หลายๆคนเคยบอกว่า คนรุ่นใหม่ๆ อายุราวๆ 20 ปี คงจะไม่เข้าใจว่า ทำไมคนไทยถึงรักในหลวง
คำพูดดังกล่าวคงไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะกับเด็กอายุ 25 ปี คนนี้
เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดวามประทับใจเกิดจาก เมื่อประมาณ 3 ปี ที่แล้ว สมัยเรียนอยู่ชั้นปริญญาตรี ปี 3 (ตอนนั้นอายุ 22 ปี)ฉันได้มีโอกาสไปทำค่าย ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ ค่ายดังกล่าวเป็นค่ายที่ต้องลงไปเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในชุมชนเป็นเวลา 5 วัน 4 คืน ด้วยความที่พวกเราพากันไปเกือบร้อยชีวิต จึงทำให้น้ำประปาที่หมู่บ้านแห่งนั้นไม่พอใช้
ฉันจึงได้สอบถามไปยังผู้ใหญ่บ้านแห่งนั้นว่า 'ปกติน้ำไม่ไหล น้ำไม่พอใช้เป็นบ่อยหรือเปล่า'
ฉันได้คำตอบว่า 'บ่อยอยู่ โดยเฉพาะหน้าแล้ง มีปํญหาประจำ พอดีหมู่บ้านใช้ประปาภูเขา ไม่ได้ใช้ประปาต่อท่อเหมือนคนในเมือง ถ้าอยากไปดูว่า ประปาภูเขาเป็นยังไง พรุ่งนี้จะพาไปดู'
วันรุ่งขึ้นผู้ใหญ่ก็พาฉันและเพื่อนๆอีกประมาณ 2-3 คน ไปดูประปาภูเขา แล้วเล่าเพิ่มเติมว่า 'เวลาหน้าแล้งนะ ชาวบ้านตบตีกันแย่งน้ำตลอด บางทีก็มีแอบมาตัดท่อประปา แล้วเอาน้ำไปใช้เองด้วย'
หลังจากที่ฉันและเพื่อนๆได้ไปดูประปาภูเขาและรับทราบปัญหาดังกล่าว จึงคิดว่า น่าจะมีวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวให้มีน้ำใช้อย่างถาวรได้ แต่ติดที่ว่า ฉันและเพื่อนๆ ตอนนั้นอายุเพียง 22 ปี เท่านั้น เรื่องดังกล่าวคงใหญ่เกินไปกว่าเด็กอายุน้อยกลุ่มหนึ่งจะทำได้
อยู่ดีๆเพื่อนคนนึงบอกกับฉันว่า พ่อของเขาเป็นทหารทำงานในโครงการของพระเทพอยู่ ทันใดนั้น ฉันจึงเกิดความคิดว่า ในหลวงท่านน่าจะช่วยเรื่องนี้ได้ เพราะถ้าจะรองบประมาณหรือการแก้ปัญหาจากทางราชการก็คงใช้เวลานานโข
หลังกลับมาจากค่ายดังกล่าว ฉันบรรจงเขียนเรื่องราวและปัญหาเกี่ยวกับน้ำที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนั้น ครั้นเมื่อบรรจงร้อยเรียงเรื่องราวเสร็จ ก็ทำการเขียนหน้าซองจดหมาย โดยประโยคสุดท้ายที่ฉันเขียนบนซองจดหมายดังกล่าวก็คือ ช่องชื่อผู้รับว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช'
หลังจากนั้น ฉันจึงไปยังที่ทำการไปรษณีย์และส่งจดหมายดังกล่าว พนักงานไปรษณีย์ที่รับจดหมายดังกล่าวทำหน้าเหมือนกำลังคิดอยู่ในใจว่า 'เอาแบบนี้เลยหรอ' ซึ่งถ้าพนักงานไปรษณีย์คนนั้นคิดแบบนั้นจริง ฉันก็คงตอบว่า 'ไม่มั่นใจเหมือนกันว่า ท่านจะทรงรับฟังเสียงเล็กๆของเด็กอายุ 22 ปี กลุ่มหนึ่งหรือเปล่า'
เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน ฉันไม่ได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับจดหมายดังกล่าวแต่อย่างใด จนคิดไปเองว่า ตอนนี้ท่านคงทรงงานเยอะ อาจจะไม่ว่างดูเรื่องดังกล่าวให้เรามั้ง หลังจากนั้นไม่กี่วัน มีเบอร์โทรศัพท์ที่ขึ้นด้วยเลข 02 โทรมายังโทรศัพท์ของฉัน ปกติฉันจะไม่รับเบอร์แปลก แต่วันนั้นอะไรดลจิตดลใจไม่ทราบ จึงตัดสินใจรับสายดังกล่าว โดยบทสนทนาในสายดังกล่าวเริ่มด้วย
ท่านหนึ่ง 'สวัสดีครับ นั่นใช่คุณ.......หรือเปล่าครับ'
ฉัน 'ใช่ครับ'
ท่านหนึ่ง 'โทรมาจากสำนักพระราชวังนะครับ เรื่องที่คุณส่งมายังในหลวงท่าน ขอแจ้งให้ทราบว่า เรื่องดังกล่าวต้องใช้ผู้ใหญ่บ้านในฐานะที่เป็นหัวหน้าชุมชน เป็นคนดำเนินการนะครับ โดยให้ผู้ใหญ่เตรียมเอกสาร 1 2 3 4 แล้วเขียนเหมือนโครงการส่งมายังสำนักพระราชวังอีกทีนะครับ'
ตอนนั้น เป็นอะไรที่ฉันอึ้งมาก เพราะไม่คิดมาก่อนว่า ในหลวงท่านจะทรงรับฟังเสียงเล็กของเด็กกลุ่มหนึ่ง เหตุการณ์ดังกล่าวจึงเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กอายุ 22 ปี ในขณะนั้น มีความประทับต่อในหลวงจนถึงวันนี้
วันนี้ วันที่มีพิธีเคลื่อนพระบรมศพ แม้จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้เป็นวันหยุดราชการซึ่งคนบางส่วนเลือกที่จะกลับบ้านก็ตาม แต่ฉันก็ไม่ลังเลใจที่จะเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง เพื่อเฝ้าในหลวงซึ่งทรงฟังเสียงประชาชนทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย
ความประทับของเด็กอายุ 25 ปี ที่มีต่อในหลวง
คำพูดดังกล่าวคงไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะกับเด็กอายุ 25 ปี คนนี้
เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดวามประทับใจเกิดจาก เมื่อประมาณ 3 ปี ที่แล้ว สมัยเรียนอยู่ชั้นปริญญาตรี ปี 3 (ตอนนั้นอายุ 22 ปี)ฉันได้มีโอกาสไปทำค่าย ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ ค่ายดังกล่าวเป็นค่ายที่ต้องลงไปเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในชุมชนเป็นเวลา 5 วัน 4 คืน ด้วยความที่พวกเราพากันไปเกือบร้อยชีวิต จึงทำให้น้ำประปาที่หมู่บ้านแห่งนั้นไม่พอใช้
ฉันจึงได้สอบถามไปยังผู้ใหญ่บ้านแห่งนั้นว่า 'ปกติน้ำไม่ไหล น้ำไม่พอใช้เป็นบ่อยหรือเปล่า'
ฉันได้คำตอบว่า 'บ่อยอยู่ โดยเฉพาะหน้าแล้ง มีปํญหาประจำ พอดีหมู่บ้านใช้ประปาภูเขา ไม่ได้ใช้ประปาต่อท่อเหมือนคนในเมือง ถ้าอยากไปดูว่า ประปาภูเขาเป็นยังไง พรุ่งนี้จะพาไปดู'
วันรุ่งขึ้นผู้ใหญ่ก็พาฉันและเพื่อนๆอีกประมาณ 2-3 คน ไปดูประปาภูเขา แล้วเล่าเพิ่มเติมว่า 'เวลาหน้าแล้งนะ ชาวบ้านตบตีกันแย่งน้ำตลอด บางทีก็มีแอบมาตัดท่อประปา แล้วเอาน้ำไปใช้เองด้วย'
หลังจากที่ฉันและเพื่อนๆได้ไปดูประปาภูเขาและรับทราบปัญหาดังกล่าว จึงคิดว่า น่าจะมีวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวให้มีน้ำใช้อย่างถาวรได้ แต่ติดที่ว่า ฉันและเพื่อนๆ ตอนนั้นอายุเพียง 22 ปี เท่านั้น เรื่องดังกล่าวคงใหญ่เกินไปกว่าเด็กอายุน้อยกลุ่มหนึ่งจะทำได้
อยู่ดีๆเพื่อนคนนึงบอกกับฉันว่า พ่อของเขาเป็นทหารทำงานในโครงการของพระเทพอยู่ ทันใดนั้น ฉันจึงเกิดความคิดว่า ในหลวงท่านน่าจะช่วยเรื่องนี้ได้ เพราะถ้าจะรองบประมาณหรือการแก้ปัญหาจากทางราชการก็คงใช้เวลานานโข
หลังกลับมาจากค่ายดังกล่าว ฉันบรรจงเขียนเรื่องราวและปัญหาเกี่ยวกับน้ำที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนั้น ครั้นเมื่อบรรจงร้อยเรียงเรื่องราวเสร็จ ก็ทำการเขียนหน้าซองจดหมาย โดยประโยคสุดท้ายที่ฉันเขียนบนซองจดหมายดังกล่าวก็คือ ช่องชื่อผู้รับว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช'
หลังจากนั้น ฉันจึงไปยังที่ทำการไปรษณีย์และส่งจดหมายดังกล่าว พนักงานไปรษณีย์ที่รับจดหมายดังกล่าวทำหน้าเหมือนกำลังคิดอยู่ในใจว่า 'เอาแบบนี้เลยหรอ' ซึ่งถ้าพนักงานไปรษณีย์คนนั้นคิดแบบนั้นจริง ฉันก็คงตอบว่า 'ไม่มั่นใจเหมือนกันว่า ท่านจะทรงรับฟังเสียงเล็กๆของเด็กอายุ 22 ปี กลุ่มหนึ่งหรือเปล่า'
เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน ฉันไม่ได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับจดหมายดังกล่าวแต่อย่างใด จนคิดไปเองว่า ตอนนี้ท่านคงทรงงานเยอะ อาจจะไม่ว่างดูเรื่องดังกล่าวให้เรามั้ง หลังจากนั้นไม่กี่วัน มีเบอร์โทรศัพท์ที่ขึ้นด้วยเลข 02 โทรมายังโทรศัพท์ของฉัน ปกติฉันจะไม่รับเบอร์แปลก แต่วันนั้นอะไรดลจิตดลใจไม่ทราบ จึงตัดสินใจรับสายดังกล่าว โดยบทสนทนาในสายดังกล่าวเริ่มด้วย
ท่านหนึ่ง 'สวัสดีครับ นั่นใช่คุณ.......หรือเปล่าครับ'
ฉัน 'ใช่ครับ'
ท่านหนึ่ง 'โทรมาจากสำนักพระราชวังนะครับ เรื่องที่คุณส่งมายังในหลวงท่าน ขอแจ้งให้ทราบว่า เรื่องดังกล่าวต้องใช้ผู้ใหญ่บ้านในฐานะที่เป็นหัวหน้าชุมชน เป็นคนดำเนินการนะครับ โดยให้ผู้ใหญ่เตรียมเอกสาร 1 2 3 4 แล้วเขียนเหมือนโครงการส่งมายังสำนักพระราชวังอีกทีนะครับ'
ตอนนั้น เป็นอะไรที่ฉันอึ้งมาก เพราะไม่คิดมาก่อนว่า ในหลวงท่านจะทรงรับฟังเสียงเล็กของเด็กกลุ่มหนึ่ง เหตุการณ์ดังกล่าวจึงเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กอายุ 22 ปี ในขณะนั้น มีความประทับต่อในหลวงจนถึงวันนี้
วันนี้ วันที่มีพิธีเคลื่อนพระบรมศพ แม้จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้เป็นวันหยุดราชการซึ่งคนบางส่วนเลือกที่จะกลับบ้านก็ตาม แต่ฉันก็ไม่ลังเลใจที่จะเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง เพื่อเฝ้าในหลวงซึ่งทรงฟังเสียงประชาชนทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย