ฮาโหล เพื่อนใหม่ในพันทิปทุกคนค่ะ
ขอเปิดกระทู้แรกด้วยการย้อนวันเล่าถึงประสบการณ์การตั้งครรภ์เมื่อออกลูกติด ๆ กัน 2 คอกแบบหัวปีท้ายปี แต่ความเดิมของท้องแรกและท้องสองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นความเดจาวู ที่ไม่เดจาวู!
เริ่มกันที่วิวัฒนาการมนุษย์แม่ท้องแรก…
เรื่องราวดี ๆ ก่อนกลายเป็นมนุษย์แม่ลูกหนึ่งเริ่มขึ้นตอนอายุ 30++ ที่ความสุขเปลี่ยนทิศจากการกิน ดื่ม เที่ยวมารักตัวเองมากขึ้นเพราะเราไม่ใช่ตัวคนเดียวและไม่มีใครดูแลลูกน้อยในครรภ์ของเราได้ดีเท่าตัวเราเอง ดังนั้น ถึงเวลาที่จะปฏิวัติตัวเองและดูแลสุขภาพได้แล้ว
หลังจากแพ้ท้องได้ 2 อาทิตย์ก็กลายเป็นคุณแม่สายแ-กเต็มตัว มีความอยากกินโน่น นี่ นั่น ตลอดเวลา Enjoy eating แบบ Guilt-free กินอย่างไม่รู้สึกผิดชนิดที่ใครแย่งเป็นเคือง กินอาหารที่มีประโยชน์ งดของหมักดอง งดของสุก ๆ ดิบ ๆ แต่เน้นหนักมากในเรื่องของหวานต้องมีติดตัวติดโต๊ะทำงานตลอด ๆ ปากไม่เคยว่างและท้องไม่เคยร้องหิว
ผ่านไป 3 เดือนแรกน้ำหนักพุ่งพรวด 10 โลเต็ม
จนคนรอบข้างทักเยอะว่าอวบบ้าง แน่นบ้าง แต่ก็ยังชิล..
เข้าเดือนที่ 4
ดีใจมากที่จะได้ออกกำลังกายหลังจากอ่านหนังสือหาความรู้นั่ง ๆ กิน ๆ นอน ๆ ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา พอครบเดือนที่ 4 นี่รีบพุ่งตัวไปสมัครคลาสโยคะคุณแม่ (Prenatal Yoga) ทันทีซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบ Low Impact เตรียมความพร้อมร่างกายให้แข็งแรง ฝึกลมหายใจลดอาการเจ็บท้องและช่วยให้คลอดง่ายเพราะตั้งใจจะคลอดด้วยตัวเอง

และในช่วงนี้ความดราม่าก็เริ่มเกิด โดนคุณหมอสั่งคุมอาหารเพราะกลัวจะเสี่ยงเป็นภาวะเบาหวาน มีความจิตตกคิดว่าเป็นแน่ ๆ เพราะเป็นคนติดหวาน เลยพยายามคุมอาหารการกินอย่างหนัก แม้แต่เค้ก ไอศครีม ฮันนีโทสต์ หรือผลไม้สุกจัดที่มีรสหวานมากก็ไม่แตะ คุมจนเครียดขึ้นสมอง มีความตบะแตกเป็นครั้งคราว คุณหมออนุญาติให้ขึ้นได้เดือนละโล! ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากกินแอบห้ามใจตัวเองไม่ได้ตลอด ๆ
และในเดือนนี้เองที่เริ่มตระหนักถึงคำว่า ‘ขาใหญ่’ คำที่ได้ยินกี่ที ๆ ก็เจ็บ ความขาเบียดก็มาต้องลงทุนลงแรงซื้อครีมทาถูทาถูนวดสลายไขมันวนไป…
เดือนที่ 5
คุมอาหารเข้าขั้นนับแคลลอรี่เลยทีเดียว วันไหนกินเยอะหน่อยก็ชดเชยความผิดด้วยการปั่นจักรยานอยู่กับที่ เบิร์นแคลอรี่ได้นิดหน่อยก็ยังดี ชั่งน้ำหนักเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน กินเสร็จก็ชั่ง เอาออกก็ชั่ง จนวันที่คุณหมอนัดตรวจเบาหวาน ตื่นเต้นกว่าลุ้นเพศซะอีก! ผลออกมาไม่เจอเบาหวาน แต่น้ำหนักตัวคุณลูกไม่ขึ้นตามเกณฑ์เหมือนก่อน…
เดือนที่ 6-7-8
มีความจิตตกขั้นสุด เช็คน้ำหนักตัวเองแต่ละเดือนเกินเกณฑ์ที่หมอกำหนดทุกรอบ ในขณะที่น้ำหนักคุณลูกเพิ่มขึ้นมาทีละขีด และตอน 8 เดือนครึ่งคุณลูกเพิ่งทำน้ำหนักได้ 1.6 กก.! สามีพาตระเวนกิน ๆ ๆ บำรุงสารพัดปรากฏความอ้วนอยู่ที่แม่ การเจริญเติบโตของคุณลูกชะงักไปตั้งแต่ตอนเริ่มคุมอาหารช่วงเดือนที่ 4
เข้าใจเลยว่าน้ำหนักของแม่ที่เพิ่มขึ้นมากไม่ได้หมายความว่าลูกจะตัวใหญ่เสมอไป…


(รูปเยอะหน่อยอย่าเพิ่งเบื่อกันน้า)
ช่วงไตรมาสสุดท้ายน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเยอะจนทำให้ปวดหลังเวลาเดิน เลยหันมาออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะในน้ำ (Aqua Yoga) เป็นคลาสโยคะของแม่ตั้งครรภ์มีการสอนตัวต่อตัว ช่วยในเรื่องพัฒนาการของลูกน้อย เพราะเมื่อร่างกายได้เคลื่อนไหวผิวของลูกน้อยจะสัมผัสกับผนังครรภ์ของเราจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทสร้างความฉลาดให้ลูกน้อยได้ตั้งแต่ในครรภ์ รวมทั้งลดอาการปวดหลัง และเท้าบวมได้ด้วย
พอเข้าเดือนที่ 9
ลางาน 2 อาทิตย์ก่อนกำหนดคลอด โดยไม่ได้ดูฤกษ์วันคลอดเพราะอยากให้ลูกได้เลือกวันเกิดของตัวเองด้วยความพร้อมตามธรรมชาติ จึงใช้เวลาส่วนใหญ่เตรียมตัวอยู่กับบ้านจัดเสื้อผ้าลูก จัดแล้วจัดอีก เอามาดอมดมด้วยความตื่นเต้น และออกไปเดินช้อปปิ้งอุ้ยอ้ายอย่าง Slow life เป็นครั้งคราว
เมื่อถึงวันนัดครั้งสุดท้ายก่อนคลอด ผลอัลตราซาวน์ปรากฏว่าคุณลูกอยู่ในตำแหน่งที่ไม่กลับหัวในกรณีนี้จะต้องผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งน้ำหนักของลูกตอนนี้แค่ 2.09 กก.! นู๋จิ๋วมากลูก จิตตกทะลุขีดสุดโด้ปไข่ขาวต้มวันละ 3 ฟองทุกวัน และคว้าโปรตีนเสริมมากินโค้งสุดท้ายอย่างไม่หยุดยั้ง (เหมือนกิน Whey Protein เพิ่มกล้ามเนื้อสำหรับหนุ่ม ๆ ที่เล่นกล้าม เรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง!) เลยได้ความตัวแน่น ความแขนล่ำ และความขาเบียด… ร่างใหญ่เทียบเท่าสามี พยายามหน่อยนะจิ๋วแม่โด้ปสุดพลังแล้วลูก

พอวันสำคัญมาถึง ปวดท้องมีเลือดออกเป็นสัญญาณก่อนคลอดตอนตี 2 ปลุกสามีไปรพ.ด้วยกัน ระหว่างทางมีความปวดท้องคลอดเป็นระยะ ๆ ปากมดลูกเปิด 1 ซม. เข็นเข้าห้องคลอดตอน 6 โมงเช้า
แล้วเราก็ได้เจอกัน..

หลังจากที่ทั้งรอทั้งลุ้นจนตัวโก่ง น้ำหนักคุณลูกหลังจากที่เร่งโด้ปโปรตีนอย่างหนักอยู่ที่ 2.46 กก. ตัวเล็กไปหน่อยแต่สุขภาพแข็งแรงเป็นที่น่าชื่นใจ ส่วนแม่รับไป 20 โลเต็ม ๆ ต้องหาทางกำจัดออกสิบโลกว่า ๆ เป็นการบ้านหลังคลอดที่หนักหนาเอาการแท้

และนี่คือวิวัฒนาการมนุษย์แม่ท้องแรกจากน้ำหนัก 46 กก. ปิดที่ 66 กก.!
ตัดฉากไปเริ่มใช้ชีวิตทำงานหลังวันลาคลอดหมดลง หลังเลิกงานจะแวะไปโยคะเป็นกิจวัตรเกือบทุกวันตลอด 6 เดือน น้ำหนักยังไม่ทันหมดเหลืออยู่ 2 โลกว่า ๆ ก็มีข่าวดีตามมาให้ต้องอ้วนกันอีกครั้ง…
ในส่วนของท้องสองนั้น… ตามมาเร้ว

มีความไว้อาลัยให้กับเซลลูไลท์และชั้นไขมันของตัวเองล่วงหน้า ทำใจไว้ว่าอ้วนเป็นอ้วน ขอให้ลูกน้อยแข็งแรงมีน้ำหนักที่ดีตามเกณฑ์ จะไม่กังวลจนการเจริญเติบโตของลูกในท้องต้องเดจาวู แล้วตั้งใจ
ควบคุมพฤติกรรมการกินให้ดีที่สุดโดยไม่กดดันตัวเอง
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่แบบไม่ต้องนับแคลลอรี่ ลอง
กินอาหารที่ไม่ชอบแต่มีประโยชน์สำหรับลูกน้อยด้วยความเต็มใจ และ
กินผลไม้แทนของหวานดูบ้าง

ผลลัพธ์ตอนตรวจครรภ์ทุกเดือนคุณลูกมีพัฒนาการโตต่อเนื่องเป็นที่น่าชื่นใจและเป็นกำลังใจของแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์
หลัง 4 เดือนไปแล้วก็กลับมาเข้าคลาส Prenatal Yoga สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ท้องสองใหญ่กว่าเดิมแต่คุมน้ำหนักได้ดีขึ้น
มีวินัยในการกินตลอดการตั้งครรภ์ทำให้ลูกน้อยมีการเจริญเติบโตเป็นปกติ แม่ก็ไม่เครียดหมดความกังวลใจไปเลย

ในส่วนของวันคลอดนั้น เมื่อใช้วิธีผ่าคลอดในท้องแรกท้องที่สองเลยต้องใช้วิธีเดียวกัน ก่อนวันคลอด 1 วันก็แพคกระเป๋าไปนอนเตรียมตัวที่รพ.เดิม ห้องเดิมและสูติแพทย์คนเดิม เพิ่มเติมคือสถานะคุณแม่ลูกสองที่เข้าห้องคลอดด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง
มาแล้วคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด

คลอดสัปดาห์ที่ 38 พอดิบพอดีหนัก 2.69 กิโลกรัมทำน้ำหนักได้ดีกว่าในท้องแรก แข็งแรงและอารมณ์ดีเกินคาด
ส่วนแม่น้ำหนักขึ้นชกรวม 16 โล (เกินเกณฑ์ไปนิดแต่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ) ไร้ความกังวลใจตอนท้อง และไม่ต้องเหนื่อยลดหุ่นแบบบ้าคลั่งหลังคลอดเหมือนท้องแรก อยู่ไฟ 7 วันและโยคะอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง น้ำหนักเท่าเดิมหลังคลอด 3 เดือนใส่เสื้อผ้าไซส์เดิมได้อย่างรวดเร็ว

พัฒนาการของมนุษย์แม่ท้องสองน้ำหนักเริ่มต้น 48 กก. จนถึงวันคลอดรวม 64 กก.!
ส่วนในเรื่องความเหี่ยวของพุงนั้น… ไว้มาเล่าตอนต่อไป
ยังไงฝากถึงว่าที่แม่แม่ที่อยากกลับมาเป๊ะปังหลังคลอดเร็ว ๆ นะคะว่าน้ำหนักตัวที่เหมาะสมควรเพิ่มขึ้นราว ๆ 10-15 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์ เมื่อคลอดน้องน้ำหนักจะหายไปราว ๆ 5-6 กก. ทันทีค่ะ (น้ำหนักลูกน้อยของเรา 3 กก. รกและน้ำคร่ำ 1.5 กก. มดลูก 1 กก.) ส่วนที่เหลือจะค่อย ๆ ลดลงใน 2 สัปดาห์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยนะว่าควบคุมน้ำหนักได้มากน้อยแค่ไหน และยังเหลืออีกกี่โลที่จะต้องเอาออกไป
ขอเป็นกำลังใจให้ว่าที่คุณแม่ทุกคนท้องอย่างมีความสุขและปลอดภัย เจอกันใหม่ในวิวัฒนาการมนุษย์ลูกค่ะ
วิวัฒนาการมนุษย์ลูกหัวปี (ตอนที่ 1) >>
http://pantip.com/topic/35793308
วิวัฒนาการมนุษย์ลูกท้ายปี (ตอนที่ 2) >>
https://pantip.com/topic/35839968
แม่แม่คนไหนมีคำถามทักมาคุยกันได้ที่เพจ
Facebook.com/momterestblog ยินดีตอบทุกคำถามให้กับเพื่อนแม่แม่ด้วยกัน หรือติดตามเรื่องอื่น ๆ ได้ใน
http://momterestblog.com นะค้า
วิวัฒนาการมนุษย์แม่ท้องแรก VS ท้องสอง
ขอเปิดกระทู้แรกด้วยการย้อนวันเล่าถึงประสบการณ์การตั้งครรภ์เมื่อออกลูกติด ๆ กัน 2 คอกแบบหัวปีท้ายปี แต่ความเดิมของท้องแรกและท้องสองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นความเดจาวู ที่ไม่เดจาวู!
เริ่มกันที่วิวัฒนาการมนุษย์แม่ท้องแรก…
เรื่องราวดี ๆ ก่อนกลายเป็นมนุษย์แม่ลูกหนึ่งเริ่มขึ้นตอนอายุ 30++ ที่ความสุขเปลี่ยนทิศจากการกิน ดื่ม เที่ยวมารักตัวเองมากขึ้นเพราะเราไม่ใช่ตัวคนเดียวและไม่มีใครดูแลลูกน้อยในครรภ์ของเราได้ดีเท่าตัวเราเอง ดังนั้น ถึงเวลาที่จะปฏิวัติตัวเองและดูแลสุขภาพได้แล้ว
หลังจากแพ้ท้องได้ 2 อาทิตย์ก็กลายเป็นคุณแม่สายแ-กเต็มตัว มีความอยากกินโน่น นี่ นั่น ตลอดเวลา Enjoy eating แบบ Guilt-free กินอย่างไม่รู้สึกผิดชนิดที่ใครแย่งเป็นเคือง กินอาหารที่มีประโยชน์ งดของหมักดอง งดของสุก ๆ ดิบ ๆ แต่เน้นหนักมากในเรื่องของหวานต้องมีติดตัวติดโต๊ะทำงานตลอด ๆ ปากไม่เคยว่างและท้องไม่เคยร้องหิว
ผ่านไป 3 เดือนแรกน้ำหนักพุ่งพรวด 10 โลเต็ม
จนคนรอบข้างทักเยอะว่าอวบบ้าง แน่นบ้าง แต่ก็ยังชิล..
เข้าเดือนที่ 4
ดีใจมากที่จะได้ออกกำลังกายหลังจากอ่านหนังสือหาความรู้นั่ง ๆ กิน ๆ นอน ๆ ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา พอครบเดือนที่ 4 นี่รีบพุ่งตัวไปสมัครคลาสโยคะคุณแม่ (Prenatal Yoga) ทันทีซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบ Low Impact เตรียมความพร้อมร่างกายให้แข็งแรง ฝึกลมหายใจลดอาการเจ็บท้องและช่วยให้คลอดง่ายเพราะตั้งใจจะคลอดด้วยตัวเอง
และในช่วงนี้ความดราม่าก็เริ่มเกิด โดนคุณหมอสั่งคุมอาหารเพราะกลัวจะเสี่ยงเป็นภาวะเบาหวาน มีความจิตตกคิดว่าเป็นแน่ ๆ เพราะเป็นคนติดหวาน เลยพยายามคุมอาหารการกินอย่างหนัก แม้แต่เค้ก ไอศครีม ฮันนีโทสต์ หรือผลไม้สุกจัดที่มีรสหวานมากก็ไม่แตะ คุมจนเครียดขึ้นสมอง มีความตบะแตกเป็นครั้งคราว คุณหมออนุญาติให้ขึ้นได้เดือนละโล! ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากกินแอบห้ามใจตัวเองไม่ได้ตลอด ๆ
และในเดือนนี้เองที่เริ่มตระหนักถึงคำว่า ‘ขาใหญ่’ คำที่ได้ยินกี่ที ๆ ก็เจ็บ ความขาเบียดก็มาต้องลงทุนลงแรงซื้อครีมทาถูทาถูนวดสลายไขมันวนไป…
เดือนที่ 5
คุมอาหารเข้าขั้นนับแคลลอรี่เลยทีเดียว วันไหนกินเยอะหน่อยก็ชดเชยความผิดด้วยการปั่นจักรยานอยู่กับที่ เบิร์นแคลอรี่ได้นิดหน่อยก็ยังดี ชั่งน้ำหนักเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน กินเสร็จก็ชั่ง เอาออกก็ชั่ง จนวันที่คุณหมอนัดตรวจเบาหวาน ตื่นเต้นกว่าลุ้นเพศซะอีก! ผลออกมาไม่เจอเบาหวาน แต่น้ำหนักตัวคุณลูกไม่ขึ้นตามเกณฑ์เหมือนก่อน…
เดือนที่ 6-7-8
มีความจิตตกขั้นสุด เช็คน้ำหนักตัวเองแต่ละเดือนเกินเกณฑ์ที่หมอกำหนดทุกรอบ ในขณะที่น้ำหนักคุณลูกเพิ่มขึ้นมาทีละขีด และตอน 8 เดือนครึ่งคุณลูกเพิ่งทำน้ำหนักได้ 1.6 กก.! สามีพาตระเวนกิน ๆ ๆ บำรุงสารพัดปรากฏความอ้วนอยู่ที่แม่ การเจริญเติบโตของคุณลูกชะงักไปตั้งแต่ตอนเริ่มคุมอาหารช่วงเดือนที่ 4
เข้าใจเลยว่าน้ำหนักของแม่ที่เพิ่มขึ้นมากไม่ได้หมายความว่าลูกจะตัวใหญ่เสมอไป…
(รูปเยอะหน่อยอย่าเพิ่งเบื่อกันน้า)
ช่วงไตรมาสสุดท้ายน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเยอะจนทำให้ปวดหลังเวลาเดิน เลยหันมาออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะในน้ำ (Aqua Yoga) เป็นคลาสโยคะของแม่ตั้งครรภ์มีการสอนตัวต่อตัว ช่วยในเรื่องพัฒนาการของลูกน้อย เพราะเมื่อร่างกายได้เคลื่อนไหวผิวของลูกน้อยจะสัมผัสกับผนังครรภ์ของเราจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทสร้างความฉลาดให้ลูกน้อยได้ตั้งแต่ในครรภ์ รวมทั้งลดอาการปวดหลัง และเท้าบวมได้ด้วย
พอเข้าเดือนที่ 9
ลางาน 2 อาทิตย์ก่อนกำหนดคลอด โดยไม่ได้ดูฤกษ์วันคลอดเพราะอยากให้ลูกได้เลือกวันเกิดของตัวเองด้วยความพร้อมตามธรรมชาติ จึงใช้เวลาส่วนใหญ่เตรียมตัวอยู่กับบ้านจัดเสื้อผ้าลูก จัดแล้วจัดอีก เอามาดอมดมด้วยความตื่นเต้น และออกไปเดินช้อปปิ้งอุ้ยอ้ายอย่าง Slow life เป็นครั้งคราว
เมื่อถึงวันนัดครั้งสุดท้ายก่อนคลอด ผลอัลตราซาวน์ปรากฏว่าคุณลูกอยู่ในตำแหน่งที่ไม่กลับหัวในกรณีนี้จะต้องผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งน้ำหนักของลูกตอนนี้แค่ 2.09 กก.! นู๋จิ๋วมากลูก จิตตกทะลุขีดสุดโด้ปไข่ขาวต้มวันละ 3 ฟองทุกวัน และคว้าโปรตีนเสริมมากินโค้งสุดท้ายอย่างไม่หยุดยั้ง (เหมือนกิน Whey Protein เพิ่มกล้ามเนื้อสำหรับหนุ่ม ๆ ที่เล่นกล้าม เรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง!) เลยได้ความตัวแน่น ความแขนล่ำ และความขาเบียด… ร่างใหญ่เทียบเท่าสามี พยายามหน่อยนะจิ๋วแม่โด้ปสุดพลังแล้วลูก
พอวันสำคัญมาถึง ปวดท้องมีเลือดออกเป็นสัญญาณก่อนคลอดตอนตี 2 ปลุกสามีไปรพ.ด้วยกัน ระหว่างทางมีความปวดท้องคลอดเป็นระยะ ๆ ปากมดลูกเปิด 1 ซม. เข็นเข้าห้องคลอดตอน 6 โมงเช้า
แล้วเราก็ได้เจอกัน..
หลังจากที่ทั้งรอทั้งลุ้นจนตัวโก่ง น้ำหนักคุณลูกหลังจากที่เร่งโด้ปโปรตีนอย่างหนักอยู่ที่ 2.46 กก. ตัวเล็กไปหน่อยแต่สุขภาพแข็งแรงเป็นที่น่าชื่นใจ ส่วนแม่รับไป 20 โลเต็ม ๆ ต้องหาทางกำจัดออกสิบโลกว่า ๆ เป็นการบ้านหลังคลอดที่หนักหนาเอาการแท้
ตัดฉากไปเริ่มใช้ชีวิตทำงานหลังวันลาคลอดหมดลง หลังเลิกงานจะแวะไปโยคะเป็นกิจวัตรเกือบทุกวันตลอด 6 เดือน น้ำหนักยังไม่ทันหมดเหลืออยู่ 2 โลกว่า ๆ ก็มีข่าวดีตามมาให้ต้องอ้วนกันอีกครั้ง…
ในส่วนของท้องสองนั้น… ตามมาเร้ว
มีความไว้อาลัยให้กับเซลลูไลท์และชั้นไขมันของตัวเองล่วงหน้า ทำใจไว้ว่าอ้วนเป็นอ้วน ขอให้ลูกน้อยแข็งแรงมีน้ำหนักที่ดีตามเกณฑ์ จะไม่กังวลจนการเจริญเติบโตของลูกในท้องต้องเดจาวู แล้วตั้งใจควบคุมพฤติกรรมการกินให้ดีที่สุดโดยไม่กดดันตัวเอง กินอาหารให้ครบ 5 หมู่แบบไม่ต้องนับแคลลอรี่ ลองกินอาหารที่ไม่ชอบแต่มีประโยชน์สำหรับลูกน้อยด้วยความเต็มใจ และกินผลไม้แทนของหวานดูบ้าง
ผลลัพธ์ตอนตรวจครรภ์ทุกเดือนคุณลูกมีพัฒนาการโตต่อเนื่องเป็นที่น่าชื่นใจและเป็นกำลังใจของแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์
หลัง 4 เดือนไปแล้วก็กลับมาเข้าคลาส Prenatal Yoga สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ท้องสองใหญ่กว่าเดิมแต่คุมน้ำหนักได้ดีขึ้น
มีวินัยในการกินตลอดการตั้งครรภ์ทำให้ลูกน้อยมีการเจริญเติบโตเป็นปกติ แม่ก็ไม่เครียดหมดความกังวลใจไปเลย
ในส่วนของวันคลอดนั้น เมื่อใช้วิธีผ่าคลอดในท้องแรกท้องที่สองเลยต้องใช้วิธีเดียวกัน ก่อนวันคลอด 1 วันก็แพคกระเป๋าไปนอนเตรียมตัวที่รพ.เดิม ห้องเดิมและสูติแพทย์คนเดิม เพิ่มเติมคือสถานะคุณแม่ลูกสองที่เข้าห้องคลอดด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง
มาแล้วคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด
คลอดสัปดาห์ที่ 38 พอดิบพอดีหนัก 2.69 กิโลกรัมทำน้ำหนักได้ดีกว่าในท้องแรก แข็งแรงและอารมณ์ดีเกินคาด
ส่วนแม่น้ำหนักขึ้นชกรวม 16 โล (เกินเกณฑ์ไปนิดแต่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ) ไร้ความกังวลใจตอนท้อง และไม่ต้องเหนื่อยลดหุ่นแบบบ้าคลั่งหลังคลอดเหมือนท้องแรก อยู่ไฟ 7 วันและโยคะอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง น้ำหนักเท่าเดิมหลังคลอด 3 เดือนใส่เสื้อผ้าไซส์เดิมได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนในเรื่องความเหี่ยวของพุงนั้น… ไว้มาเล่าตอนต่อไป
ยังไงฝากถึงว่าที่แม่แม่ที่อยากกลับมาเป๊ะปังหลังคลอดเร็ว ๆ นะคะว่าน้ำหนักตัวที่เหมาะสมควรเพิ่มขึ้นราว ๆ 10-15 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์ เมื่อคลอดน้องน้ำหนักจะหายไปราว ๆ 5-6 กก. ทันทีค่ะ (น้ำหนักลูกน้อยของเรา 3 กก. รกและน้ำคร่ำ 1.5 กก. มดลูก 1 กก.) ส่วนที่เหลือจะค่อย ๆ ลดลงใน 2 สัปดาห์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยนะว่าควบคุมน้ำหนักได้มากน้อยแค่ไหน และยังเหลืออีกกี่โลที่จะต้องเอาออกไป
ขอเป็นกำลังใจให้ว่าที่คุณแม่ทุกคนท้องอย่างมีความสุขและปลอดภัย เจอกันใหม่ในวิวัฒนาการมนุษย์ลูกค่ะ
วิวัฒนาการมนุษย์ลูกหัวปี (ตอนที่ 1) >> http://pantip.com/topic/35793308
วิวัฒนาการมนุษย์ลูกท้ายปี (ตอนที่ 2) >> https://pantip.com/topic/35839968
แม่แม่คนไหนมีคำถามทักมาคุยกันได้ที่เพจ Facebook.com/momterestblog ยินดีตอบทุกคำถามให้กับเพื่อนแม่แม่ด้วยกัน หรือติดตามเรื่องอื่น ๆ ได้ใน http://momterestblog.com นะค้า