การวิ่งแล้ว "ขาลอย"

อยากทราบเรื่องเกี่ยวกับ การวิ่งที่ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "ขาลอย" ค่ะ

จชกท. ใช้การวิ่งเป็นกุญแจหลักตัวนึงสำหรับการออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วน ซี่งมันก็ได้ผลเป็นที่พึงพอใจ แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่านอกจากสัดส่วนทีลดลงแล้วยังมีอะไรหลายสิ่งที่ยังไม่รู้ ก็เลยชอบชอบฟัง ชอบอ่าน อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

แล้วจขกท.ก็ไปได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการวิ่งที่ทำให้ "ขาลอย" ซี่งจับใจความได้ว่าเป็นภาษาของนักวิ่ง ที่อธิบายลักษณะการวิ่งที่เขารู้สึกว่า "วิ่งแล้วไม่เหนื่อย ฟิน และเหมือนมองขาของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองขณะที่วิ่ง"

จขกท.เกิดความสนใจค่ะ แต่หาความรู้จากในเน็ตค่อนข้างยาก จากคนรอบตัวก็ยาก ทราบมาแต่ว่ามีบล็อคเกอร์ท่านนึงเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้สั้นๆว่าเป็นการฝึกนักวิ่ง โดยการรักษาความเร็วและความคิดไม่วอกแวก ดูคล้ายกับกายานุปัสสนาเลย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

อยากรบกวนสอบถามเพื่อนๆพี่ๆ
- คนที่เคยมีประสบการณ์ ฝึกยังไงถึงจะสามารถวิ่งขาลอยได้คะ
- เราสามารถใช้เทคนิคนี้ฝึกอานาปานสติไปด้วยได้ไหมคะ
- การวิ่งในระดับนั้น ถือเป็นการวิ่งสำหรับระดับนักวิ่ง คือเกินเลเวลแค่ลดหุ่นไปแล้วใช่หรือเปล่า
- เป็นไปได้ไหมคะว่าการทำสมาธิแบบกายานุปัสสนา กับ การวิ่งขาลอยนี้ มีผลมาจากการเกิดเอนโดรฟินหรือสารอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิดความสุข เลยทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ปิติ
- การเกิดปิติ จากอะไรก็แล้วแต่ ความรู้สึกเป็นยังไงคะ

เป็นคนวิ่งแบบงูๆปลาๆ รู้แค่นิดๆหน่อยๆและเน้นใช้เพื่อลดความอ้วน ตอนนี้สนใจขึ้นมา รบกวนทุกท่านด้วยนะคะ

...................



ขอ EDIT เพิ่มส่วนนี้นะคะ

จากหลายคอมเม้นท์เหมือนการจะเกิดภาวะลอยได้คือหลังจากเกิดความเหนื่อยไปถึงระยะนึง คือเหมือนพอเหนื่อยจนปวดตัว ปวดขา ปวดแขน เลยจุดที่ปวดไปมากๆ มันจะถึงจุดที่เกิดภาวะลอยขึ้น แบบนี้อาจจะเป็นผลได้จากท่งอานา หรือวิทยาศาสตร์ก็ด้วย ถูกไหมคะ

ถ้างั้นแสดงว่า ตามหลักวิทยาศาสตร์เราวิ่งซ้ำวนไปวนมา จนเกิดความเหนื่อยสักพัก มันจะเข้าสู่ภาวะนี้ได้ (ไม่กล้าสรุปว่าตอนทำเราจะมีสติไม่มีสติ แฮ่)

แต่ถ้าเป็นตามหลักอานาปานสติ ถ้าสมาธิเราเข้าถึงเกณฑ์ ต่อให้ระยะทางไม่ได้ไกล แต่จิตเข้าถึงแล้ว หรืออาจจะทำสมาธิก่อนเดิน มันก็เกิดสภาวะนี้ได้ ถูกไหมคะ และเราก็ยังมีสติ เพราะมันคือการเจริญสติ กำหนดรู้ตัวรู้การกระทำ แต่แบบนี้จะเสี่ยงอุบัติเหตุไหมคะ เพราะเรารู้แต่รู้แค่ภายในตัวเรา คือรู้แต่จังหวะของเรา ไม่ได้รู้การมีอยู่ของสิ่งรอบข้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ขอตอบแค่ส่วนการฝึกสมาธินะ ถ้าวิ่งไปฝึกอานาฯไป คือจับลมไปเรื่อยๆเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง ถ้าสมาธิทรงตัวแล้ว ต่อให้วิ่งเป็นสิบกิโลก็ไม่เหนื่อย แล้วถ้าทรงสมาธิได้ สิ่งที่ได้มาจะเสื่อมได้ยากมาก เพราะเราได้มาในอิริยาบถเคลื่อนไหว ถ้าเข้าฌานขณะวิ่งได้นี่ฌานคงเสื่อมยากมาก ส่วนปิติทางโลกก็อาจเป็นอาการปลื้มใจยินดี เช่น เห็นคนที่เรารักประสบความสำเร็จก็ปิติใจ แต่ปีติในด้านของการปฏิบัติธรรมมี 5 อย่าง เกิดจากที่เราเสริมสร้างมันมาด้วยกำลังของสมาธิ ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัวปีติก็เกิดได้ แล้วคนที่เข้าถึงปีติต้องระวัง เพราะถ้าถึงแล้วจะไม่รู้จักเบื่อหน่ายในการปฏิบัติเลย บางทีเพลินเกินไปจนไม่รู้เวลา ออกจากสมาธิทีร่างกายแทบไม่ไหว บางทีนั่งสมาธิใหม่ๆ จะปวดนั่น ปวดนี่ อยากจะเลิกแล้ว แต่พอสมาธิเริ่มทรงตัว ปีติเกิด เราจะลืมอาการปวดไปได้เลย ไม่นึกถึงเลยนะ คิดดูมันสุขขนาดนั้น ต้องลองเจอเองเหมือนกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่