เนื่องด้วยจขกทจะเรียนจบในมหาวิทยาลัยรั้วเหลืองแดงคณะบัญชีปีนี้จึงอยากบันทึกช่วงเวลาดีๆที่ได้ตกผลึกจากรั้วมหาวิทยาลัยว่ามีเรื่องไหนที่เรารู้สึกดีมากๆที่ได้ทำและมีเรื่องไหนที่เราเสียดายมากที่ไม่ได้ทำ ซึ่งเป็นช่วงที่เราคิดว่าเหมาะสมที่สุดในการที่เราจะได้เรียนรู้ก่อนที่จะเข้าสู่ชีวิตการทำงาน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่นะครับ

(ขอแทนตัวเองว่า “พี่” นะครับ)
1. ภาษาอังกฤษ
ถ้าเรายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรือยังไม่มีจุดแข็งในด้านไหน พี่อยากให้น้องๆตั้งใจกับภาษาอังกฤษให้มากถึงมากที่สุด เพราะไม่ว่าน้องจะเกลียดมันแค่ไหน ในโลกการทำงานมันเป็นสิ่งที่น้องจะได้เจอแน่ๆ พี่พลาดโอกาสหลายๆอย่างในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น ทุน โครงการแลกเปลี่ยน หรือการทำจิตอาสาต่างประเทศ ที่ได้ไปแบบฟรีๆเลยโดยที่ไม่ต้องออกเงิน เพราะทักษะด้านภาษาของพี่ เคยมั้ยที่เราเจอบางคนที่ความสามารถด้านอื่นๆไม่ได้ต่างกับเรามาก แต่ภาษาดี การแสดงความเห็นหรือการพรีเซ็นต์ตัวเองของเค้าให้แก่คนอื่นๆมันจะดูดีมากๆ ซึ่งมันส่งผลกับความเป็นผู้นำด้วย หลายคนที่มองเห็นไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือรุ่นพี่ก็อยากจะหยิบยื่นโอกาสดีๆให้ถ้าภาษาของเราได้ ลองสังเกตดีๆคนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จที่เราเห็นๆอยู่ล้วนเคยไปต่างประเทศมาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง ไม่ต้องถึงขนาดพูดได้อย่าง Native ขอแค่สื่อสารได้ ฟังรู้เรื่อง เขียนได้ เท่านั้นพอครับ วิธีการที่ทำให้เก่งภาษาอังกฤษมีได้หลายแบบที่หลายๆคนได้แชร์ในพันทิปและที่อื่นๆเนาะ ไม่ขอกล่าวถึงละกัน
2. กิจกรรม
ประโยคคลาสิคที่ว่า “การเรียนทำให้คนมีงานทำ กิจกรรมสอนให้คนทำงานเป็น” พี่ยืนยันว่าจริงครับ อาจยกเว้นบางคณะที่การสอนของเค้าเน้นในการลงไปปฏิบัติเลย แต่คณะส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยล้วนแล้วจะสอนด้านความรู้มากกว่าการลงมือปฏิบัติจริงครับ พี่ไม่อยากให้เราโทษระบบการศึกษา เพราะมันต้องพัฒนากันอีกเยอะ ซึ่งส่วนที่จะทำให้เราทำงานเป็นได้ก็มาจากกิจกรรมนี่ละครับ กิจกรรมก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นชมรม กลุ่มอิสระ องค์การนักศึกษา หรืองานข้างนอกที่เราก็สามารถหาได้ตาม internet นี่ละ ที่พี่คิดว่าอย่างน้อยเราควรมีส่วนร่วมและมี “สังกัด” เป็นของตัวเองอย่างน้อย 1 สังกัด เริ่มแรกเราอาจจะเป็นผู้เข้าร่วมดูก่อน ไปดูว่างานเหมาะกับเรามั้ย เราอยากจะทำหรือเปล่า เราได้อะไรจากมัน และถ้าเป็นไปได้ในชีวิตนักศึกษาอยากให้ลองเป็นผู้นำสักครั้ง อาจจะเริ่มจากการเป็นแกนของกลุ่ม หัวหน้าโปรเจ็คในชมรม หรือประธานชมรม เพราะเราจะได้ประสบการณ์หลายอย่างที่การเรียนไม่มีวันสอนเราได้ การเป็นผู้นำนั้นจะทำให้เรามองตัวเองได้ชัดขึ้น ทั้งได้จากตัวเราเองและคนอื่นๆ (ในชีวิตมหาวิทยาลัย กิจกรรมที่พี่ชอบมากที่สุดคือ กิจกรรมที่ชื่อ “360องศา” ครับ มันคือการให้เพื่อนๆที่ทำโปรเจคด้วยกันจบแล้ว มาให้ Feedback กันหลังงาน พี่ได้เห็นตัวเองชัดขึ้นในมุมมองที่เราไม่เคยเห็น รู้ว่าจุดแข็ง จุดอ่อนเราคืออะไรก็จากกิจกรรมนี่ละ) ทักษะการบริหารคน รู้ว่าคนแบบนี้ๆควรมีวิธีการบริหารอย่างไร ควรเข้าหาอย่างไร และควรทำงานด้วยอย่างไร แรกเริ่มเราอาจจะยังเห็นภาพไม่ชัด แต่พอทำงานไปเราจะรู้เองครับ ว่าคนแต่ละคนมีวิธีการทำงานไม่เหมือนกันและถ้าเราอยากจะเติบโตเป็นผู้นำที่ดีได้นั้นเราควรเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้มากๆ เคยมั้ยครับที่เราเห็นผู้นำบางคนที่ไม่ได้มีทักษะเด่นอะไร แต่สามารถบริหารคนได้ เพราะเรื่องทักษะเป็นเรื่องที่เรียนรู้กันได้ด้วยตัวเองและตามกันทันครับ แต่เรื่องการบริหารคน อ่านหนังสือให้ตายยังไงก็ไม่ได้ครับ ต้องปฏิบัติเท่านั้น นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้ การทำกิจกรรมก็จะทำให้เราได้ connection ได้พบผู้คนดีๆที่ในอนาคตเราอาจได้มีโอกาสร่วมทำงานกัน ส่วนตัวพี่เองก็เปลี่ยนไปมากครับจากการที่ได้ทำกิจกรรม (เปลี่ยนไปในทางที่ดีนะ 555) พี่ได้เจอคนเก่งๆมากมายและได้แรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเองและคนรอบข้าง มีไอเดียด้านธุรกิจ ทั้งๆที่ไม่คิดว่ามันจะมี เพราะตัวพี่ยอมรับเลยว่าความ creative มีน้อย และมีสิ่งที่เรายึดถือเป็นคุณค่ากับชีวิตที่ทำให้เราอยากจะตื่นขึ้นมาทุกวัน นอกจากนี้ก็มีเรื่องสนุกให้ได้โม้ เอ้ย ได้แชร์กับคนอื่นๆด้วยครับ
3. เรียนในสิ่งที่อยากเรียนหรือเรียนในสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเรา
ลองเข้าไปดูในวิชาเสรีทั้งหมดที่เปิดให้ทุกคณะเรียนได้ แล้วลองหาวิชาที่น่าสนใจเรียนดูครับ พี่รู้สึกเสียดายที่วิชาบางตัวน่าเรียนมากๆแต่ไม่ได้ไปลงเรียน ซึ่งอาจารย์ในมหาลัยต้องยอมรับนะครับว่าแต่ละคนล้วนเทพๆในเรื่องที่ตัวเองสอน แล้วถ้าไปสอนข้างนอกล้วนค่าตัวหรือค่าคอร์สสูงๆทั้งนั้น มันจึงเป็นโอกาสที่ดีที่น้องๆจะได้เรียนรู้กับอาจารย์เหล่านี้ในราคาย่อมเยา แต่พี่ก็ไม่ค่อยเป็นเด็กตั้งใจเรียนมาก แนะนำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้มากเนาะ ลองดูๆ 5555
4. ควรมีอาจารย์ที่สนิทอย่างน้อย 1 คน
พี่ว่าชีวิตในมหาลัยมันไม่ได้ง่ายครับ มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ตัวเราตอนนี้มักจะเต็มไปด้วยคำถาม ความสับสน และความเคว้งคว้าง ดังนั้นพี่คิดว่าเราควรมีใครสักคนที่เข้าใจชีวิตมหาวิทยาลัยของเรา ณ ประสบการณ์ที่มากกว่า ซึ่งพี่แนะนำให้เป็น “อาจารย์” ครับ (อย่างเพื่อนหรือรุ่นพี่ก็จะเป็นคนวัยเดียวกันการมองโลกจะคล้ายกัน ส่วนพ่อแม่ก็จะเข้าใจชีวิตมหาลัยน้อยกว่า) อาจารย์ที่เราสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง อาจารย์ที่เราสามารถร้องไห้ต่อหน้าได้ อาจารย์ที่รับฟังและสามารถให้คำแนะนำได้โดยที่ไม่ตัดสินเรา เราควรมีอาจารย์แบบนี้สักคนนะ พี่แนะนำให้เป็นอาจารย์ที่เราชอบเรียนด้วยนั่นละครับ ถ้าเป็นคณะเดียวกันได้ก็ยิ่งดี
5. กล้าล้มเหลว
กล้าที่ออกจาก comfort zone ทำอะไรที่เราไม่เคยทำ ชีวิตมหาลัยเป็นชีวิตที่เหมาะที่สุดในความล้มเหลวแล้วครับ เพราะถ้าเรามาสู่โลกการทำงาน เราจะมีภาระต่างๆที่ทำให้เราไม่กล้าเสี่ยง เช่น ครอบครัว เงินเดือน สังคม ดังนั้นอยากทำอะไรทำครับ ล้มเหลวให้เยอะ และเรียนรู้จากมันให้มากๆ ถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จอย่างน้อยเราก็รู้ครับว่าทำไมมันถึงไม่ประสบความสำเร็จ เราจะได้ไม่ล้มซ้ำอีกตอนทำงาน
6. ควรมีระบบการหาเงินเป็นของตัวเอง + ความรู้ด้านภาษี
ต่อเนื่องจากข้อ 5 พี่คิดว่าเราควรรู้แล้วว่าเราจะหารายได้ได้ยังไง นอกเหนือจากงานประจำ เพราะต้องบอกตรงๆครับว่างานประจำ ณ ปัจจุบันมันไม่ได้มั่นคงเหมือนที่เราคิดแล้วไม่ว่าจะงานอะไร ไหนจะเจ้านายที่เราเลือกไม่ได้ ไหนจะจากการที่เราไม่ชอบและอยากจะออก(ซึ่งมันจะเป็นปัญหามากๆที่จะทำให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ เพราะถ้าออก กูจะเอาอะไร-!! 5555) รายได้นั้นอาจจะมาจากทักษะของเรา เช่น การเขียน การออกแบบ การแปล การลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ เช่น เงินฝากประจำ อสังหา หุ้น หรือถ้าที่สุดเลยก็มีธุรกิจเป็นของตัวเองครับ ลองสร้าง ณ ตอนที่เรายังเป็นนักศึกษาอยู่ เพราะตอนนี้สภาพแวดล้อมต่างๆเหมาะมากที่จะทำครับ เรามีทั้งอาจารย์และแหล่งข้อมูลต่างๆที่พร้อมสนับสนุนเรา ลองดูครับ!
นอกจากนี้ความรู้ด้านภาษีก็สำคัญครับและเราควรศึกษาเพื่อรักษาสิทธิและหน้าที่ของเรา ยื่นภาษีทำยังไง ค่าลดหย่อนมีอะไรบ้าง มันจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย/ปีเราได้เยอะครับ
7. ความรักและความสัมพันธ์
เย้ เรื่องที่อยากจะเม้ามากที่สุดก็มาสักที!! สำหรับพี่ ถ้าเรารักใครชอบใคร ลุยครับ ไม่ต้องสนใจว่าสังคมจะคิดยังไง (เคยได้ยินมั้ยครับที่ว่า คนเรามัวแต่สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา แต่หารู้ไม่ว่าคนอื่นๆนั้นก็มัวแต่สนใจว่าคนอื่นๆจะคิดยังไงกับเราเหมือนกัน ดังนั้นส่วนใหญ่มันก็มีแต่คนสนใจแต่เรื่องของตัวเองจนไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่นเหมือนที่เราคิดว่าเค้าสนใจทั้งนั้นละครับ 5555 งงไปดิ! ) อย่าให้บรรทัดฐานของสังคมมาตัดสินใจเราจนเราขาดความเป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าเราคิดอยากจะทำเรื่องที่เกินเลยกว่านั้น เราก็ต้องยอมรับกับผลที่ตามมานะครับ ถ้าเราชอบใคร ลุยครับ จีบมาให้ได้ ถ้าจะนกก็ต้องนกให้สุด ร้องไห้ให้มันเจ็บมากๆแล้วเริ่มวันใหม่ ถ้าจะเจ้าชู้คุยหลายคนก็จัดไปครับ สับรางให้ดี แล้วดูสิว่าจริงๆแล้วเรามีความสุขกับการทำเรื่องพวกนี้มั้ย ถ้าจะอยากเป็นชู้ คบซ้อน ก็ลุยครับ ความสัมพันธ์ของคนมีหลายรูปแบบ อย่าให้สังคมมาตัดสินว่ามันควรเป็นแบบนั้นแบบนี้ (แต่เราต้องยอมรับกับผลที่ตามมานะ อันนี้ย้ำ!) และค้นหาตัวเองให้เจอครับว่าชอบความสัมพันธ์แบบไหน ตอนมาทำงานจะได้รู้ตัวเองเลย เพราะถ้ามาเรียนรู้ ณ ตอนทำงานพี่ว่าไม่เหมาะแล้วครับ มีเรื่องภาพลักษณ์ องค์กรมาเกี่ยวอีก เดี๋ยวปวดหัวจนหัวจะไม่ได้ทำงานไปสักก่อน ลองดูครับ
จบแล้วครับเรื่องที่อยากจะแชร์ สรุป ชีวิตมหาลัยถ้าให้จำกัดความด้วยคำเดียวสำหรับพี่คือ “การเรียนรู้” ครับ เรียนให้สุด ล้มเหลวให้มาก และเตรียมพร้อมสู่ชีวิตจริงในการทำงานครับ ส่วนใครมีเรื่องอยากจะแชร์แนวนี้บอกกันได้นะครับ อยากฟังจากทุกๆคนมากเลยยยย
เสียดาย.. ที่ไม่ได้ทำก่อนเรียนจบ (บทเรียนจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง)
1. ภาษาอังกฤษ
ถ้าเรายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรือยังไม่มีจุดแข็งในด้านไหน พี่อยากให้น้องๆตั้งใจกับภาษาอังกฤษให้มากถึงมากที่สุด เพราะไม่ว่าน้องจะเกลียดมันแค่ไหน ในโลกการทำงานมันเป็นสิ่งที่น้องจะได้เจอแน่ๆ พี่พลาดโอกาสหลายๆอย่างในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น ทุน โครงการแลกเปลี่ยน หรือการทำจิตอาสาต่างประเทศ ที่ได้ไปแบบฟรีๆเลยโดยที่ไม่ต้องออกเงิน เพราะทักษะด้านภาษาของพี่ เคยมั้ยที่เราเจอบางคนที่ความสามารถด้านอื่นๆไม่ได้ต่างกับเรามาก แต่ภาษาดี การแสดงความเห็นหรือการพรีเซ็นต์ตัวเองของเค้าให้แก่คนอื่นๆมันจะดูดีมากๆ ซึ่งมันส่งผลกับความเป็นผู้นำด้วย หลายคนที่มองเห็นไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือรุ่นพี่ก็อยากจะหยิบยื่นโอกาสดีๆให้ถ้าภาษาของเราได้ ลองสังเกตดีๆคนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จที่เราเห็นๆอยู่ล้วนเคยไปต่างประเทศมาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง ไม่ต้องถึงขนาดพูดได้อย่าง Native ขอแค่สื่อสารได้ ฟังรู้เรื่อง เขียนได้ เท่านั้นพอครับ วิธีการที่ทำให้เก่งภาษาอังกฤษมีได้หลายแบบที่หลายๆคนได้แชร์ในพันทิปและที่อื่นๆเนาะ ไม่ขอกล่าวถึงละกัน
2. กิจกรรม
ประโยคคลาสิคที่ว่า “การเรียนทำให้คนมีงานทำ กิจกรรมสอนให้คนทำงานเป็น” พี่ยืนยันว่าจริงครับ อาจยกเว้นบางคณะที่การสอนของเค้าเน้นในการลงไปปฏิบัติเลย แต่คณะส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยล้วนแล้วจะสอนด้านความรู้มากกว่าการลงมือปฏิบัติจริงครับ พี่ไม่อยากให้เราโทษระบบการศึกษา เพราะมันต้องพัฒนากันอีกเยอะ ซึ่งส่วนที่จะทำให้เราทำงานเป็นได้ก็มาจากกิจกรรมนี่ละครับ กิจกรรมก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นชมรม กลุ่มอิสระ องค์การนักศึกษา หรืองานข้างนอกที่เราก็สามารถหาได้ตาม internet นี่ละ ที่พี่คิดว่าอย่างน้อยเราควรมีส่วนร่วมและมี “สังกัด” เป็นของตัวเองอย่างน้อย 1 สังกัด เริ่มแรกเราอาจจะเป็นผู้เข้าร่วมดูก่อน ไปดูว่างานเหมาะกับเรามั้ย เราอยากจะทำหรือเปล่า เราได้อะไรจากมัน และถ้าเป็นไปได้ในชีวิตนักศึกษาอยากให้ลองเป็นผู้นำสักครั้ง อาจจะเริ่มจากการเป็นแกนของกลุ่ม หัวหน้าโปรเจ็คในชมรม หรือประธานชมรม เพราะเราจะได้ประสบการณ์หลายอย่างที่การเรียนไม่มีวันสอนเราได้ การเป็นผู้นำนั้นจะทำให้เรามองตัวเองได้ชัดขึ้น ทั้งได้จากตัวเราเองและคนอื่นๆ (ในชีวิตมหาวิทยาลัย กิจกรรมที่พี่ชอบมากที่สุดคือ กิจกรรมที่ชื่อ “360องศา” ครับ มันคือการให้เพื่อนๆที่ทำโปรเจคด้วยกันจบแล้ว มาให้ Feedback กันหลังงาน พี่ได้เห็นตัวเองชัดขึ้นในมุมมองที่เราไม่เคยเห็น รู้ว่าจุดแข็ง จุดอ่อนเราคืออะไรก็จากกิจกรรมนี่ละ) ทักษะการบริหารคน รู้ว่าคนแบบนี้ๆควรมีวิธีการบริหารอย่างไร ควรเข้าหาอย่างไร และควรทำงานด้วยอย่างไร แรกเริ่มเราอาจจะยังเห็นภาพไม่ชัด แต่พอทำงานไปเราจะรู้เองครับ ว่าคนแต่ละคนมีวิธีการทำงานไม่เหมือนกันและถ้าเราอยากจะเติบโตเป็นผู้นำที่ดีได้นั้นเราควรเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้มากๆ เคยมั้ยครับที่เราเห็นผู้นำบางคนที่ไม่ได้มีทักษะเด่นอะไร แต่สามารถบริหารคนได้ เพราะเรื่องทักษะเป็นเรื่องที่เรียนรู้กันได้ด้วยตัวเองและตามกันทันครับ แต่เรื่องการบริหารคน อ่านหนังสือให้ตายยังไงก็ไม่ได้ครับ ต้องปฏิบัติเท่านั้น นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้ การทำกิจกรรมก็จะทำให้เราได้ connection ได้พบผู้คนดีๆที่ในอนาคตเราอาจได้มีโอกาสร่วมทำงานกัน ส่วนตัวพี่เองก็เปลี่ยนไปมากครับจากการที่ได้ทำกิจกรรม (เปลี่ยนไปในทางที่ดีนะ 555) พี่ได้เจอคนเก่งๆมากมายและได้แรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเองและคนรอบข้าง มีไอเดียด้านธุรกิจ ทั้งๆที่ไม่คิดว่ามันจะมี เพราะตัวพี่ยอมรับเลยว่าความ creative มีน้อย และมีสิ่งที่เรายึดถือเป็นคุณค่ากับชีวิตที่ทำให้เราอยากจะตื่นขึ้นมาทุกวัน นอกจากนี้ก็มีเรื่องสนุกให้ได้โม้ เอ้ย ได้แชร์กับคนอื่นๆด้วยครับ
3. เรียนในสิ่งที่อยากเรียนหรือเรียนในสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเรา
ลองเข้าไปดูในวิชาเสรีทั้งหมดที่เปิดให้ทุกคณะเรียนได้ แล้วลองหาวิชาที่น่าสนใจเรียนดูครับ พี่รู้สึกเสียดายที่วิชาบางตัวน่าเรียนมากๆแต่ไม่ได้ไปลงเรียน ซึ่งอาจารย์ในมหาลัยต้องยอมรับนะครับว่าแต่ละคนล้วนเทพๆในเรื่องที่ตัวเองสอน แล้วถ้าไปสอนข้างนอกล้วนค่าตัวหรือค่าคอร์สสูงๆทั้งนั้น มันจึงเป็นโอกาสที่ดีที่น้องๆจะได้เรียนรู้กับอาจารย์เหล่านี้ในราคาย่อมเยา แต่พี่ก็ไม่ค่อยเป็นเด็กตั้งใจเรียนมาก แนะนำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้มากเนาะ ลองดูๆ 5555
4. ควรมีอาจารย์ที่สนิทอย่างน้อย 1 คน
พี่ว่าชีวิตในมหาลัยมันไม่ได้ง่ายครับ มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ตัวเราตอนนี้มักจะเต็มไปด้วยคำถาม ความสับสน และความเคว้งคว้าง ดังนั้นพี่คิดว่าเราควรมีใครสักคนที่เข้าใจชีวิตมหาวิทยาลัยของเรา ณ ประสบการณ์ที่มากกว่า ซึ่งพี่แนะนำให้เป็น “อาจารย์” ครับ (อย่างเพื่อนหรือรุ่นพี่ก็จะเป็นคนวัยเดียวกันการมองโลกจะคล้ายกัน ส่วนพ่อแม่ก็จะเข้าใจชีวิตมหาลัยน้อยกว่า) อาจารย์ที่เราสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง อาจารย์ที่เราสามารถร้องไห้ต่อหน้าได้ อาจารย์ที่รับฟังและสามารถให้คำแนะนำได้โดยที่ไม่ตัดสินเรา เราควรมีอาจารย์แบบนี้สักคนนะ พี่แนะนำให้เป็นอาจารย์ที่เราชอบเรียนด้วยนั่นละครับ ถ้าเป็นคณะเดียวกันได้ก็ยิ่งดี
5. กล้าล้มเหลว
กล้าที่ออกจาก comfort zone ทำอะไรที่เราไม่เคยทำ ชีวิตมหาลัยเป็นชีวิตที่เหมาะที่สุดในความล้มเหลวแล้วครับ เพราะถ้าเรามาสู่โลกการทำงาน เราจะมีภาระต่างๆที่ทำให้เราไม่กล้าเสี่ยง เช่น ครอบครัว เงินเดือน สังคม ดังนั้นอยากทำอะไรทำครับ ล้มเหลวให้เยอะ และเรียนรู้จากมันให้มากๆ ถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จอย่างน้อยเราก็รู้ครับว่าทำไมมันถึงไม่ประสบความสำเร็จ เราจะได้ไม่ล้มซ้ำอีกตอนทำงาน
6. ควรมีระบบการหาเงินเป็นของตัวเอง + ความรู้ด้านภาษี
ต่อเนื่องจากข้อ 5 พี่คิดว่าเราควรรู้แล้วว่าเราจะหารายได้ได้ยังไง นอกเหนือจากงานประจำ เพราะต้องบอกตรงๆครับว่างานประจำ ณ ปัจจุบันมันไม่ได้มั่นคงเหมือนที่เราคิดแล้วไม่ว่าจะงานอะไร ไหนจะเจ้านายที่เราเลือกไม่ได้ ไหนจะจากการที่เราไม่ชอบและอยากจะออก(ซึ่งมันจะเป็นปัญหามากๆที่จะทำให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ เพราะถ้าออก กูจะเอาอะไร-!! 5555) รายได้นั้นอาจจะมาจากทักษะของเรา เช่น การเขียน การออกแบบ การแปล การลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ เช่น เงินฝากประจำ อสังหา หุ้น หรือถ้าที่สุดเลยก็มีธุรกิจเป็นของตัวเองครับ ลองสร้าง ณ ตอนที่เรายังเป็นนักศึกษาอยู่ เพราะตอนนี้สภาพแวดล้อมต่างๆเหมาะมากที่จะทำครับ เรามีทั้งอาจารย์และแหล่งข้อมูลต่างๆที่พร้อมสนับสนุนเรา ลองดูครับ!
นอกจากนี้ความรู้ด้านภาษีก็สำคัญครับและเราควรศึกษาเพื่อรักษาสิทธิและหน้าที่ของเรา ยื่นภาษีทำยังไง ค่าลดหย่อนมีอะไรบ้าง มันจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย/ปีเราได้เยอะครับ
7. ความรักและความสัมพันธ์
เย้ เรื่องที่อยากจะเม้ามากที่สุดก็มาสักที!! สำหรับพี่ ถ้าเรารักใครชอบใคร ลุยครับ ไม่ต้องสนใจว่าสังคมจะคิดยังไง (เคยได้ยินมั้ยครับที่ว่า คนเรามัวแต่สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา แต่หารู้ไม่ว่าคนอื่นๆนั้นก็มัวแต่สนใจว่าคนอื่นๆจะคิดยังไงกับเราเหมือนกัน ดังนั้นส่วนใหญ่มันก็มีแต่คนสนใจแต่เรื่องของตัวเองจนไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่นเหมือนที่เราคิดว่าเค้าสนใจทั้งนั้นละครับ 5555 งงไปดิ! ) อย่าให้บรรทัดฐานของสังคมมาตัดสินใจเราจนเราขาดความเป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าเราคิดอยากจะทำเรื่องที่เกินเลยกว่านั้น เราก็ต้องยอมรับกับผลที่ตามมานะครับ ถ้าเราชอบใคร ลุยครับ จีบมาให้ได้ ถ้าจะนกก็ต้องนกให้สุด ร้องไห้ให้มันเจ็บมากๆแล้วเริ่มวันใหม่ ถ้าจะเจ้าชู้คุยหลายคนก็จัดไปครับ สับรางให้ดี แล้วดูสิว่าจริงๆแล้วเรามีความสุขกับการทำเรื่องพวกนี้มั้ย ถ้าจะอยากเป็นชู้ คบซ้อน ก็ลุยครับ ความสัมพันธ์ของคนมีหลายรูปแบบ อย่าให้สังคมมาตัดสินว่ามันควรเป็นแบบนั้นแบบนี้ (แต่เราต้องยอมรับกับผลที่ตามมานะ อันนี้ย้ำ!) และค้นหาตัวเองให้เจอครับว่าชอบความสัมพันธ์แบบไหน ตอนมาทำงานจะได้รู้ตัวเองเลย เพราะถ้ามาเรียนรู้ ณ ตอนทำงานพี่ว่าไม่เหมาะแล้วครับ มีเรื่องภาพลักษณ์ องค์กรมาเกี่ยวอีก เดี๋ยวปวดหัวจนหัวจะไม่ได้ทำงานไปสักก่อน ลองดูครับ
จบแล้วครับเรื่องที่อยากจะแชร์ สรุป ชีวิตมหาลัยถ้าให้จำกัดความด้วยคำเดียวสำหรับพี่คือ “การเรียนรู้” ครับ เรียนให้สุด ล้มเหลวให้มาก และเตรียมพร้อมสู่ชีวิตจริงในการทำงานครับ ส่วนใครมีเรื่องอยากจะแชร์แนวนี้บอกกันได้นะครับ อยากฟังจากทุกๆคนมากเลยยยย