ประเทศไทย ปีคริสตศักราช 2016 มีกรุงเทพเป็นเมืองหลวงที่เจริญสุดโต่ง ซึ่งหัวเมืองแต่ละภูมิภาคเจริญบ้างแต่มีความเจริญกระจุกตัว
ประเทศไทยมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งดูเหมือนว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมทั้งตำแหน่งศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ ความแข็งแรงแรงของภาคเอกชนไทยจากตัวเลขการส่งออก
แต่ทว่า ประเทศไทยกลับอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า
"ติดหล่ม" แต่ไม่ได้ติดหล่มศักยภาพ และ ประเทศไทยติดหล่มทัศนคติมายาวนาน
ด้านเศรษฐกิจ: ประเทศไทยประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองมากว่า 10 ปี ทำให้การลงทุนขนาดใหญ่หยุดชะงักมายาวนาน โครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่เอื้อต่อการลงทุน นักลงทุนต่างชาติเริ่มย้ายฐานการผลิตเพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง เหตุการณ์ทางการเมือง และความไม่ยึดหยุ่น กฏระเบียบขั้นตอนทางกฏหมายที่แข็งตัว ไม่ยึดหยุ่นเหมือนสิงค์โปร์ ทำให้คนไทยเจ็บแล้วเจ็บอีก อยู่กับการโกงมาจนระแวง เหมือนคนอกหัก ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ทำให้ไม่ไว้ใจแฟน ฉันใดฉันนั้น
ประเทศไทยพึ่งพาเอกชนที่อึดและทน เหมือนเวลาเปลี่ยนน้ำปลาในอ่าง ส่วนใหญ่ช้อคน้ำตาย แต่มันจะมีปลาประเภทหนึ่งมันทนได้ ที่แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนบ่อยครั้ง ทำให้นโยบายต่างๆ ที่จะเอื้อให้เอกชนไทยแข่งขันในระยะยาวไม่มีออกมามากนัก การเจรจาระหว่างประเทศขาดตอน เนื่องจากการสลับพรรคการเมืองตลอดในระยะสั้นๆ และเปลี่ยนนโยบายอยู่เสมอ
แต่เอกชนไทยสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ ... พวกนี้ จึงถือเป็นโครงหลักทางเศรษฐกิจของประเทศส่วนหนึ่งที่ค่ำยันไว้ ทั้งจ่ายภาษี ทั้งส่งออก แต่ในระดับเศรษฐกิจระดับครัวเรือนนั้น ขาดเทคโนโลยี ขาดการบริหารจัดการ และขาดการบุกเบิกตลาด จึงทำให้เสื่อมถอยลงเมื่อโลกเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้เกิดช่องว่างกับเอกชนที่ปรับตัวได้ห่างขึ้นทุกวัน
ด้านสังคม: ประเทศไทยติดอยู่กับระบบสินบน ตั้งแต่การจ่ายค่าบำรุงการศึกษาเพื่อให้เข้าเรียนระดับอนุบาล ไปจนถึงส่วนแบ่งการประมูลงานที่เพิ่มมากขึ้นจนถึง50% ทำให้เงินส่วนที่จะนำมาพัฒนาประเทศเหลือเพียงครึ่งเดียว ทำให้คนไทยอยู่ในภาวะจำยอมกับคอรัปชั่น ภาวะการไม่มีวินัยในทุกระดับ การขับมอเตอร์ไซด์สวนเลน ฝ่าไฟแดง วัยรุ่นตีกัน ยาเสพติด ผับบาร์ปิดไม่ตรงเวลา เพราะจ่ายได้ และอื่นๆ
นอกจากนี้
ด้านการศึกษา ของประเทศไทยติดอันดับแทบจะสุดท้ายในภูมิภาค ระบบการเรียนที่ล้าสมัย ทั้งที่งบประมาณด้านการศึกษาสูงที่สุดในภูมิภาค แต่ผลลัพธ์ไม่ได้มาตรฐาน ปัญหาการท้องก่อนวัยที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ปัญหาศาสนาที่พระสงฆ์มีความขัดแย้ง และปัญหาด้านความขัดแย้งทางเชื้อชาติ
แต่กลับสวนทาง
ด้านเทคโนโลยี ประเทศไทยเปิดรับเทคโนโลยีต่างชาติ เรียนรู้ไว้ อ่านทุกข่าวสาร เสียอย่างเดียวไม่ได้ถูกสอนให้วิเคราะห์ แต่เรียนมาแบบท่องจำ เจออะไร อ่านอะไรเชื่อหมด กดไลค์ กดแชร์ โดยไม่อ่านเนื้อหา เชื่อแต่หัวข้อ ยุให้คนรัก ยุให้คนเกลียดด้วยปลายปากการาคาถูกบนแป้นคีย์บอร์ดแบบไร้ต้นทุน สร้างความเสียหายให้เด็กและเยาวชน
เมื่อการสื่อสารก้าวหน้า อินเตอร์เนตเข้าถึงทุกครัวเรือน แต่การวิเคราะห์ไปไม่ถึง เด็กเรียนรู้จากข้อมูลลวง ผู้ใหญ่ก็เป็นเหยื่อแบบไม่รู้ตัว เกิดโรคระบาดในเมืองไทย ชื่อ
อคติริซึ่ม มองโลกแง่ร้ายก่อน ทุกคนเลวหมด ใครเก่งกว่าจะล้มมันอย่างไร มันต้องโกงแน่ๆ
จุดนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือจุดเปลี่ยนประเทศไทย ที่หากยังติดหล่มอคติ มองโลกแง่ร้าย ไทยจะหันหัวไม่ขึ้น ไม่มีใครแซงไทย เค้าโตตามปกติ เหมือนเด็กเรียนหนังสือไปตามระดับ แต่ประเทศไทยเหมือนเด็กเกเร มีปัญหาที่บ้าน กดดัน น้อยเนื้อต่ำใจ เรียนบ้างโดดบ้าง การเจรจาทางการค้าในอดีตก็ไม่ต่อเนื่อง นโยบายระยะยาวก็ไม่มี เหมือนทำการบ้านไม่เสร็จซักอย่าง
คนไทย ถูกการเมืองหลอกให้อยู่ในสังคมมายามานาน นั่นคือกลไกแทรกแซงตลาด การเอื้อประโยชน์ทางการเมือง ทำให้ธุรกิจระดับรากหญ้าแข่งขันไม่ได้ เหมือนพ่อแม่รังแกฉัน พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้ แต่ไม่เอามาลงทุนในโครงสร้างระยะยาว ส่วนเอกชนไทยใหญ่ๆ หากเทียบเหมือนเด็กวัดที่มันเอาแต่เรียน เพราะรู้ว่าครอบครัวไม่ได้ช่วยมันอยู่แล้ว ล้มเอง ลุกเอง มายาวนาน เข้าใจโลก จนเด็กวัดเติบใหญ่ ครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ยังต้องมาพึ่งพาเด็กวัด แต่เด็กที่พ่อแม่ประคมประหงม กลับยืนบนขาตัวเองไม่ได้ เมื่อเติบโตขึ้น โลกยุคนี้องค์กรไทยใหญ่แค่ไหนก็อาจยืนพื้น แข่งกับต่างประเทศไม่ได้ หากเมืองไทยระแวงกัน เมื่อไม่เข้าใจ เลือกการต่อยตีแบบยุค 2499 แทนการพูดคุย แล้วจะไปร่วมมือกับใคร ในเมื่อในบ้านเลือกการขัดแย้ง ระแวงกันเอง
วันนี้เป็นจุดหัวเลี้ยว หัวต่อของประเทศไทย ดังคำทำนายใยุคต้นรัตนโกสินทร์ว่าไทยจะรุ่งเรืองในยุคนี้ แต่สัญญานมันก็มีมาบ้าง หากไทยแก้ได้เรื่องอคติ วันนี้ไทยได้เปรียบทุกด้าน คนไทยเก่ง มีความคิดสร้างสรรค์ มีรอยยิ้ม มีนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก มีหมอเก่งๆ ทำงานทั่วโลก
จะเลิกได้มั้ย การสร้างความเกลียดชัง ไปเอารูปชาวบ้านมาตัดต่อ ใส่ร้ายทางข้อความ หวังผลทางการเมือง ใช้สื่อโจมตีกัน อยากมีชื่อเสียงด้วยการเหยียบคนอื่น การเลือกที่จะกดคนอื่นลง มากกว่าพัฒนาตัวเองขึ้น เลิกแข่งขันในครอบครัว ทะเลาะกับพี่น้อง มองไปนอกบ้าน จะแข่งกับนอกบ้านอย่างไร ผู้ปกครองเริ่มวางแผนครอบครัว เงินออมครอบครัว ลงทุนให้ลูกๆ ในระยะยาว ซื้อบ้าน ซื้อช่องเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนลูกๆ ก็เลิกตีกัน ร่วมกัน สามัคคีกัน
หากไทยทำได้ ประเทศไทยจะแข็งแก่งมาก รักกันเถอะ อย่าให้เราติดหล่มนี้ต่อไป
ผมรักประเทศไทยจริงๆ ครับ และโกรธทุกครั้งที่มีคนว่าคนไทย แต่ผมเสียใจทุกครั้งที่สังคมอยากเปลี่ยนแปลง แต่กลับเพิ่มความเกลียดชัง ไม่มีใครเลว 100% ดี 100% แต่มันต้องพูดคุยกันดีๆ หาแนวทางอยู่ร่วมกัน ร่วมด้วยช่วยกัน วันนั้นประเทศไทยจะทวี มีชัย ชโย.
เขียนโดย กลูโคส
อคติริซึ่ม...ประเทศไทย
ประเทศไทยมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งดูเหมือนว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมทั้งตำแหน่งศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ ความแข็งแรงแรงของภาคเอกชนไทยจากตัวเลขการส่งออก
แต่ทว่า ประเทศไทยกลับอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า "ติดหล่ม" แต่ไม่ได้ติดหล่มศักยภาพ และ ประเทศไทยติดหล่มทัศนคติมายาวนาน
ด้านเศรษฐกิจ: ประเทศไทยประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองมากว่า 10 ปี ทำให้การลงทุนขนาดใหญ่หยุดชะงักมายาวนาน โครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่เอื้อต่อการลงทุน นักลงทุนต่างชาติเริ่มย้ายฐานการผลิตเพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง เหตุการณ์ทางการเมือง และความไม่ยึดหยุ่น กฏระเบียบขั้นตอนทางกฏหมายที่แข็งตัว ไม่ยึดหยุ่นเหมือนสิงค์โปร์ ทำให้คนไทยเจ็บแล้วเจ็บอีก อยู่กับการโกงมาจนระแวง เหมือนคนอกหัก ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ทำให้ไม่ไว้ใจแฟน ฉันใดฉันนั้น
ประเทศไทยพึ่งพาเอกชนที่อึดและทน เหมือนเวลาเปลี่ยนน้ำปลาในอ่าง ส่วนใหญ่ช้อคน้ำตาย แต่มันจะมีปลาประเภทหนึ่งมันทนได้ ที่แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนบ่อยครั้ง ทำให้นโยบายต่างๆ ที่จะเอื้อให้เอกชนไทยแข่งขันในระยะยาวไม่มีออกมามากนัก การเจรจาระหว่างประเทศขาดตอน เนื่องจากการสลับพรรคการเมืองตลอดในระยะสั้นๆ และเปลี่ยนนโยบายอยู่เสมอ
แต่เอกชนไทยสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ ... พวกนี้ จึงถือเป็นโครงหลักทางเศรษฐกิจของประเทศส่วนหนึ่งที่ค่ำยันไว้ ทั้งจ่ายภาษี ทั้งส่งออก แต่ในระดับเศรษฐกิจระดับครัวเรือนนั้น ขาดเทคโนโลยี ขาดการบริหารจัดการ และขาดการบุกเบิกตลาด จึงทำให้เสื่อมถอยลงเมื่อโลกเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้เกิดช่องว่างกับเอกชนที่ปรับตัวได้ห่างขึ้นทุกวัน
ด้านสังคม: ประเทศไทยติดอยู่กับระบบสินบน ตั้งแต่การจ่ายค่าบำรุงการศึกษาเพื่อให้เข้าเรียนระดับอนุบาล ไปจนถึงส่วนแบ่งการประมูลงานที่เพิ่มมากขึ้นจนถึง50% ทำให้เงินส่วนที่จะนำมาพัฒนาประเทศเหลือเพียงครึ่งเดียว ทำให้คนไทยอยู่ในภาวะจำยอมกับคอรัปชั่น ภาวะการไม่มีวินัยในทุกระดับ การขับมอเตอร์ไซด์สวนเลน ฝ่าไฟแดง วัยรุ่นตีกัน ยาเสพติด ผับบาร์ปิดไม่ตรงเวลา เพราะจ่ายได้ และอื่นๆ
นอกจากนี้ ด้านการศึกษา ของประเทศไทยติดอันดับแทบจะสุดท้ายในภูมิภาค ระบบการเรียนที่ล้าสมัย ทั้งที่งบประมาณด้านการศึกษาสูงที่สุดในภูมิภาค แต่ผลลัพธ์ไม่ได้มาตรฐาน ปัญหาการท้องก่อนวัยที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ปัญหาศาสนาที่พระสงฆ์มีความขัดแย้ง และปัญหาด้านความขัดแย้งทางเชื้อชาติ
แต่กลับสวนทางด้านเทคโนโลยี ประเทศไทยเปิดรับเทคโนโลยีต่างชาติ เรียนรู้ไว้ อ่านทุกข่าวสาร เสียอย่างเดียวไม่ได้ถูกสอนให้วิเคราะห์ แต่เรียนมาแบบท่องจำ เจออะไร อ่านอะไรเชื่อหมด กดไลค์ กดแชร์ โดยไม่อ่านเนื้อหา เชื่อแต่หัวข้อ ยุให้คนรัก ยุให้คนเกลียดด้วยปลายปากการาคาถูกบนแป้นคีย์บอร์ดแบบไร้ต้นทุน สร้างความเสียหายให้เด็กและเยาวชน
เมื่อการสื่อสารก้าวหน้า อินเตอร์เนตเข้าถึงทุกครัวเรือน แต่การวิเคราะห์ไปไม่ถึง เด็กเรียนรู้จากข้อมูลลวง ผู้ใหญ่ก็เป็นเหยื่อแบบไม่รู้ตัว เกิดโรคระบาดในเมืองไทย ชื่อ อคติริซึ่ม มองโลกแง่ร้ายก่อน ทุกคนเลวหมด ใครเก่งกว่าจะล้มมันอย่างไร มันต้องโกงแน่ๆ
จุดนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือจุดเปลี่ยนประเทศไทย ที่หากยังติดหล่มอคติ มองโลกแง่ร้าย ไทยจะหันหัวไม่ขึ้น ไม่มีใครแซงไทย เค้าโตตามปกติ เหมือนเด็กเรียนหนังสือไปตามระดับ แต่ประเทศไทยเหมือนเด็กเกเร มีปัญหาที่บ้าน กดดัน น้อยเนื้อต่ำใจ เรียนบ้างโดดบ้าง การเจรจาทางการค้าในอดีตก็ไม่ต่อเนื่อง นโยบายระยะยาวก็ไม่มี เหมือนทำการบ้านไม่เสร็จซักอย่าง
คนไทย ถูกการเมืองหลอกให้อยู่ในสังคมมายามานาน นั่นคือกลไกแทรกแซงตลาด การเอื้อประโยชน์ทางการเมือง ทำให้ธุรกิจระดับรากหญ้าแข่งขันไม่ได้ เหมือนพ่อแม่รังแกฉัน พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้ แต่ไม่เอามาลงทุนในโครงสร้างระยะยาว ส่วนเอกชนไทยใหญ่ๆ หากเทียบเหมือนเด็กวัดที่มันเอาแต่เรียน เพราะรู้ว่าครอบครัวไม่ได้ช่วยมันอยู่แล้ว ล้มเอง ลุกเอง มายาวนาน เข้าใจโลก จนเด็กวัดเติบใหญ่ ครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ยังต้องมาพึ่งพาเด็กวัด แต่เด็กที่พ่อแม่ประคมประหงม กลับยืนบนขาตัวเองไม่ได้ เมื่อเติบโตขึ้น โลกยุคนี้องค์กรไทยใหญ่แค่ไหนก็อาจยืนพื้น แข่งกับต่างประเทศไม่ได้ หากเมืองไทยระแวงกัน เมื่อไม่เข้าใจ เลือกการต่อยตีแบบยุค 2499 แทนการพูดคุย แล้วจะไปร่วมมือกับใคร ในเมื่อในบ้านเลือกการขัดแย้ง ระแวงกันเอง
วันนี้เป็นจุดหัวเลี้ยว หัวต่อของประเทศไทย ดังคำทำนายใยุคต้นรัตนโกสินทร์ว่าไทยจะรุ่งเรืองในยุคนี้ แต่สัญญานมันก็มีมาบ้าง หากไทยแก้ได้เรื่องอคติ วันนี้ไทยได้เปรียบทุกด้าน คนไทยเก่ง มีความคิดสร้างสรรค์ มีรอยยิ้ม มีนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก มีหมอเก่งๆ ทำงานทั่วโลก
จะเลิกได้มั้ย การสร้างความเกลียดชัง ไปเอารูปชาวบ้านมาตัดต่อ ใส่ร้ายทางข้อความ หวังผลทางการเมือง ใช้สื่อโจมตีกัน อยากมีชื่อเสียงด้วยการเหยียบคนอื่น การเลือกที่จะกดคนอื่นลง มากกว่าพัฒนาตัวเองขึ้น เลิกแข่งขันในครอบครัว ทะเลาะกับพี่น้อง มองไปนอกบ้าน จะแข่งกับนอกบ้านอย่างไร ผู้ปกครองเริ่มวางแผนครอบครัว เงินออมครอบครัว ลงทุนให้ลูกๆ ในระยะยาว ซื้อบ้าน ซื้อช่องเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนลูกๆ ก็เลิกตีกัน ร่วมกัน สามัคคีกัน
หากไทยทำได้ ประเทศไทยจะแข็งแก่งมาก รักกันเถอะ อย่าให้เราติดหล่มนี้ต่อไป
ผมรักประเทศไทยจริงๆ ครับ และโกรธทุกครั้งที่มีคนว่าคนไทย แต่ผมเสียใจทุกครั้งที่สังคมอยากเปลี่ยนแปลง แต่กลับเพิ่มความเกลียดชัง ไม่มีใครเลว 100% ดี 100% แต่มันต้องพูดคุยกันดีๆ หาแนวทางอยู่ร่วมกัน ร่วมด้วยช่วยกัน วันนั้นประเทศไทยจะทวี มีชัย ชโย.
เขียนโดย กลูโคส