หลายวันมานี้ติดตามข่าวสาร รวมถึงสารคดีเทิดพระเกียรติต่างๆ แล้วรู้สึกอึดอัด หงุดหงิด รำคาญ กับการเหมือนจะบิดเบือนคำสอนของในหลวงรัชการที่ ๙ แบบผิดๆ ในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านเหลือเกิน
“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙.
ที่อัญเชิญมาเป็นส่วนหนึ่งของพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง แต่ ณ วันนี้พอพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง ทุกคนก็จะนึกถึงเพียงว่ากลับไปทำการเกษตรที่บ้าน เช่น พาดหัวข่าว " หนุ่มวิศวะการบิน ตัดสินใจลาออกจากงาน ไปทำการเกษตรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" "ข้าราชการหนุ่มยื่นใบลาออก ไปทำไร่ ตามรอยเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง" ฯลฯ
เศรษฐกิจพอเพียง คือ พออยู่พอกิน อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง คุณอยู่สาทร คุณก็พอเพียงได้ คุณทำงานโรงงาน คุณก็พอเพียงได้ คุณทำสวนยาง คุณก็พอเพียงได้ เป็นต้น
สมมติว่าคุณรับราชการ เงินเดือนสองหมื่นห้า คุณใช้หมื่นแปด เหลือเก็บเจ็ดพัน ก็ถือว่าพอเพียง, คุณเล่นหุ้น มีรายได้เดือนละ 5 แสน คุณใช้ 3 แสน ก็ถือว่าพอเพียง กลับกัน ถ้าคุณทำการเกษตร รายได้เดือนละ 2 หมื่น แต่คุณใช้ 3 หมื่น อันนี้ไม่ใช่พอเพียง
เข้าใจว่าสื่อมวลชน หรือหลายๆ คนเอาคำว่า "หลักเศรษฐกิจพอเพียง" มาผสมกับ "หลักเกษตรทฤษฎีใหม่" จนมั่วไปหมด สื่อหลายสำนักเสนอข่าวในเชิงชื่นชมคนที่ลาออกจากงานมาทำการเกษตรกันยกใหญ่ ว่าเดินทางตามรอยพ่อ ซึ่งมันไม่ใช่
" เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับการจัดพื้นที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีแบ่งพื้นที่เป็นส่วน ๆ ได้แก่ พื้นที่น้ำ พื้นที่ดินเพื่อเป็นที่นาปลูกข้าว พื้นที่ดินสำหรับปลูกพืชไร่นานาพันธุ์ และที่สำหรับอยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ ในอัตราส่วน 3:3:3:1 เป็นหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด"
พระองค์ท่านเพิ่งจากพวกเราไปไม่กี่วัน อย่าบิดเบือนคำสอนของพระองค์ท่านกันเลยครับ ขอร้อง
"หลักเศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ใช่การลาออกจากงานไปทำการเกษตรนะครับ
“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙.
ที่อัญเชิญมาเป็นส่วนหนึ่งของพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง แต่ ณ วันนี้พอพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง ทุกคนก็จะนึกถึงเพียงว่ากลับไปทำการเกษตรที่บ้าน เช่น พาดหัวข่าว " หนุ่มวิศวะการบิน ตัดสินใจลาออกจากงาน ไปทำการเกษตรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" "ข้าราชการหนุ่มยื่นใบลาออก ไปทำไร่ ตามรอยเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง" ฯลฯ
เศรษฐกิจพอเพียง คือ พออยู่พอกิน อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง คุณอยู่สาทร คุณก็พอเพียงได้ คุณทำงานโรงงาน คุณก็พอเพียงได้ คุณทำสวนยาง คุณก็พอเพียงได้ เป็นต้น
สมมติว่าคุณรับราชการ เงินเดือนสองหมื่นห้า คุณใช้หมื่นแปด เหลือเก็บเจ็ดพัน ก็ถือว่าพอเพียง, คุณเล่นหุ้น มีรายได้เดือนละ 5 แสน คุณใช้ 3 แสน ก็ถือว่าพอเพียง กลับกัน ถ้าคุณทำการเกษตร รายได้เดือนละ 2 หมื่น แต่คุณใช้ 3 หมื่น อันนี้ไม่ใช่พอเพียง
เข้าใจว่าสื่อมวลชน หรือหลายๆ คนเอาคำว่า "หลักเศรษฐกิจพอเพียง" มาผสมกับ "หลักเกษตรทฤษฎีใหม่" จนมั่วไปหมด สื่อหลายสำนักเสนอข่าวในเชิงชื่นชมคนที่ลาออกจากงานมาทำการเกษตรกันยกใหญ่ ว่าเดินทางตามรอยพ่อ ซึ่งมันไม่ใช่
" เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับการจัดพื้นที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีแบ่งพื้นที่เป็นส่วน ๆ ได้แก่ พื้นที่น้ำ พื้นที่ดินเพื่อเป็นที่นาปลูกข้าว พื้นที่ดินสำหรับปลูกพืชไร่นานาพันธุ์ และที่สำหรับอยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ ในอัตราส่วน 3:3:3:1 เป็นหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด"
พระองค์ท่านเพิ่งจากพวกเราไปไม่กี่วัน อย่าบิดเบือนคำสอนของพระองค์ท่านกันเลยครับ ขอร้อง