองก็มีความสุขมาก เราได้ไปเที่ยวกันหลายที่ แม้กระทั่งตอนนั้นฉันไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น 2 เดือน เวลาไม่ค่อยตรงกัน อีกทั้งยังมีตารางกิจกรรมต่างๆ ทำให้ได้คุยกันน้อยลง แต่ทุกครั้งที่มีเวลา เราก็มักจะมีเรื่องเล่าให้กันฟังเสมอ เป็นเรื่องราวในชีวิตของแต่ละคนแม้จะอยู่กันคนละประเทศเลยก็ตาม วันก่อนที่จะกลับไทย เขาบอกกับฉันประโยคหนึ่งว่า “ขอบคุณนะ ถึงจะไม่ได้ไปด้วย แต่รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลย ถ้าไม่ติดว่าอากาศเมืองไทยมันร้อน” เขาพูดเชิงติดตลก ไม้รู้ทำไมคำพูดนั้นมันทำให้ฉันยิ้มตามเลยทีเดียว

และแล้ว ชีวิตการเรียนก็กลับมา ฉันมาที่มหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด ในขณะเดียวกัน เขาก็เรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพใกล้บ้านของเขา ช่วงแรกๆกิจกรรมหนักมาก บวกกับการที่ทั้งฉันและเขาก็เล่นกีฬากันทั้งคู่ ทำให้เราต้องแบ่งเวลาช่วงค่ำๆไปให้กับกีฬา กลับจากกีฬาก็เหนื่อยมาก ฉันจำได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ห่างกัน มีหลายเรื่องที่เราไม่เข้าใจกัน อีกทั้งฉันเองก็ไม่ค่อยเล่าอะไรให้เขาฟังมากเหมือนแต่ก่อน จนสุดท้ายแล้ว ฉันเลือกที่จะบอกเลิกเขา แน่นอนว่าฉันเองก็มีเหตุผลของฉันในการบอกเลิก และเขาเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจ มันอะไรที่เจ็บปวดนะ แม้เราจะเป็นคนบอกเลิกเองก็ตาม รู้สึกเหมือนสิ่งที่เคยมีมันหายไป รู้สึกว่างเปล่า เพราะการที่เราเคยสนิทกัน มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเองก็เป็นอีกครึ่งหนึ่งของฉันเหมือนกัน
ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้วที่เราเลิกรากันไป ภายใต้ใบหน้าที่สดใสและร่าเริง ไม่มีใครรู้หรอกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มันไม่ง่ายเลยที่จะไม่นึกถึงอดีต และมันรู้สึกแย่แค่ไหน ครั้งสุดท้ายที่คุยกับเขา คงเป็นสองอาทิตย์ถัดมาหลังจากเลิกกัน เขาพูดกับฉันว่า “ชีวิตของเราคือปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต” ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเรื่องจริงทีเดียว แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจดีนัก ว่าทำไมเขาถึงมีแฟนใหม่ได้ง่ายดายอะไรขนาดนั้น ทั้งที่ฉันเองทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าฉันเองก็ถามเขาไป และเขาก็ตอบมาว่า “ถ้าเราถูกทำร้ายมามากๆ มันไม่แปลกหรอกที่เราจะลืมเรื่องพวกนั้นได้ง่ายๆ บางทีมันง่ายกว่าตัดกระดาษซะอีก” ฉันพึ่งรู้ว่าฉันได้ทำเรื่องอะไรแย่ๆไปก็ตอนนั้นแหละ บางทีในตอนนั้นฉันเองก็ยอมรับว่า ฉันไม่ค่อยใส่ใจเขามากเท่าไรนักจริงๆ
เรื่องมันก็ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่เรื่องน่าแปลกก็เกิดขึ้น เพราะไม่กี่วันก่อนเขาส่งข้อความมาหาฉัน ว่า “ว่างไหม” นั่นทำให้เรามีโอกาสได้คุยกันเล็กน้อย เขาโทรมาพูดเรื่องทั่วๆไป เรื่องเรียน เรื่องชีวิตประจำวัน กาคุยกันวันนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่า เราสองคนก็ยังคงมีความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในระดับนึงทีเดียว จนพอคุยมาสักพัก เขาบอกฉันว่า เขาว่าจะบอกเลิกกับแฟน ฉันรับฟังเขาเล่าเรื่อง แล้วก็ให้คำแนะนำไป ระหว่างบทสนทนาต่างๆของเรา มันเป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก เพราะลักษณะการพูดของเขามันไม่เหมือนเขาที่ฉันรู้จักเลย เขาพูดเรื่องเลิกกับแฟนได้ออกมาได้อย่างง่ายๆ พูดเหมือนอยากจะหาคนคุยแบบไม่ผูกมัดไปเรื่อยๆ เขากลับมาติดเกมส์ เข้าร้านเหล้าบ่อยเหมือนที่เคยเป็นเมื่อก่อน แต่เรื่องพวกนี้ ระหว่างที่คบกับฉัน มันไม่เคยปรากฏออกมาให้เห็นในตัวเขาเลย เขาเคยเป็นคนที่แคร์คนอื่น เขาเล่นเกมน้อยลงมาในตอนที่เราคบกัน ฉันเคยขอเรื่องเหล้าให้กินน้อยลง เขาก็บอกทุกครั้งที่กิน แต่ในตอนนี้... ฉันพูดกับเขาไปว่า “เปลี่ยนไปมากเลยนะ เหมือนกับคนๆนั้นที่เค้าเคยรู้จักได้ตายไปแล้ว.. ผิดหวังเลยนะเนี่ย” พอพูดออกไปก็ขำแห้งๆ เพราะในใจมันขำไม่ออกจริงๆ ความจริงแล้วตอนนั้นมันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้จะผิดหวัง เสียใจ หรืออะไรดี มันยากไปหมด หัวร้อนเบาๆ ฉันตัดบทสนทนาแล้วว่างสายไป และได้ให้คำตอบกับตัวเองว่า ผู้ชายที่ฉันเคยรู้จัก ได้ตายจากไปแล้ว แม้ว่าร่างกาย น้ำเสียงของเขา จะยังอยู่ก็ตาม แต่จิตวิญญาณมันหายไปหมดแล้วจริงๆ
ตลอดเวลาหลังจากที่เลิกกัน ฉันยังเชื่อมาเสมอว่าเขาเป็นคนดี ถึงเขาจะคบกับคนใหม่ เขาก็คงจะดีกับเธอเหมือนที่เราเคยดีต่อกัน แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกสงสารผู้หญิงคนนั้นที่ต้องมาเจอผู้ชายที่เป็นอย่างนี้ ที่คุยกันวันนั้นฉันเองก็บอกเขาไปว่า “ดีนะ ที่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เค้าแล้ว” ฉันพูดเพราะฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ถ้าต้องเจอกับเขาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ฉันคงจะเสียใจไม่น้อยจริงๆ ตอนนี้ฉันมองเขาติดลบมาก พูดยากนะที่พอกลับมาคุยกันแล้วเขาได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เราไม่รู้แม้กระทั่งว่า อะไรที่ทำให้เขากลายเป็นอย่างนี้ ลึกๆในใจตอนนั้นฉันเองก็อยากจะด่าเขาออกไป แต่ฉันเองก็ทำไม่ได้ เพราะฉันเดาว่าเขาคงจะเจอเรื่องร้ายๆมาเยอะพอแล้ว เพียงแต่ว่า ฉันเองก็เป็นห่วงเขา ฉันอยากให้เขากลับมาเป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก แต่ไม่แน่นี่อาจจะเป็นตัวตนของเขาจริงๆที่ฉันไม่เคยรู้เลย ควรปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้มั้ยนะ? ตอนนี้ความรู้สึกมันว่างเปล่าจริงๆ ไม่รู้แม้กระทั่งว่า ถ้าในอนาคตเรามีโอกาสได้เจอกัน ฉันไม่รู้ว่าควรจะมองหน้าเขายังไงด้วยซ้ำ
"ไม่มีอะไรเหมือนเดืม ไม่มีใครไม่เปลี่ยนไป" พึ่งเข้าใจประโยคนี้ก็ตอนนี้แหละ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากเอามาพูดถึง เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันช็อคพอสมควร ฉันเป็นเด็กมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง เคยคบหากับผู้ชายคนนึง ระหว่างที่คบกันเขาเป็นคนดีคนนึงที่เดียว พึ่งหาได้ ปรึกษาได้ แม้ว่าเราทั้งคู่จะอยู่กันคนละจังหวัด และจบมา ม.ปลายมาจากคนละโรงเรียนกันก็ตาม (ความจริงแล้วเราก็ไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้แต่แรก) แต่ก็พอมีเวลาที่จะเจอกันบ้างเป็นครั้งคราว เขาไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้ฉันเดือดร้อน แล้วก็ไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกกังวลใจเรื่องอะไรมากนัก เขาเป็นคนร่าเริง โซเชี่ยวสกิลค่อนข้างสูงทีเดียว จัดได้ว่าเฟลนลี่กับทุกคน แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเฟลนลี่ แต่เขาก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นคนพิเศษของเขาจริงๆ ต้องยอมรับจริงๆว่าเวลาในตอนนั้นฉันเองก็มีความสุขมาก เราได้ไปเที่ยวกันหลายที่ แม้กระทั่งตอนนั้นฉันไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น 2 เดือน เวลาไม่ค่อยตรงกัน อีกทั้งยังมีตารางกิจกรรมต่างๆ ทำให้ได้คุยกันน้อยลง แต่ทุกครั้งที่มีเวลา เราก็มักจะมีเรื่องเล่าให้กันฟังเสมอ เป็นเรื่องราวในชีวิตของแต่ละคนแม้จะอยู่กันคนละประเทศเลยก็ตาม วันก่อนที่จะกลับไทย เขาบอกกับฉันประโยคหนึ่งว่า “ขอบคุณนะ ถึงจะไม่ได้ไปด้วย แต่รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลย ถ้าไม่ติดว่าอากาศเมืองไทยมันร้อน” เขาพูดเชิงติดตลก ไม้รู้ทำไมคำพูดนั้นมันทำให้ฉันยิ้มตามเลยทีเดียว
และแล้ว ชีวิตการเรียนก็กลับมา ฉันมาที่มหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด ในขณะเดียวกัน เขาก็เรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพใกล้บ้านของเขา ช่วงแรกๆกิจกรรมหนักมาก บวกกับการที่ทั้งฉันและเขาก็เล่นกีฬากันทั้งคู่ ทำให้เราต้องแบ่งเวลาช่วงค่ำๆไปให้กับกีฬา กลับจากกีฬาก็เหนื่อยมาก ฉันจำได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ห่างกัน มีหลายเรื่องที่เราไม่เข้าใจกัน อีกทั้งฉันเองก็ไม่ค่อยเล่าอะไรให้เขาฟังมากเหมือนแต่ก่อน จนสุดท้ายแล้ว ฉันเลือกที่จะบอกเลิกเขา แน่นอนว่าฉันเองก็มีเหตุผลของฉันในการบอกเลิก และเขาเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจ มันอะไรที่เจ็บปวดนะ แม้เราจะเป็นคนบอกเลิกเองก็ตาม รู้สึกเหมือนสิ่งที่เคยมีมันหายไป รู้สึกว่างเปล่า เพราะการที่เราเคยสนิทกัน มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเองก็เป็นอีกครึ่งหนึ่งของฉันเหมือนกัน
ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้วที่เราเลิกรากันไป ภายใต้ใบหน้าที่สดใสและร่าเริง ไม่มีใครรู้หรอกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มันไม่ง่ายเลยที่จะไม่นึกถึงอดีต และมันรู้สึกแย่แค่ไหน ครั้งสุดท้ายที่คุยกับเขา คงเป็นสองอาทิตย์ถัดมาหลังจากเลิกกัน เขาพูดกับฉันว่า “ชีวิตของเราคือปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต” ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเรื่องจริงทีเดียว แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจดีนัก ว่าทำไมเขาถึงมีแฟนใหม่ได้ง่ายดายอะไรขนาดนั้น ทั้งที่ฉันเองทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าฉันเองก็ถามเขาไป และเขาก็ตอบมาว่า “ถ้าเราถูกทำร้ายมามากๆ มันไม่แปลกหรอกที่เราจะลืมเรื่องพวกนั้นได้ง่ายๆ บางทีมันง่ายกว่าตัดกระดาษซะอีก” ฉันพึ่งรู้ว่าฉันได้ทำเรื่องอะไรแย่ๆไปก็ตอนนั้นแหละ บางทีในตอนนั้นฉันเองก็ยอมรับว่า ฉันไม่ค่อยใส่ใจเขามากเท่าไรนักจริงๆ
เรื่องมันก็ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่เรื่องน่าแปลกก็เกิดขึ้น เพราะไม่กี่วันก่อนเขาส่งข้อความมาหาฉัน ว่า “ว่างไหม” นั่นทำให้เรามีโอกาสได้คุยกันเล็กน้อย เขาโทรมาพูดเรื่องทั่วๆไป เรื่องเรียน เรื่องชีวิตประจำวัน กาคุยกันวันนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่า เราสองคนก็ยังคงมีความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในระดับนึงทีเดียว จนพอคุยมาสักพัก เขาบอกฉันว่า เขาว่าจะบอกเลิกกับแฟน ฉันรับฟังเขาเล่าเรื่อง แล้วก็ให้คำแนะนำไป ระหว่างบทสนทนาต่างๆของเรา มันเป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก เพราะลักษณะการพูดของเขามันไม่เหมือนเขาที่ฉันรู้จักเลย เขาพูดเรื่องเลิกกับแฟนได้ออกมาได้อย่างง่ายๆ พูดเหมือนอยากจะหาคนคุยแบบไม่ผูกมัดไปเรื่อยๆ เขากลับมาติดเกมส์ เข้าร้านเหล้าบ่อยเหมือนที่เคยเป็นเมื่อก่อน แต่เรื่องพวกนี้ ระหว่างที่คบกับฉัน มันไม่เคยปรากฏออกมาให้เห็นในตัวเขาเลย เขาเคยเป็นคนที่แคร์คนอื่น เขาเล่นเกมน้อยลงมาในตอนที่เราคบกัน ฉันเคยขอเรื่องเหล้าให้กินน้อยลง เขาก็บอกทุกครั้งที่กิน แต่ในตอนนี้... ฉันพูดกับเขาไปว่า “เปลี่ยนไปมากเลยนะ เหมือนกับคนๆนั้นที่เค้าเคยรู้จักได้ตายไปแล้ว.. ผิดหวังเลยนะเนี่ย” พอพูดออกไปก็ขำแห้งๆ เพราะในใจมันขำไม่ออกจริงๆ ความจริงแล้วตอนนั้นมันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้จะผิดหวัง เสียใจ หรืออะไรดี มันยากไปหมด หัวร้อนเบาๆ ฉันตัดบทสนทนาแล้วว่างสายไป และได้ให้คำตอบกับตัวเองว่า ผู้ชายที่ฉันเคยรู้จัก ได้ตายจากไปแล้ว แม้ว่าร่างกาย น้ำเสียงของเขา จะยังอยู่ก็ตาม แต่จิตวิญญาณมันหายไปหมดแล้วจริงๆ
ตลอดเวลาหลังจากที่เลิกกัน ฉันยังเชื่อมาเสมอว่าเขาเป็นคนดี ถึงเขาจะคบกับคนใหม่ เขาก็คงจะดีกับเธอเหมือนที่เราเคยดีต่อกัน แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกสงสารผู้หญิงคนนั้นที่ต้องมาเจอผู้ชายที่เป็นอย่างนี้ ที่คุยกันวันนั้นฉันเองก็บอกเขาไปว่า “ดีนะ ที่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เค้าแล้ว” ฉันพูดเพราะฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ถ้าต้องเจอกับเขาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ฉันคงจะเสียใจไม่น้อยจริงๆ ตอนนี้ฉันมองเขาติดลบมาก พูดยากนะที่พอกลับมาคุยกันแล้วเขาได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เราไม่รู้แม้กระทั่งว่า อะไรที่ทำให้เขากลายเป็นอย่างนี้ ลึกๆในใจตอนนั้นฉันเองก็อยากจะด่าเขาออกไป แต่ฉันเองก็ทำไม่ได้ เพราะฉันเดาว่าเขาคงจะเจอเรื่องร้ายๆมาเยอะพอแล้ว เพียงแต่ว่า ฉันเองก็เป็นห่วงเขา ฉันอยากให้เขากลับมาเป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก แต่ไม่แน่นี่อาจจะเป็นตัวตนของเขาจริงๆที่ฉันไม่เคยรู้เลย ควรปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้มั้ยนะ? ตอนนี้ความรู้สึกมันว่างเปล่าจริงๆ ไม่รู้แม้กระทั่งว่า ถ้าในอนาคตเรามีโอกาสได้เจอกัน ฉันไม่รู้ว่าควรจะมองหน้าเขายังไงด้วยซ้ำ