คำสอนสุดท้ายจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ (ใช้คำผิด Tag ห้องผลิตขออภัย)

วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เราได้คำสอนสุดท้ายจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ อยู่หนึ่งเรื่องคือ ถ้าคิดจะทำอะไรต้องทำเลย อย่ารอผัดวันประกันพรุ่ง อย่าคิดว่าเดี๋ยวจะทำวันนั้นวันนี้ ... และตอนนี้เราก็เริ่มใช้แนวทางนี้ในการดำเนินชีวิต เลิกงานดึกแต่อยากไปเห็นบรรยากาศ เราก็เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้านเป็นเส้นที่ผ่านสนาม เพื่อให้ได้เห็น พอเปิดให้ข้าลงนามได้ เราก็ไปแต่เช้าแบบไม่ขี้เกียจตื่นเลยเพื่อไปร่วมลงนามถวายความอาลัยแม้แค่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ก็ตาม วันที่ ๒๘ ก็ตั้งมั่นว่าจะไปให้ได้เช่นกัน รวมไปทั่งเรื่องอื่นๆ ของชีวิตด้วย

ต้นเรื่องของคำสอนนี้คือ หลังมีการแถลงอาการของในหลวงก่อนหน้านี้ เราตั้งใจว่าจะไปร่วมสวดมนต์ที่ศิริราชในคืนวัน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ หลังเลิกงานเพราะเป็นคืนวันศุกร์ ตั้งใจว่าจะอยู่ยาวๆ ไม่กระทบงานในวันรุ่งขึ้น ต่อมาในวันที่ ๑๓ ก็เกิดข่าวลือ นู่น นี่ นั่น ระหว่างวันไม่มีใจจะทำงานเลย แต่ด้วยงานที่ทำอยู่ ต้องทำหน้าที่สื่อสารข่าวสารกรณีมีเหตุการณ์ต่างๆ จึงไม่สามารถทิ้งงานได้ ทั้งที่ใจมันไปนานแล้ว เพราะพอมีข่าวอัพเดทมาเรื่อยๆ ก็ต้องมีการร่างข้อมูล เตรียมทำสื่อ เพื่อสื่อสารไปยังพนักงานในบริษัท และสื่อภายนอก ทุกครั้งที่มีการให้เตรียมทำเรื่องนั้น เรื่องนี้ เป็นขั้นเป็นตอน เราจะครางทุกครั้งที่หัวหน้าบอกให้เตรียมทำนี่ไว้นะ เตรียมเรื่องนั้นไว้ เราทำโดยการเว้นข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระองค์ไว้ ใจมันภาวนาว่าขออย่าให้เป็นเรื่องจริง  ใจมันเริ่มฝ่อมากๆ ตอนที่พี่เค้าเดินมาบอกว่า เตรียมหารูปนะ เราแบบว่าโอ้ยยยยยาวออกมา แต่พูดอะไรต่อไม่ได้เลย จนพี่เค้าก็บอกให้ใจเย็นๆ จนเวลาเกือบ ๑๗ นาฬิกา ก่อนที่จะมีการแถลงจากรัฐบาลอีก มีการคอนเฟิร์มข้อมูลให้ทำสื่อประกาศได้ ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกเลย น้ำตามันซึมออกมาเอง ทำงานไป น้ำตาก็ซึมไป ต้องคอยเช็ดตลอด ไม่เคยทำงานประกาศอะไรที่เกี่ยวกับพระองค์แล้วไม่อยากทำแบบนี้เลย ทุกครั้งที่ทำงานเกี่ยวกับพระองค์ จะกระตือรือร้น ทำก่อนวันงานนานมาก อยากทำออกมาให้สวยที่สุด ดีที่สุด แต่งานนี้เป็นงานที่ไม่อยากทำเลย แต่ก็ต้องทำออกมาให้สวยที่สุด ดีที่สุดเพราะถือว่าเป็นการทำงานที่เกี่ยวกับพระองค์ครั้งสุดท้าย ต้องทำให้ดีท่องไว้ตลอด

จนถึงเวลาที่รัฐบาลแถลงอย่างเป็นทางการ ตอนนั้นใจมันว่างไปเลย คิดกับตัวเองในใจว่า ถ้ารัฐบาลไม่แถลงและปิดเงียบไว้เราพร้อมที่จะหลอกตัวเองว่าพระองค์ยังอยู่กับเรา ยังคงเป็นพ่อหลวงของคนไทยต่อไป

สรุปคืนนั้นทั้งคืนเราต้องทำสื่อต่างๆ จนเสร็จ เกือบ ๔ ทุ่ม เช้ามาเราไลน์ขอพี่หัวหน้าว่าหากช่วงบ่ายไม่มีงานอะไรขอไปร่วมงานพิธีได้ไหม สรุปคือไม่ได้เพราะเผื่อมีประกาศ และเตรียมงานเกี่ยวกับเรื่องการสวรรคตหากต้องทำ ตอนเช้าไปทำงานนั่ง BTS เข้าเมือง บรรยากาศกลับกันกับทุกวันคือเปลี่ยนสถานีที่สยาม ผู้คนยืนรอฝั่งที่ไปบางหว้ามหาศาล ใจเรามันลอยเปลี่ยนขบวนไปแล้ว เป็นครั้งแรกที่มีความคิดว่าเราไม่น่าทำงานแผนกนี้เลย แล้ววันที่ ๑๔ ก็เป็นไปตามคาดงานเยอะมาก กว่าจะเสร็จทุกอย่าง ก็ฟ้ามืดไปแล้ว ทั้งที่มีประกาศให้เป็นวันหยุดเพื่อร่วมพิธีได้ ตอนนั้นได้แต่คิดว่าทำไมเราไม่ร่วมสวดมนต์คืนนั้นเลย ทำไมถึงคิดจะไปคืนนั้นคืนนี้ ทำไมๆ ถามตัวเองซ้ำๆ แบบนี้ตลอด นี่คือคำสอนที่เราได้จากพระองค์โดยตรง เราตั้งใจเขียนมาก ไม่เคยเขียนอะไรยาวแบบนี้มาก่อนเลย เพราะอยากแบ่งปันแนวคิดเรื่องการอย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะเวลามันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้จริง ... เขียนไปร้องไป อยากระบายให้คนอื่นฟังบ้าง เพราะระหว่างวันเราเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องราวการสวรรคตเพราะหลายครี้งที่พูดเสียงจะเริ่มสั่นแล้วจะร้องทุกครั้ง จนเรารู้ตัวว่าเราไม่พร้อมกับเรื่องนี้จริงๆ เพิ่งมาได้อ่านเกี่ยวกับการดูแลเรื่องสุขภาพจิต ที่มีการเผยแพร่ช่วงหลัง เราก็เข้าข่ายหลายเรื่อง เช่น การยอมหลอกตัวเองเพื่อเลี่ยงเรื่องที่เจ็บปวด อันนี้เพราะอ่านแล้วใช่เลย การไม่แสดงออกอารมณ์การเสียใจ  เราเลยคิดว่าเราต้องเริ่มด้วยการระบายความในใจเราออกมา เป็นหนังสือก่อน หากพร้อมกว่านี้เราคงใช้วิธีพูดได้ แต่เสียตรงที่เพื่อนเรา เวลาพูดเรื่องนี้ทีไร ต้องออกอาการกันทุกที กลัวจะปล่อยโหออกมาเลยต่างคนต่างเลี่ยง ... จบค่ะ
#รักในหลวงรัชกาลที่ ๙

ปล. เราพยายามใช้เลขไทย ไม่รู้ทำไม แต่อยากใช้เมื่อเขียนเกี่ยวกับพระองค์

จริงๆ ก่อนหน้านี้ได้แชร์เรื่องราวนี้ในกระทู้ของคนอื่นแล้ว มาคิดอีกทีหากอยากแชร์คำสอนนี้ ก็ตั้งเป็นกระทู้แยกต่างหากเลยดีกว่าค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่