ลูกสาวไปเรียนมัธยมที่อเมริกา โรงเรียนฝากให้ไปเป็นอาสาสมัครโครงการของสถาบันเอเชียศึกษาของมหาวิทยาลัยรัฐในเมืองที่อยู่ เมื่อวานนี้ไปทำแบบเต็มตัววันแรก หลังเลือกเรียน เลยเห่อมากครับ
หมายเหตุ พ่อเห่ออยากเล่า แต่เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้องขอดัดแปลงรูปด้วยเอไอ

เลิกเรียน แล้วลูกสาวรีบไปมหาลัยตามที่นัดไว้เมื่อวันเสาร์ ซึ่งศาสตราจารย์ที่ดูแลสถาบัน ให้เข้าไปทำงานอาสาสัปดาห์ละ 3 ครั้ง วันธรรมดาไปตอนเย็น 2 วัน วันเสาร์ไปเต็มวัน หากมีกิจกรรมใดๆก็ไปทำเพิ่ม ซึ่ง การไปทำโครงการนี้เ)็นการไปทำแบบไม่ได้รับเงินค่าจ้าง เพราะเช็คแล้วว่าวีซ่าของเค้า ในตอนนี้ ทำงานไม่ได้ (เกรด 11 F.1 หากใครรู้ว่าทำยังไงให้ทำได้ก็รบกวนด้วยนะครับ เพราะ ทางสถาบันมีค่าจ้างให้หากมีกิจกรรมพิเศษที่มีงบประมาณ)
งานคือ เบ๊ โดยวันแรก ให้นั่งจัดไฟล์ในคอมฯ นั่งเคลียร์อีเมลล์ของสถาบันและแยกโฟลเดอร์เก็บ พร้อทั้งศึกษาตารางกิจกรรมของสถาบันที่จะมีในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า โดยในสำนักงาน มีอาจารย์ นักวิจัย และ เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยทำงานอยู่จำนวนหนึ่ง รวมกับ นักศึกษาที่มาทำงานพิเศษ และเป็นผู้ช่วยโครงการวิจัยต่างๆ ซึ่งลูกสาวเล่าว่า ที่ดูเป็นมิตรมากๆก็คือ เจ้าหน้าที่ธุรการ ที่มาชวนไกินข้าวเย็นก่อนกลับบ้าน และ แนะนำ ตอบคำถามต่างๆ
งานที่จะต้องทำ ก็พวกเด็กนั่งโต๊ะลงทะเบียนของงานสัมมนา แอดมินเพจของสถาบันคอยช่วยจัดตารางการโพสต์ อาจจะเป็นลูกมือ เป็นแรงงานจัดห้อง ประชุมจัดสถานที่เวลามีกิจกรรมต่างๆ หรือ ใครบอกให้ทำอะไรแล้วทำได้ก็ทำ
โดยที่สาถบัน มีกิจกรรมทุกสัปดาห์ บางสัปดาห์มีมากกว่าหนึ่งกิจกรรม ทั้งตัวสถาบันโฮสต์เอง และร่วกับวิทยาลัยอื่นๆเช่น เดือนหน้าจะมีออร์เคสตร้า ร่วมกับวิทยาลัยดนตรีของหมาวิทยาลัย เป็นการแสดงผลงานประพันธ์ของนักศึกษาปริญญาเอกด้านดนตรีจากจีน ร่วมกับเสวนาเรื่อง "สิทธิสตรีจีนที่สะท้อนในวรรณจีนร่วมสมัย" รวมถึงเนื้อหาซีเรียสอย่างนักวิชาการและหอการค้าของเมืองจัดฟอรั่มคุยเรื่องทิศทางการค้าของเอเชียตะวันออกในปี 2026 ในอุตสาหกรรมเด่นของเมืองนี้
กับพวกกิจกรรมเล็กๆ เช่น ละครเวที ที่เขียนบทโดยนักศึกษาปริญญาโท ที่สะท้อนความคิดของคนอาหรับในอเมริกาออกมาเป็นสังคมของป่าใหญ่ ผ่านสัตว์แต่ละชนิดที่อยู่ร่วมกัน กับการแสดงงานศิลปะของนักศึกษาวิทยาลัยทัศนศิลป์ ที่หัวข้อมีเกี่ยวข้องกับความเป็นเอเชียที่ทำออกมาในปีการศึกษาที่ผ่านมา(2024) โดยทุกวันช่วงเย็น จะมีเสวนาวิชาการกับอาจารย์ และนักศึกษา ป.โท ป.เอก ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับงานแต่ละชิ้นของศิลปิน ซึ่งต้องไปจัดกิจกรรมที่คณะศิลปะ
นอกจากลูกสาวได้เปิดโลก ตัวพ่อนี่แหละ ก็ได้เปิดโลกด้วย เพราะรู้สึกว่า โอกาสของเด็กต่างประเทศช่างน่าอิจฉา คิดว่าในไทยก้คงมีสถาบันและโครงการพวกนี้ เพียงแต่ คงไม่ง่ายที่จะมีเด็กมัธยมเข้าไปสัมผัส สมัยผมเรียนมหาลัย(สามสิบปีก่อน) เวลามีกิจกรรมพิเศษของคณะอักษรศาสตร์ ฉายหนังพร้อมเสวนาวิคเราะห์วรรณกรรม สะท้อนสังคมและการเมืองตะวันตก ผมไปนั่งดู มีคนในห้องประชุมไม่ถึง 30 คน แล้วก็จัดน้อยยย เหลือเกิน นานๆทีจะมีซะที
แต่ของมหาลัยที่นั่น ถึงกับต้องมีบบุคลากรชุดเล็กๆชุดนึง คอยทำกิจกรรมของสถาบัน ทั้งบนโต๊ะ ประสานงาน หน้าบ้าน หลังบ้าน ตัวเนื้องานจริงๆของลูกสาวน่าจะเป็นงานธุรการ งานช่วย จัดกิจกรรมนั่นแหละ คงไม่มีปัญญาไปยุ่งกับเนื้อหาวิชาการหรอก
แต่ แค่นี้ ก็นับว่ามีโอกาสมากๆแล้วครับ น่าจะจุดประกายต่อยอดชีวิตได้อีกหลายอย่าง อย่างน้อยที่สุด ผมสบายใจที่ไปอยู่กับบรรยากาศวิชาการ มหาลัย มากกว่าที่จะไปใกล้กับสิ่งที่อาจยั่วยุไปในทางที่ผิดได้
ลูกสาวไปทำแค่ 2 ชั่วโมงแล้วนั่งรถเมล์กลับหอ ซึ่งเค้าจะพลาดเวลากินข้าวของเด็กหอ และ ไม่ได้มีเวลาเล่นกับเพื่อน แต่ ก็เ)็นปกติของเด็กเรียนมัธยมที่นั่นที่อยุ่หอนี้เพราะแต่ละคนก็จะแยกย้ายไปทำกิจกรรมของตัวเอง กลับมาเจอกันห้องนั่งเล่น คุยกัน เข้าห้องเจอรูมเมทคุยกัน อยุ๋ด้วยกันร่วมกันแต่ไม่ต้องยกฝูงไปทำอะไรๆแบบเด็กไทยที่มักจะติดเพื่อน เกรงใจเพื่อน
เห่อลูกวันนี้ : เมื่อลูกไปเริ่มงานวันแรก
หมายเหตุ พ่อเห่ออยากเล่า แต่เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้องขอดัดแปลงรูปด้วยเอไอ
เลิกเรียน แล้วลูกสาวรีบไปมหาลัยตามที่นัดไว้เมื่อวันเสาร์ ซึ่งศาสตราจารย์ที่ดูแลสถาบัน ให้เข้าไปทำงานอาสาสัปดาห์ละ 3 ครั้ง วันธรรมดาไปตอนเย็น 2 วัน วันเสาร์ไปเต็มวัน หากมีกิจกรรมใดๆก็ไปทำเพิ่ม ซึ่ง การไปทำโครงการนี้เ)็นการไปทำแบบไม่ได้รับเงินค่าจ้าง เพราะเช็คแล้วว่าวีซ่าของเค้า ในตอนนี้ ทำงานไม่ได้ (เกรด 11 F.1 หากใครรู้ว่าทำยังไงให้ทำได้ก็รบกวนด้วยนะครับ เพราะ ทางสถาบันมีค่าจ้างให้หากมีกิจกรรมพิเศษที่มีงบประมาณ)
งานคือ เบ๊ โดยวันแรก ให้นั่งจัดไฟล์ในคอมฯ นั่งเคลียร์อีเมลล์ของสถาบันและแยกโฟลเดอร์เก็บ พร้อทั้งศึกษาตารางกิจกรรมของสถาบันที่จะมีในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า โดยในสำนักงาน มีอาจารย์ นักวิจัย และ เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยทำงานอยู่จำนวนหนึ่ง รวมกับ นักศึกษาที่มาทำงานพิเศษ และเป็นผู้ช่วยโครงการวิจัยต่างๆ ซึ่งลูกสาวเล่าว่า ที่ดูเป็นมิตรมากๆก็คือ เจ้าหน้าที่ธุรการ ที่มาชวนไกินข้าวเย็นก่อนกลับบ้าน และ แนะนำ ตอบคำถามต่างๆ
งานที่จะต้องทำ ก็พวกเด็กนั่งโต๊ะลงทะเบียนของงานสัมมนา แอดมินเพจของสถาบันคอยช่วยจัดตารางการโพสต์ อาจจะเป็นลูกมือ เป็นแรงงานจัดห้อง ประชุมจัดสถานที่เวลามีกิจกรรมต่างๆ หรือ ใครบอกให้ทำอะไรแล้วทำได้ก็ทำ
โดยที่สาถบัน มีกิจกรรมทุกสัปดาห์ บางสัปดาห์มีมากกว่าหนึ่งกิจกรรม ทั้งตัวสถาบันโฮสต์เอง และร่วกับวิทยาลัยอื่นๆเช่น เดือนหน้าจะมีออร์เคสตร้า ร่วมกับวิทยาลัยดนตรีของหมาวิทยาลัย เป็นการแสดงผลงานประพันธ์ของนักศึกษาปริญญาเอกด้านดนตรีจากจีน ร่วมกับเสวนาเรื่อง "สิทธิสตรีจีนที่สะท้อนในวรรณจีนร่วมสมัย" รวมถึงเนื้อหาซีเรียสอย่างนักวิชาการและหอการค้าของเมืองจัดฟอรั่มคุยเรื่องทิศทางการค้าของเอเชียตะวันออกในปี 2026 ในอุตสาหกรรมเด่นของเมืองนี้
กับพวกกิจกรรมเล็กๆ เช่น ละครเวที ที่เขียนบทโดยนักศึกษาปริญญาโท ที่สะท้อนความคิดของคนอาหรับในอเมริกาออกมาเป็นสังคมของป่าใหญ่ ผ่านสัตว์แต่ละชนิดที่อยู่ร่วมกัน กับการแสดงงานศิลปะของนักศึกษาวิทยาลัยทัศนศิลป์ ที่หัวข้อมีเกี่ยวข้องกับความเป็นเอเชียที่ทำออกมาในปีการศึกษาที่ผ่านมา(2024) โดยทุกวันช่วงเย็น จะมีเสวนาวิชาการกับอาจารย์ และนักศึกษา ป.โท ป.เอก ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับงานแต่ละชิ้นของศิลปิน ซึ่งต้องไปจัดกิจกรรมที่คณะศิลปะ
นอกจากลูกสาวได้เปิดโลก ตัวพ่อนี่แหละ ก็ได้เปิดโลกด้วย เพราะรู้สึกว่า โอกาสของเด็กต่างประเทศช่างน่าอิจฉา คิดว่าในไทยก้คงมีสถาบันและโครงการพวกนี้ เพียงแต่ คงไม่ง่ายที่จะมีเด็กมัธยมเข้าไปสัมผัส สมัยผมเรียนมหาลัย(สามสิบปีก่อน) เวลามีกิจกรรมพิเศษของคณะอักษรศาสตร์ ฉายหนังพร้อมเสวนาวิคเราะห์วรรณกรรม สะท้อนสังคมและการเมืองตะวันตก ผมไปนั่งดู มีคนในห้องประชุมไม่ถึง 30 คน แล้วก็จัดน้อยยย เหลือเกิน นานๆทีจะมีซะที
แต่ของมหาลัยที่นั่น ถึงกับต้องมีบบุคลากรชุดเล็กๆชุดนึง คอยทำกิจกรรมของสถาบัน ทั้งบนโต๊ะ ประสานงาน หน้าบ้าน หลังบ้าน ตัวเนื้องานจริงๆของลูกสาวน่าจะเป็นงานธุรการ งานช่วย จัดกิจกรรมนั่นแหละ คงไม่มีปัญญาไปยุ่งกับเนื้อหาวิชาการหรอก
แต่ แค่นี้ ก็นับว่ามีโอกาสมากๆแล้วครับ น่าจะจุดประกายต่อยอดชีวิตได้อีกหลายอย่าง อย่างน้อยที่สุด ผมสบายใจที่ไปอยู่กับบรรยากาศวิชาการ มหาลัย มากกว่าที่จะไปใกล้กับสิ่งที่อาจยั่วยุไปในทางที่ผิดได้
ลูกสาวไปทำแค่ 2 ชั่วโมงแล้วนั่งรถเมล์กลับหอ ซึ่งเค้าจะพลาดเวลากินข้าวของเด็กหอ และ ไม่ได้มีเวลาเล่นกับเพื่อน แต่ ก็เ)็นปกติของเด็กเรียนมัธยมที่นั่นที่อยุ่หอนี้เพราะแต่ละคนก็จะแยกย้ายไปทำกิจกรรมของตัวเอง กลับมาเจอกันห้องนั่งเล่น คุยกัน เข้าห้องเจอรูมเมทคุยกัน อยุ๋ด้วยกันร่วมกันแต่ไม่ต้องยกฝูงไปทำอะไรๆแบบเด็กไทยที่มักจะติดเพื่อน เกรงใจเพื่อน