เมื่อคืนนี้ สำนักพระราชวังได้ประกาศว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคตอย่างสงบ ในวัย 93 พรรษา นำมาซึ่งความเสียใจของคนไทยทั้งประเทศ
ขั้นตอนการไว้ทุกข์นั้น พระบรมวงศานุวงศ์ และเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก จะมีช่วงเวลาไว้ทุกข์ 1 ปี ในขณะที่กับประชาชนทั่วไป ยังไม่มีการระบุแจ้ง หรือขอความร่วมมือ ว่าต้องทำอย่างไร
ในเรื่องความเศร้าเสียใจก็ประเด็นหนึ่ง แต่สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามในสเต็ปต่อไป คือ อีเวนต์บันเทิง งานรื่นเริงต่างๆ จะยังสามารถจัดได้อยู่ไหม
ช่วงปลายปี เป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย ในเดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม จะมีศิลปินต่างชาติ มาจัดคอนเสิร์ตในกรุงเทพ รวมแล้วมากกว่า 40 งาน ถ้าหากมีการยกเลิกขึ้นจริง คงต้องมีการบริหารจัดการกันเยอะเลยทีเดียว
ขณะที่วงการฟุตบอล ก็มีคำถามเช่นกันว่า ฟุตบอลไทยลีก จะต้องทำอย่างไรต่อ จะมีการเว้นวรรค พักลีกสักระยะ หรือถึงขั้นยกเลิกลีกเลยไหม แบบที่เคยทำมาแล้วในปี 2559 หรือว่าจะเดินหน้าลุยต่อได้เลย แต่แสดงการไว้อาลัยแบบอื่น
จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เคยมีกรณีศึกษามาก่อนแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ครับ
จิรัฏฐ์ จันทะเสน ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์คณะฟุตบอลแห่งสยามที่เสียชีวิตไปแล้ว เคยอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ครับ
ย้อนกลับไปเมื่อ 106 ปีที่แล้ว ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเป็นพระราชมารดา ของรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต
ณ เวลานั้น มีโปรแกรมการแข่งขัน ฟุตบอลถ้วยใหญ่ (ถ้วย ก.) และ ถ้วยน้อย (ถ้วย ข.) ยังคงติดค้างอยู่ เช่นเดียวกับฟุตบอลชิงโล่การกระทรวงธรรมการ ก็ยังคงแข่งไม่จบ
แต่ด้วยความโศกเศร้าของประชาชน ทำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในชื่อเดิม คือคณะฟุตบอลแห่งสยาม ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลถึงในหลวงรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอให้พระองค์วินิจฉัย ว่าจะงดจัดการแข่งขันทั้งหมดเลยหรือไม่
ปรากฎว่าในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงมีลายพระราชหัตถเลขา ตอบกลับมาที่สมาคมว่า "เห็นว่าการกรีฑา ไม่เหมือนการมหรศพ ไม่จำเป็นต้องเลื่อน"
นั่นทำให้การแข่งขันทุกรายการ มีขึ้นตามกำหนดเดิม และสามารถแข่งขันได้จนจบทัวร์นาเมนต์
นอกจากนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 6 เอง ยังเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทอดพระเนตรฟุตบอล และพระราชทานแชมป์ถ้วย ก. ให้กับ สโมสรกรมมหาดเล็กหลวง และ แชมป์ถ้วย ข. ให้กับสโมสรกรมมหรสพ อีกด้วย
เราจะเห็นว่า ตั้งแต่ในยุคนั้นแล้ว ที่พระมหากษัตริย์ได้ให้ความสำคัญกับวงการกีฬาเป็นอย่างมาก ในหลวง รัชกาลที่ 6 ได้ผลักดันให้การแข่งขันฟุตบอล สามารถดำเนินต่อไปตามปกติ แม้ว่า พระราชมารดาของพระองค์ จะเสด็จสวรรคตก็ตามที
และอีกหนึ่งเหตุการณ์ ที่มีต่อเนื่องกัน คือในปี พ.ศ.2468 (100 ปีที่แล้ว) เมื่อในหลวง รัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต ในวันที่ 26 พฤศจิกายน
ปรากฏว่า ในหลวง รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชวินิจฉัยแบบเดียวกันกับพระเชษฐาธิราช นั่นคือ "ให้ฟุตบอลแข่งต่อ"
โดยพระราชหัตถเลขาของ รัชกาลที่ 7 เขียนว่า "เห็นว่ามีต่อไปได้ เพราะเป็นการบำรุงกำลัง ไม่ใช่เป็นการมหรสพ"
เรื่องนี้ คุณจิรัฏฐ์ จันทะเสน ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า "นี่เป็นเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาฟุตบอลเมืองไทย สืบไป"
เราจะเห็นว่า มุมของราชวงศ์เอง ถ้าเราอ้างอิง จากยุคของรัชกาลที่ 6 และ รัชกาลที่ 7 แล้ว ทั้งสองพระองค์ ให้ความสำคัญกับการกีฬา พลานามัย และสุขภาพร่างกายของประชาชนมาเป็นอันดับแรก และการแข่งขันที่มีอยู่แล้ว ก็ต้องมีต่อไป
ในวงการอื่นๆ ผมเองไม่สามารถตอบได้ ว่าต้องทำอย่างไร แต่ในถ้าในวงการกีฬานั้น ฝั่งราชวงศ์เอง ไม่เคยมีข้อเสนอแนะว่าให้หยุด ให้เลื่อน หรือให้ยกเลิกการแข่งขัน เพื่อไว้อาลัย มีแต่จะผลักดันให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยปกติที่สุด
เหตุการณ์ที่ใกล้ตัวเรามากขึ้น คือในปี 2559 ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ของพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ตัดสินใจ "ปิดลีก" ทั้งๆ ที่ยังแข่งไม่จบ เหลือเกมลีกอีก 3 นัด
พอหยุดลีกกะทันหันแบบนั้น ทำให้เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้แชมป์ไปเลย ทั้งๆ ที่แต้มยังไม่ขาด แบงค็อก ยูไนเต็ด ยังมีสิทธิ์แซงได้แชมป์ตามทฤษฎีอยู่
แต่ที่หนักกว่านั้น คือทำให้ อาร์มี่ ยูไนเต็ด กับ ชัยนาท ฮอร์นบิล ตกชั้นไปเลย ทั้งๆ ที่พวกเขา มีแต้มตามหลังโซนปลอดภัยแค่ 1 คะแนนเท่านั้น
ในข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ทางสำนักพระราชวังไม่ได้แจ้งมาให้หยุดการแข่ง แม้แต่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ ในขณะนั้น ก็ยังบอกว่า "การแข่งขันฟุตบอลไทยในโปรแกรมต่างๆ ที่มีวงรอบอยู่แล้ว สามารถดำเนินต่อไปได้"
แต่ทว่า สมาคมก็ยังคงตัดสินใจยุติลีกอยู่ดี เพื่อการไว้ทุกข์ ให้รัชกาลที่ 9
คือจริงๆ ก็เข้าใจสมาคมอยู่เหมือนกัน เพราะบรรยากาศความเศร้าโศกในประเทศไทยตอนนั้น มันก็อบอวลประเทศไทยจริงๆ
แต่สุดท้าย มันก็เป็นเรื่องที่พวกเขา ต้องมาแก้ไขปัญหาอีกหลายอย่างในเวลาต่อมา เพราะทีมที่ตกชั้นก็โวย ใครจะไปยอมตกชั้นง่ายๆ ทั้งๆ ที่ยังแข่งไม่ครบ เช่นเดียวกับสื่อต่างชาติก็ประหลาดใจ ว่าไทยตัดจบกันแบบนี้เลยหรือ? รวมถึงผู้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ก็ไม่ได้แฮปปี้ เพราะไม่สามารถถ่ายเกมไทยลีกได้ครบ ตามสัญญาที่เซ็นกันไว้
ดังนั้น กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในเรื่องการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชมารดาของรัชกาลที่ 10 ถ้าเราอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น และการตัดสินใจของบรรพชนในรุ่นก่อนๆ
จะเห็นว่า ทั้งรัชกาลที่ 6 และ รัชกาลที่ 7 ต่างส่งเสริมให้การแข่งขันกีฬา มีขึ้นโดยปกติ แม้จะมีการสวรรคตของราชวงศ์เกิดขึ้นก็ตามที
แปลว่า ณ วันนี้ ฟุตบอลไทยทุกระดับ และการแข่งขันกีฬาทุกประเภท สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยไม่ต้องยกเลิก เพียงแต่อาจแสดงออกการไว้อาลัย ด้วยวิธีต่างๆ เช่นการยืนสงบนิ่งก่อนเกม หรือสวมปลอกแขนสีดำ เป็นต้น
จริงๆ แล้ว เราคงพอเห็นได้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ ทั้ง 2 พระองค์ รัชกาลที่ 6 และ รัชกาลที่ 7 มีวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมอย่างยิ่ง ตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว
นั่นคือ งานเศร้า งานอาลัย ก็ดำเนินต่อไป สามารถทำได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องยกเลิกการแข่งขันกีฬา ที่สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมพลานามัยของประชาชน
ที่มา :
https://www.facebook.com/share/p/1CvSXsSA6E/
การจัดแข่งกีฬาฟุตบอลในช่วงนี้ ผมคัดมาจากเพจวิเคราะห์บอลจริงจังครับ
ขั้นตอนการไว้ทุกข์นั้น พระบรมวงศานุวงศ์ และเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก จะมีช่วงเวลาไว้ทุกข์ 1 ปี ในขณะที่กับประชาชนทั่วไป ยังไม่มีการระบุแจ้ง หรือขอความร่วมมือ ว่าต้องทำอย่างไร
ในเรื่องความเศร้าเสียใจก็ประเด็นหนึ่ง แต่สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามในสเต็ปต่อไป คือ อีเวนต์บันเทิง งานรื่นเริงต่างๆ จะยังสามารถจัดได้อยู่ไหม
ช่วงปลายปี เป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย ในเดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม จะมีศิลปินต่างชาติ มาจัดคอนเสิร์ตในกรุงเทพ รวมแล้วมากกว่า 40 งาน ถ้าหากมีการยกเลิกขึ้นจริง คงต้องมีการบริหารจัดการกันเยอะเลยทีเดียว
ขณะที่วงการฟุตบอล ก็มีคำถามเช่นกันว่า ฟุตบอลไทยลีก จะต้องทำอย่างไรต่อ จะมีการเว้นวรรค พักลีกสักระยะ หรือถึงขั้นยกเลิกลีกเลยไหม แบบที่เคยทำมาแล้วในปี 2559 หรือว่าจะเดินหน้าลุยต่อได้เลย แต่แสดงการไว้อาลัยแบบอื่น
จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เคยมีกรณีศึกษามาก่อนแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ครับ
จิรัฏฐ์ จันทะเสน ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์คณะฟุตบอลแห่งสยามที่เสียชีวิตไปแล้ว เคยอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ครับ
ย้อนกลับไปเมื่อ 106 ปีที่แล้ว ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเป็นพระราชมารดา ของรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต
ณ เวลานั้น มีโปรแกรมการแข่งขัน ฟุตบอลถ้วยใหญ่ (ถ้วย ก.) และ ถ้วยน้อย (ถ้วย ข.) ยังคงติดค้างอยู่ เช่นเดียวกับฟุตบอลชิงโล่การกระทรวงธรรมการ ก็ยังคงแข่งไม่จบ
แต่ด้วยความโศกเศร้าของประชาชน ทำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในชื่อเดิม คือคณะฟุตบอลแห่งสยาม ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลถึงในหลวงรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอให้พระองค์วินิจฉัย ว่าจะงดจัดการแข่งขันทั้งหมดเลยหรือไม่
ปรากฎว่าในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงมีลายพระราชหัตถเลขา ตอบกลับมาที่สมาคมว่า "เห็นว่าการกรีฑา ไม่เหมือนการมหรศพ ไม่จำเป็นต้องเลื่อน"
นั่นทำให้การแข่งขันทุกรายการ มีขึ้นตามกำหนดเดิม และสามารถแข่งขันได้จนจบทัวร์นาเมนต์
นอกจากนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 6 เอง ยังเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทอดพระเนตรฟุตบอล และพระราชทานแชมป์ถ้วย ก. ให้กับ สโมสรกรมมหาดเล็กหลวง และ แชมป์ถ้วย ข. ให้กับสโมสรกรมมหรสพ อีกด้วย
เราจะเห็นว่า ตั้งแต่ในยุคนั้นแล้ว ที่พระมหากษัตริย์ได้ให้ความสำคัญกับวงการกีฬาเป็นอย่างมาก ในหลวง รัชกาลที่ 6 ได้ผลักดันให้การแข่งขันฟุตบอล สามารถดำเนินต่อไปตามปกติ แม้ว่า พระราชมารดาของพระองค์ จะเสด็จสวรรคตก็ตามที
และอีกหนึ่งเหตุการณ์ ที่มีต่อเนื่องกัน คือในปี พ.ศ.2468 (100 ปีที่แล้ว) เมื่อในหลวง รัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต ในวันที่ 26 พฤศจิกายน
ปรากฏว่า ในหลวง รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชวินิจฉัยแบบเดียวกันกับพระเชษฐาธิราช นั่นคือ "ให้ฟุตบอลแข่งต่อ"
โดยพระราชหัตถเลขาของ รัชกาลที่ 7 เขียนว่า "เห็นว่ามีต่อไปได้ เพราะเป็นการบำรุงกำลัง ไม่ใช่เป็นการมหรสพ"
เรื่องนี้ คุณจิรัฏฐ์ จันทะเสน ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า "นี่เป็นเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาฟุตบอลเมืองไทย สืบไป"
เราจะเห็นว่า มุมของราชวงศ์เอง ถ้าเราอ้างอิง จากยุคของรัชกาลที่ 6 และ รัชกาลที่ 7 แล้ว ทั้งสองพระองค์ ให้ความสำคัญกับการกีฬา พลานามัย และสุขภาพร่างกายของประชาชนมาเป็นอันดับแรก และการแข่งขันที่มีอยู่แล้ว ก็ต้องมีต่อไป
ในวงการอื่นๆ ผมเองไม่สามารถตอบได้ ว่าต้องทำอย่างไร แต่ในถ้าในวงการกีฬานั้น ฝั่งราชวงศ์เอง ไม่เคยมีข้อเสนอแนะว่าให้หยุด ให้เลื่อน หรือให้ยกเลิกการแข่งขัน เพื่อไว้อาลัย มีแต่จะผลักดันให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยปกติที่สุด
เหตุการณ์ที่ใกล้ตัวเรามากขึ้น คือในปี 2559 ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ของพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ตัดสินใจ "ปิดลีก" ทั้งๆ ที่ยังแข่งไม่จบ เหลือเกมลีกอีก 3 นัด
พอหยุดลีกกะทันหันแบบนั้น ทำให้เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้แชมป์ไปเลย ทั้งๆ ที่แต้มยังไม่ขาด แบงค็อก ยูไนเต็ด ยังมีสิทธิ์แซงได้แชมป์ตามทฤษฎีอยู่
แต่ที่หนักกว่านั้น คือทำให้ อาร์มี่ ยูไนเต็ด กับ ชัยนาท ฮอร์นบิล ตกชั้นไปเลย ทั้งๆ ที่พวกเขา มีแต้มตามหลังโซนปลอดภัยแค่ 1 คะแนนเท่านั้น
ในข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ทางสำนักพระราชวังไม่ได้แจ้งมาให้หยุดการแข่ง แม้แต่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ ในขณะนั้น ก็ยังบอกว่า "การแข่งขันฟุตบอลไทยในโปรแกรมต่างๆ ที่มีวงรอบอยู่แล้ว สามารถดำเนินต่อไปได้"
แต่ทว่า สมาคมก็ยังคงตัดสินใจยุติลีกอยู่ดี เพื่อการไว้ทุกข์ ให้รัชกาลที่ 9
คือจริงๆ ก็เข้าใจสมาคมอยู่เหมือนกัน เพราะบรรยากาศความเศร้าโศกในประเทศไทยตอนนั้น มันก็อบอวลประเทศไทยจริงๆ
แต่สุดท้าย มันก็เป็นเรื่องที่พวกเขา ต้องมาแก้ไขปัญหาอีกหลายอย่างในเวลาต่อมา เพราะทีมที่ตกชั้นก็โวย ใครจะไปยอมตกชั้นง่ายๆ ทั้งๆ ที่ยังแข่งไม่ครบ เช่นเดียวกับสื่อต่างชาติก็ประหลาดใจ ว่าไทยตัดจบกันแบบนี้เลยหรือ? รวมถึงผู้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ก็ไม่ได้แฮปปี้ เพราะไม่สามารถถ่ายเกมไทยลีกได้ครบ ตามสัญญาที่เซ็นกันไว้
ดังนั้น กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในเรื่องการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชมารดาของรัชกาลที่ 10 ถ้าเราอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น และการตัดสินใจของบรรพชนในรุ่นก่อนๆ
จะเห็นว่า ทั้งรัชกาลที่ 6 และ รัชกาลที่ 7 ต่างส่งเสริมให้การแข่งขันกีฬา มีขึ้นโดยปกติ แม้จะมีการสวรรคตของราชวงศ์เกิดขึ้นก็ตามที
แปลว่า ณ วันนี้ ฟุตบอลไทยทุกระดับ และการแข่งขันกีฬาทุกประเภท สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยไม่ต้องยกเลิก เพียงแต่อาจแสดงออกการไว้อาลัย ด้วยวิธีต่างๆ เช่นการยืนสงบนิ่งก่อนเกม หรือสวมปลอกแขนสีดำ เป็นต้น
จริงๆ แล้ว เราคงพอเห็นได้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ ทั้ง 2 พระองค์ รัชกาลที่ 6 และ รัชกาลที่ 7 มีวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมอย่างยิ่ง ตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว
นั่นคือ งานเศร้า งานอาลัย ก็ดำเนินต่อไป สามารถทำได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องยกเลิกการแข่งขันกีฬา ที่สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมพลานามัยของประชาชน
ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/1CvSXsSA6E/