OPERATION 40 ลงขันฆ่า...? องค์กรมหาประลัย C.I.A (ตอนที่ 2)

จุดเริ่มปฏิกิริยา
     หลังจากการปฏิวัติคิวบาได้สิ้นสุดลงในต้นปี 1959 รัฐบาลคาสโตรเริ่มดำเนินนโยบายต่อต้านลัทธิทุนนิยมอย่างเฉียบขาด และในขณะเดียวกันนี้ กลุ่มคนคิวบาซึ่งลี้ภัยก็เริ่มเคลื่อนไหวต่อต้านคาสโตรอย่างรุนแรงเช่นกัน หากดูเพียงผิวเผิน คาสโตรเป็นเพียงชายหนุ่มใจดี ยิ้มง่าย ไม่ถือตัว ในสายตาชนชั้นกรรมาชีพแล้ว คาสโตรและเช กูวารา พวกเขาคือวีรบุรุษของชาวคิวบาโดยแท้จริง แต่ในทางกลับกัน ภายใต้รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการสังหารฝ่ายต่อต้านไปมากถึง 3,165 คน ผู้ถูกกล่าวหากระทำการต่อต้านหลายพันคนถูกจับกุมหรือหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุการณ์เหล่านี้ยังคงมีให้เห็นเสมอภายใต้ระบอบของคาสโตร ถึงแม้คิวบาในยุคนั้นจะดูป่าเถื่อนในสายตาทุนนิยม เพราะวิธีการจำกัดบริษัทพาหุชาติทุนนิยมต่างๆ และการเนรเทศคนคิวบาฝ่ายขวาออกจากประเทศไป แต่ความจริงแล้ว รัฐบาลคาสโตรก็ไม่มีนโยบายปิดประเทศแต่อย่างใด เพียงแต่ปิดกั้นไม่ให้มีกลุ่มนายทุนใดๆเข้าตักตวงผลประโยชน์เหมือนในยุคของบาติสตา คิวบายังมีการต้อนรับนักท่องเที่ยวมาโดยตลอด และด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มจารชนที่ได้รับการฝึกโจรกรรม ก่อวินาศกรรมจากสหรัฐฯ ก็ทยอยเข้าแถวปฏิบัติการทำลายรัฐบาลคาสโตรอย่างเป็นลำดับ.....

.....คุณมาที่นี่ เพื่อฆ่าผมใช่มั้ย ?.....

.....ก่อนหน้านี้.....

     ในช่วงปลายปี 1959 มาริต้าได้เดินทางกลับมายังสหรัฐฯ อีกครั้ง ภายหลังจากอยู่กินกับคาสโตรมานานกว่า 7 เดือน และเธอกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ* มีการสันนิษฐานว่านั้นอาจเป็นลูกของเธอกับคาสโตร ในเดือนมกราคม 1960 เจ้าหน้าที่ ซี.ไอ.เอ แฟรงก์ สเตอร์กีส(นามแฝง) (Frank Anthony Sturgis) ได้ติดต่อและคัดเลือกเธอให้เข้าร่วมกลุ่มต่อต้านคาสโตรที่มีเครือข่ายอยู่ในรัฐฟลอริด้า โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานในครอบครัว แม่ของมาริต้าเคยทำงานเป็นสายลับให้หน่วย O.S.S ในสมัยสงครามโลกมาก่อน รวมถึงข้อมูลช่วงชีวิตในวัยเด็กของมาริต้าที่เคยถูกข่มขืนโดยกลุ่มทหารอเมริกัน จึงมีแนวโน้มสูงที่เธอจะจงเกลียดจงชังชายในเครื่องแบบ และคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ที่จะชักจูงเธอให้เห็นความร้ายกาจของคาสโตรที่มักจะสวมเครื่องแบบสนามอยู่ตลอดเวลา ในวันนั้นที่เธอถูกเลือกเข้ามา เธอได้เห็นกลุ่มคนในองค์กรมากหน้าหลายตา ชาวคิวบาพลัดถิ่น กลุ่มทหารเก่าของบาติสตา รวมทั้งเจ้าหน้าที่อเมริกันอีกหลายคน และเธอได้รับมอบภารกิจให้ลอบวางยาพิษคาสโตร เธอถูกส่งตัวไปยังฐาน ซี.ไอ.เอ ในไมอามี่เพื่อเข้ารับการฝึกฝนสำหรับภารกิจ ที่นั้น เธอได้เจอหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ใช้ชื่อหน่วย Ultra secret (MK Ultra) หน่วยปฏิบัติการนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ในการล้างสมองโดยใช้สารเคมีในการจัดกระบวนการทางจิตเสียใหม่ โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ร่วมกับอดีตนักวิทยาศาสตร์นาซีเยอรมัน ซึ่งหน่วยแปลกประหลาดนี้จะถูกบรรจุเข้าร่วมกับหน่วย operation 40 ในเร็วๆนี้ ที่นั้นเธอได้พบกับอาสาสมัครทหารสหรัฐฯหลายนาย ทั้งพวกทำลายใต้น้ำ หน่วยซีล ทหารบก พลร่ม และชายร่างสันทัดคนหนึ่งซึ่งเป็นพลแม่นปืนในส่วนของนาวิกโยธิน เขาชื่อลีออน แต่เธอและลีออนไม่มีภารกิจส่วนใดเกี่ยวข้องกันเลย ทุกคนที่นี้คือคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน ไม่มีความจำเป็นอันใดจะต้องทำความรู้จักหรือทักทาย....

(Frank Fiorini (Sturgis)

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา มาริต้าได้กลับไปยังโรงแรมในฮาวานาอีกครั้ง เธอได้รับยาสองเม็ด เม็ดแรกเธอจะต้องกินก่อนปฏิบัติการ และอีกเม็ดมีลักษณะคล้ายแคปซูลสีขาว** มันคือยาพิษสำหรับใส่ลงไปในแก้วเหล้าหรืออาหารของคาสโตร หากแผนสังหารนี้สำเร็จ แค่เพียงเม็ดเดียวเท่านั้นคาสโตรจะต้องตายอย่างทรมานภายใน 30 วินาทีเท่านั้น.....

.....เธอนั่งรอคาสโตรอยู่ในห้อง ความสับสนวุ่นวายเริ่มรุมล้อมอยู่ในหัวของเธอ อาจเป็นเพราะว่าเธอยังคงรักคาสโตรหมดหัวใจอยู่หรือเปล่า? เพียงเวลาไม่นานคาสโตรก็กลับมา เขามีท่าทางเหนื่อยอ่อนจากงานในไร่อ้อย คาสโตรเอนตัวลงนอนพิงที่หัวเตียง ในขณะที่ปากยังคงคาบซิกก้าไว้  ไฟแดงวาบที่กำลังไหม้ปลายยาสูบคายควันลอยขโมง สายตาเย็นชาที่จ้องมองพัดลมเพดานเลื่อนต่ำลงมาจ้องนัยย์ตาของมาริต้าอีกครั้ง

"คุณมาที่นี่ เพื่อฆ่าผมใช่มั้ย ? "

มาริต้าซึ่งนั่งอยู่ที่ปลายเตียงยังคงนิ่งอยู่

"คุณทำงานให้พวก ซี.ไอ.เอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?" คาสโตรถามย้ำอีกครั้ง

"ฉันไม่ได้ทำงานให้ใคร ฉันทำเพื่อตัวฉันเอง" มาริต้าตอบกลับอย่างใจเย็น

"คุณฆ่าผมไม่ได้ ไม่มีใครฆ่าผมได้ ! "

จากนั้นคาสโตรก็เดินออกจากห้องไปอย่างช้าๆ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นควันบุหรี่ และความทรงจำร้างๆ ที่เริ่มจางไปด้วยแรงของพัดลมเพดานในห้องนั้น.....
มาริต้าล้มเหลว เธอสังหารคาสโตรไม่ได้ และเธอก็ไม่ถูกคาสโตรสังหารเช่นกัน เมื่อมาริต้ากลับมาถึงสหรัฐฯ แล้วเธอจึงพบว่า โครงการ OPERATION 40 ขยายกำลังพลและเครือข่ายปฏิบัติการมากขึ้น เธอรู้ว่าอีกไม่นาน สหรัฐฯ ต้องเปิดศึกกับคิวบาในไม่ช้า.....

*ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเด็กในท้อง ตามคำบอกเล่าของมาริต้าเธออ้างว่า เธอตั้งท้องกับคาสโตรถึงสองครั้ง ครรภ์แรกต้องแท้งไปเพราะเธอลื่นล้มในห้องน้ำ ครรภ์ที่สองนี้ เธออ้างว่าได้ทำแท้งออก ตามทฤษฎีสมคบคิดเชื่อว่า เธออาจถูกเจ้าหน้าที่ ซี.ไอ.เอ บังคับให้เอาเด็กออก

** มีหลักฐานยืนยันถึงปฏิบัติการสังหารคาสโตรด้วยยาพิษครั้งนี้ พิษที่ถูกนำมาใช้สังหารเป็นอาวุธเชื้อโรค มีชื่อว่า โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) ในชื่อย่อว่า โบท็อก (Botox) ที่นำมาใช้เสริมความงามตามศูนย์ศัลยกรรมความงามทั่วไป โบท็อกเป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) มีทั้งหมด 7 ชนิด คือ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิด A,B,C,D,E,F และชนิด G จัดเป็นสารพิษออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (neurotoxin)โดยจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตชั่วคราว
botulinum toxin มีความเป็นพิษสูงมาก แม้ยังไม่มีข้อมูลปริมาณขั้นต่ำที่ทำให้ถึงตายได้ แต่ชนิดที่อันตรายถึงตายในมนุษย์คือ botulinum toxin type A ในรูปผลึก และมีความเป็นไปได้สูงเกี่ยวกับพิษที่จะนำไปสังหารคาสโตร คือ botulinum neurotoxins ที่ผลิตจากแบคทีเรียสายพันธุ์ Clostridia ซึ่งเป็นเชื้อพิษที่ร้ายแรงที่สุด สามารถประดิษฐ์เป็นอาวุธได้ง่ายและตรวจจับยากเนื่องจากเป็นสารไร้สี ไร้กลิ่น ไร้รส เป็นอาวุธสงครามที่สร้างความตื่นกลัวได้ผลดีแม้เป็นเพียงข่าวลือว่าถูกนำมาใช้เป็นอาวุธต่อสู้ (มีผลทางจิตวิทยา) แนวโน้มรูปแบบที่จะถูกนำมาใช้คือปล่อยละอองในอากาศให้สูดดมเข้าไปในร่างกายหรือใส่สปอร์พิษปนเปื้อนในอาหาร มีความพยายามพัฒนามาใช้เป็นอาวุธชีวภาพตั้งแต่ปี 60 หลังปี 2005 ก็มีการคำนวณถึงความเสียหายต่อชีวิตหากผู้ก่อการร้ายนำสารนี้มาใช้อยู่หลายเหตุการณ์ด้วยกัน เช่น สมมุติการปนเปื้อนในอาหารตามภัตตาคาร ใส่สายพานลำเลียงนมวัวสำหรับส่งออกต่างประเทศ ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตอย่างมหาศาล เหตุเพราะ botulinum toxin หนึ่งหน่วยสามารถแพร่กระจายในอากาศทำให้คนที่อยู่ใต้ลมในรัศมีครึ่งไมล์กลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือเสียชีวิตได้.

     สายลมทะเลยังคงหอบเอาเกลียวคลื่นม้วนกระทบเข้าชายฝั่งประเทศคิวบาอยู่เป็นระยะๆไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับภารกิจต่อต้านคาสโตรของซีไอเอที่ยังคงดำเนินกิจกรรมร้ายๆต่อคิวบา และประเทศในแถบลาตินอเมริกาอยู่ตลอดเวลานาที แม้ความล้มเหลวในภารกิจของมาริต้าก็ไม่ใช่บทสรุปที่จะทำให้ซีไอเอและหน่วย Operation 40 ต้องถอดใจ พวกเขากลับเร่งเสนอแผนการใหม่ นั้นคือการบ่อนทำลายเศรษฐกิจของประเทศคิวบาอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ช่วงเดือนมีนาคมปี 1960 ริชาร์ด บิสเซล (Richard Bissell) รองผู้อำนวยการซีไอเอฝ่ายแผนการยุทธศาสตร์ ได้ร่างแผนปฏิบัติการลับบ่อนทำลายคิวบา ภายใต้รหัส JMARS ขึ้น โดยแผนการดังกล่าววางจุดประสงค์หลักคือการเตรียมคน และเลือกพื้นที่ปฏิบัติการ (แผนการเดียวกับแผนPB SUCCESS ที่เคยใช้บ่อนทำลายรัฐบาลกัวเตมาลาสำเร็จมาแล้วในปี 1954) บิสเซลเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ของแผนการลอบสังหารคาสโตร เขาถูกแต่งตั้งโดยไอเซนฮาว ให้เข้ามาดูแลโครงการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในภาคพื้นลาตินอเมริกา อีกทั้งยังเป็นผู้ดูแลโครงการลับ เกี่ยวกับการทดลองพัฒนาอากาศยานสอดแนมทางยุทธศาตร์ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Lockheed U-2 ในพื้นที่ 51 (Area 51) และเขายังเป็นผู้ควบคุมแผนปฏิบัติการโครงการใหม่ล่าสุด ที่ต้องใช้กำลังพลของชาวคิวบาพลัดถิ่น ในการเตรียมความพร้อมดำเนินกิจกรรมบางอย่างที่เป็นความลับอย่างยิ่งยวด ในขณะที่แผนการเตรียมคนอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม โดยกำลังพลคอมมานโดคิวบาพลัดถิ่นจำนวนหลายพันนายได้ถูกส่งเข้าไปฝึกทางยุทธวิธีในกัวเตมาลา เพราะที่นั้นลักษณะทางภูมิศาสตร์คล้ายคลึงกับคิวบามากที่สุด แต่ในระหว่างการฝึกภาคสนามอยู่นั้น เกิดเหตุซ้อมรบผิดพลาด ทำให้อาสาสมัครทหารชาวคิวบาเสียชีวิตไปหนึ่งนาย เขาชื่อคาร์ลอ (คาร์ไลล์) ราฟาเอลซานตาน่าสเตเวซ และด้วยความอาลัยในสหายร่วมภารกิจจึงได้มีการนำเอาหมายเลขรหัส 2506 จากป้ายห้อยคอ (Dog Tag) ของทหารนายนั้นตั้งเป็นชื่อที่รู้จักกันว่ากองพลน้อยที่ 2506 (Brigada Asalto 2506)

(Richard Bissell)

ในระหว่างนี้องค์กรซีไอเอได้ส่งมือสังหารระดับพระกาฬแทรกซึมเข้าไปยังท่าเรือฮาวานาของคิวบา มือสังหารจากองค์กรมหาประลัยนี้ถูกคัดเลือกมาจากหลายเหล่า และเขาผู้นั้นมีความชำนาญในเรื่องการประกอบทุ่นระเบิดและวิธีการก่อวินาศกรรมได้อย่างดีเยี่ยม เป้าหมายครั้งนี้คือทำลายเรือสินค้าสัญชาติฝรั่งเศสที่กำลังแล่นเข้ามาเทียบท่าฮาวาน่า ภายในเรือดังกล่าวบรรทุกอาวุธสงครามมาจากประเทศเบลเยี่ยมและเยอรมันเพื่อส่งมอบให้ยังคิวบา อาวุธสงครามเหล่านั้นรวมน้ำหนักมากถึง 76 ตัน มือสังหารต้องทำลายสินค้า และรวมถึงตัดทำลายกำลังคนที่เข้าไปในเรือเพื่อโยกย้ายคลังอาวุธเหล่านั้นด้วย

ช่วงบ่ายของวันที่ 4 เดือนมีนาคม ปี 1960 เสากระโดงเรือลำใหญ่ของเรือ La Coubre สัญชาติฝรั่งเศสก็ค่อยๆโผล่มาจากขอบฟ้าไกล เสียงหวูดสัญญาณดังสนั่นแผ่นน้ำเหมือนมันร้องดีใจที่ได้เห็นฝั่งดินที่หมาย เมื่อมันแล่นเข้ามาเรื่อยๆ จึงเข้าเทียบฝั่งได้เมื่อช่วงบ่ายแก่ๆ เจ้าหน้าที่คิวบาหลายสิบนายเดินขึ้นเรือเพื่อตรวจนับสินค้า และกลุ่มคนงานจึงเริ่มขนถ่ายอาวุธอย่างขมักเขม้นแข็งขัน ในระหว่างนั้น วัตถุบางอย่างที่อยู่นอกเหนือรายการสินค้าก็เริ่มทำงานอย่างเที่ยงตรง เมื่อเข็มนาฬิกาเดินวนมาถึงเลข 15:10 บึ้มมมม!!!! เสียงระเบิดแน่นๆดังสนั่นท่าเรือฮาวานา ลูกไฟขนาดใหญ่ผลักเอากราบเรือและคนงานคิวบาชุดแรกลอยกระจายขึ้นไปในอากาศทันที ทหารคิวบาและคนงานชุดสองที่ยังอยู่ในท่าเรือต่างตกใจล้มคะมำ บางนายนอนหมอบสลบไปเพราะแรงอัดของระเบิด ในขณะเดียวกันที่ทหารคิวบาที่เหลืออยู่เริ่มได้สติจึงรีบเข้าไปค้นหาผู้รอดชีวิต แต่ทว่ามันเป็นกับดัก ! บึ้มมมมม !!!! ระเบิดลูกที่สองมีประสิทธิภาพการทำลายแรงกว่าลูกแรก เป้าหมายคือชุดเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าไปกู้ภัยในท่าเรือ และพวกเขาถูกหามกลับออกมาจากจุดระเบิดด้วยสภาพไหม้เกรียม !

สายลมทะเลพัดหอบเอากลิ่นควันและเนื้อไหม้ลอยหายออกไปจากฮาวาน่า มันอาจเลือนหายไปในความทรงจำของมือสังหาร ที่เห็นงานฆ่าคนเป็นเพียงแฟ้มเอกสาร เมื่อจบงานก็เก็บเข้าลิ้นชักไปไม่ใส่ใจ แต่ความทรงจำของสหายผู้จากไปกว่าร้อยชีวิตยังคงติดอยู่ในความคำนึงของบุรุษเหล็กเคราดำผมยาวประบ่าผู้หนึ่ง ที่ทอดสายตาไกลออกไปในเวิ้งทะเล.....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่