เมื่อ แม่แก่มาก เดินไม่ไม่ช่วยตัวเองไม่ได้ เบื่อไม่อยากมีชีวิตอยุ่ แล้วลูกจะทำอย่างไร?

ขอเล่าเรื่องแม่ของผมอายุ 91 ย่าง 92 คือ เต็ม 92 ธันวาคมนี้  
     ขอท้าวความหลังก่อน  

      ปี 2554 ผมเกิดลิ้มเลือดอุดตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลัด ตายกับเป็นอัมพาตอัมพฤต พอๆ กัน ถ้าไม่เกิดสติฉับไว ปัญญาเท่าทันในขณะเกิด แต่ก็ผ่านพ้นมาได้  แต่มีผลข้างเคียงอยู่ คือยังไม่ปกติ ประกองคอยพื้นด้วยกรรมฐาน ที่ประกอบด้วย สติอยู่ตลอด ปัญญาก็สังเกตวิเคราะห์ตนเอง ถึงขอบเขตสภาวะของโรค ให้อยู่ในช่วงที่ดำเนินงานที่ทำอยู่ได้โดยไม่เสียงาน และเมื่อถึงจุดฟีก(วิกฤตของโรค) ก็เข้าสมาธิก่อนทันที จึงประกอบการงานและรักษางานไว้ได้ และดำเนินชีวิตไปตามปกติ ทั้งที่ข้างในมันแขว่งอย่างมาก

       แต่ปรมาณปี 2555-2556  แม่ผมเกิดความดันเลือดสูงจนเส้นเลือดฝอยในสมองแม่แตก เป็นอัมพฤตถาวร คือพอเดินได้แต่ต้องใช้ เวอกเกอร์ หรือไม้ค้ำเดิน จึงให้แม่ไปพักฟื้นที่ศูนย์ดูแลผู้ป่อยละคนชรา เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งแม่ชอบมาก แต่แม่เองต้องตัดใจเพราะรู้ว่าลูกสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว  พี่ๆ และผม จึงสรุปให้แม่ไปอยู่กับพี่ชายทางใต้ไกลจากผมมาก ด้วยเพราะรายจ่ายของผมที่มีอยู่ ไม่พอที่จะให้แม่อยู่ศูนย์ดูแลที่กรุงเทพฯ ได้ ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ประมาณ 18.000 บาทต่อเดือน ซึ่งผมต้องผ่อนบ้าน 2 หลัง และ ลูก 2 คนกำลังเรียนอยู่  

       แต่แล้วแม่ก็ล้มลงถึง 2 ครั้ง จนเดินไม่ได้  นี้แหละวิบากกรรมเมื่อมีช่องย่อมส่งผลทันที่ซ้ำจนได้ แต่ผมก็ได้แนะนำแม่ตั้งแต่ต้น(พูดบ่อยๆ เมื่อไปหาเยียมท่าน)ให้ท่านกำหนดกรรมฐานตามพื้นฐานที่ท่านได้ทำมา คือดู ลมหายใจ ภาวนา พุทธ-โธ  และให้พิจารณาท่องในใจ

     "เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา  นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา" ๆ  ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เนื่องๆ

      ผมก็ถามว่า แม่เครียดไหม เบื่อไหม?  แม่ก็บอกแบบทุกข์ใจเป็นประจำว่า แม่เบื่อมาก ตายไปเสียดีกว่า ไม่รู้อยู่ไปทำไม?

      ผมก็ปลอบ แม่บ่อยๆ ว่า "คนเรา อยากตายก็เป็นทุกข์นะแม่ เมื่อมันยังไม่ถึงเวลาตาย คิดไปก็จะเคลียดทุกข์เปล่าๆ  ปล่อยวางเสีย พิจารณาว่าถึงเวลาตายมันก็ตายเอง"

       แม่ก็บอกว่า "ลำบากลูก ทั้งเสียเงินเสียเวลากับแม่มาก" แม่ก็พูดทำนองนี้อยู่บ่อย ๆ มาก และพูดอีกว่า ถ้าไม่มีผม ก็จะยิ่งลำบากใหญ่ (ออ.. หมายเหตุ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ตกอยู่ที่ผมพี่คนอื่นก็ช่วยบ้างแต่ไม่มาก ซึ่งผมเป็นลูกคนสุดท้อง จ่ายค่าเลี้ยงดูให้พี่)
          
       ผมก็ต้องปลอบแม่ว่า "แม่ไม่ต้องกลัว ลูกไม่ปลอยให้แม่ลำบากไปกว่านี้ ถึงอย่างไรลูกก็จะทำให้แม่อยู่ได้อย่างเหมาะสมที่สุดไม่ลำบากตามกำลังที่มี แม่ไม่ต้องกลัวลูกยังอยู่"  และผมก็หาไฟล์ธรรมะ พระเทศสนาที่เป็น usb ให้แม่ฟัง แม่ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง.

        ผมรู้แล้วตั้งแต่ต้นแล้วว่า เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 ปี ปัญหาต้องเกิด แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้  รู้อยู่ว่า พี่และภรรยาที่ดูแลแม่ ต้องเบื่อต้องเครียดรู้สึกเปรียบเทียบ เพราะไม่มีเวลาไปใหนมาใหนไกล ๆ หลายวันได้ บวกกับค่าเงินตกฉับพลัน ด้วยค่าแรงเพิ่มขึ้น 300 บาทต่อวัน ในช่วงนั้น จึงเกิดระหองระแหงกับพี่คนอื่นๆ ที่ขอลดเงินให้แม่ เพราะพี่ไม่มีรายได้แล้ว โดยผมได้ขอร้องพี่คนที่จ่ายประจำ(มีคนเดียว)นั้นว่า อย่าลดเลยพี่ ส่วนน้องจะจ่ายเพิ่มเอง ทั้งที่เงินเดือนผมนั้นได้ตันมาเป็นปีแล้ว

        ส่วนผมก็รีบโปะผ่อนบ้านให้หมดไปก่อน 1 หลัง เพราะรู้แล้วว่า แผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันไม่หาย แต่ความกดดันจะไปลงอยู่ที่แม่เป็นหนังหน้าไฟ ส่วนผมก็พยายามประกองความสัมพันธ์ระหว่างพี่ๆ ให้ดีที่สุด คือดับไฟที่กำลังปะทุ และตัวเองก็จะไม่กลายเป็นผู้ที่จุดหรือทำให้ไฟปะทุเพิ่มขึ้น และเงินโบนัสผมก็ไม่ได้แล้ว  คือระดับบริหารไม่ได้โบนัส แต่ผมก็ไม่กระทบเพราะ ไม่ต้องผ่อนบ้านไปแล้วหนึ่งหลัง กดดันเรื่องแม่มี แต่ผมอดทนไม่ไปเครียด วางใจเป็นกลางอุเบกขาเพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม แม้แต่ตัวเราเอง.

      ผมต้องรีบผ่อนบ้านหลังที่สองให้หมดโดยเร็ว เพราะจิตใจแม่เริ่มแย่แล้ว และจะแย่ลงไปอีก แต่ผมก็ทำไม่ได้ดังใจเพราะไม่มีรายได้พิเศษเสริมเลยสำหรับผม แต่ผมก็ไม่ร้อนรนจนเป็นทุกข์  รอเวลา 1 ปีผมก็โปะบ้านหลังที่ 2 จบ ผมมีเงินสดในมือเพียงแสนกว่าบาท เองตอนนั้นอายุก็ 57 ปีแล้ว ผมประเมินแล้วว่าถ้าผมไม่มีปัญหาเรื่องแม่ คือจ่ายแบบเดิมๆ ที่ผ่านมา ผมก็จะมีเงินเก็นบวกเงินเกษียณส่วนตัว เมื่ออายุครบ 60 ปี ประมาน 2 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน และมีเงินหลังเกษียณแบบบำนาณโดยไม่ต้องทำอะไร อีกเดือนละประมาณ  10,000 บาท

      แต่ผมยอมสละเงินที่จะเก็บได้จากนี้ไปประมาณ ล้านกว่าบาท ให้แม่ เพื่อรักษาจิตใจแม่ และให้แม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องมีทุกข์น้อยลง ที่ได้รับความกดดันระหว่างพี่น้อง  คือยอมไม่มีเงินเก็บสำรอง รอเงินเกษียณอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่แน่นอนเลย ผมจึงรับแม่มาอยู่ศูนย์ดูแลคนชราและผู้ป่วยเอกขนในกรุงเทพฯ จ่ายต่อเดือน 22,000 บาท เมื่อร่วมค่าอย่างอื่น เฉลี่ย อยู่ที่ 25,000 บาท  แม่มาอยู่เพียง 4 เดือน ค่าใช้จ่ายมากกว่าแสนบาทไปแล้ว และเป็นช่วงที่ ระดับผู้บริหารบริษัทอย่างผมต้องสละเงินเดือน 7 % เพื่อรักษาสภาพคร่องบริษัทไว้ (ปัจจุบันพ้นวิกฤตนั้นไปแล้ว และเป็นช่วงที่มีผู้เสนอเงินเดือนไม่ต่ำกว่าแสนให้ผม แต่ผมขอปฏิเสธไปเพราะผมมีโปรเจ็กส่วนตัวอยู่แล้ว และด้วยอายุก็มากแล้วกลัวทำไม่ได้ตามเงินที่จ้าง แต่คนที่รู้จักผมแม้ผู้รวมงานเก่าที่ผ่านมานานแล้วเขาไม่กลัวเรื่องงานว่าผมทำไม่ได้  แต่กลัวสุขภาพหผมไหวหรือ มากกว่า ) แต่...

      ยิ้มๆ... เหตการณ์นี้ ทำให้พี่ที่เคยตัดแม่ตัดลูกกันแล้ว ที่ผมเคยกังวลใจถึงวิบากกรรม พลิกกลับสมานสัมพ้นธ์กันได้ ยอมมาช่วยผมและแม่ แม้จะไม่มากนัก แต่ไม่ทำให้ผมเข้าเนื้อเอาเงินเก็บที่มีเพียงเล็กน้อยมาจ่ายจนหมด และคืนดีกับแม่ได้อย่างสนิท การรักษาความสัมพันธ์ เพี่อแก้กรรมหนักที่อาจแก้ไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยเวลา และจังหวะจริงๆ  

      และจิตใจแม่ดีขึ้นอย่างมากมาย ไม่เกิดสภาวะเครียดกดดันอีกแล้ว  แต่ก็ทุกข์เรื่องสังขารตัวเอง แล้วกลัวว่าผมจ่ายไม่ไหว อยู่ไปทำไม? ผมก็ปลอบแม่ว่า ไม่ต้องกังวล  ลูกจ่ายได้ เพราะโปะบ้านที่ดินหมดแล้ว ไม่มีหนีสินแล้ว แม่เปรยๆ ว่า ถ้าไม่มีผมแม่คงลำบากแย่จริงๆ ผมก็ปลอบไปทำนองว่า แม่อย่าคิดมากเลยผมยังอยู่  ย่อมหาทางที่เหมาะที่สุดเพื่อไม่ให้แม่ลำบาก
      ผมก็คิดในใจและภูมิใจที่ผมได้ฟื้นจิตใจแม่ผมขึ้นมาได้แล้ว จะได้มีใจปลอดโปร่งสว่างก่อนจากโลกนี้ไป.    

       แม่ผมไม่มีสิทธิ์ในการรักษา(กรรมเป็นเช่นนั้นเอง เป็นคนต่างด้าวอยู่เมืองไทยถาวร) คือต้องจ่ายเงินทั้งหมด  ดังนั้นผมจึงเลือกรักษาโรงพยาบาลรัฐบาลใน กทม. ถ้าเอกชนผมมีเงินเก็บอยู่ไม่ถึง 2 แสนบาท ผมจ่ึงไม่มีเงินจ่าย เพราะหนักไปกับจ่ายที่ศูนย์ดูแลหมดแล้ว

       แต่ผู้ที่แก่ชรา โรคหนักย่อมมาถามหาเป็นธรรมดา ทั้งที่มีหมอมาดูแล และมีกายภาพบำบัดอาทิตย์ละครั้งที่ศูนย์ แม่น้ำท่วมปอด ตัวบวมกินยา แต่ออกชิเจนในเลือดน้อยลงต้องเข้าโรงพยาบาล มีค่าใช้จ่ายค่ารถพยาบาล ไปกลับ 1,500 บาท ถ้าไปหรือกลับอย่างเดียว 1,000 บาท แม่ต้องให้ยาอยู่โรงพยาบาล  เพียง 2-3 วัน แม่ขอร้องกลับศูนย์ดูแล ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลวันแรก คือแม่ไม่อยากรักษาแล้วนั้นเอง

       ร่วมค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลประมาณ 10,000 บาท ถือว่าไม่แพง แต่หนักสำหรับพี่ 2 คน (พี่ 2 คนก็เห็นว่าจ่ายหนักมาก รวมทั้งคิดแทนผม จึงเสนอผมให้ย้ายหาศูนย์ใหม่ ที่ราคาย่อมเยากว่านี้ พี่ก็ทู้ซี่ บอกผมหลายครั้งที่เดียว) และไม่เกินอาทิตย์ต้องกลับมาหาหมอเช็ดอาการอีกเพราะไม่มีเตียงให้อยู่ยาว
       แม่เคลื่อนไปโรงพยาบาลทุกครั้งผมก็จ่ายครั้งละ 1,500 บาท เป็นค่ารถพยาบาล ไปครั้งนี้หมอบอกว่ายังมีเชื่ออยู่ ต้องให้ยาติดต่อกันไปอีก 3 วัน แต่ให้ไปเช้า-เย็นกลับ ไม่มีเตียงให้นอน เสียค่ายาโรงพยาบาลไปประมาณ 4-5 พัน และให้มารักษาให้ยาที่โรงบาลครบกำหนด  

        แต่แม่คงบอบช้ำในการเดินทางและรอการรักษาพอควร จนไม่อยากไปโรงพยาบาลอีก แล้วแม่ก็เริ่มเพ้อที่ศูนย์ดูแล แต่ผมยังไม่ทราบชัดต่อหน้า  และเวลาปกติพูดแล้วฟังยากขึ้นจับคำพูดได้ยากขึ้นไม่รู้ว่าพูดคำอะไร ปกติก็ฟังอยากอยู่แล้วด้วยอัมพฤตที่เป็นอยู่ ผู้ดูแลก็แจ้งให้ผมทราบ  แล้วผมก็คุยกับแม่ตามปกติ แต่ฟังแม่พูดแล้วจับใจความไม่คอยได้ เหมือนลิ้นในการพูดของท่านมีปัญหาเพิ่มขึ้น ผมก็วิตกกังวลเหมือนกันหลังจากกลับจากเยี่ยมท่าน.
       ผมจึงหาศูนย์ดูแลใหม่ตามคำแนะนำของพี่ ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าถึง 5 - 6 พัน แต่ผมก็ยังรังเลไม่ตัดสินใจ เพียงแต่บอกว่าเมื่อผมตัดสินใจแล้วสามารถเรียกรถพยาบาลมารับได้ทันที ผมก็ไปเยี่ยมแม่ที่ศูนย์เดิมอีกครั้ง ตามที่เขียนไว้แล้วในกระทู้เก่า

http://pantip.com/topic/35621680
ความคิดเห็นที่ 8
   เป็นสภาพปกติ ของคนชรา สมองเริ่มเสื่อมลง แล้วเริ่มพูดคนเดียว เห็นโน้น เห็นนี้เป็นตุเป็นตะ  ยิ่งติดเชื้อด้วยจะเป็นหนัก.

    แม่ผมก็จะ 92 ปี ในธันวาคมนี้ ตอนติดเชื่อก็เพ้อ แต่ผมสัมผัสท่านเพ้อดี ขณะที่ไปเยียมท่าน ก็ให้ภาวนา พุทธ-โธ ตามที่เคยแนะนำให้ท่านฝึกเมื่อนานมาแล้ว  แล้วให้พิจารณาว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แม่ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง.

     ขณะที่นั่งคุยทั่วไปและบอกท่านอยู่  ท่านก็ถูมือตัวเองอยู่ แล้วท่านก็กระจายมือออก คลายกับรับหรือประกองอะไรสักอย่าง ปากท่านก็อุทานออกมาเบาๆ ว่า "อ่า ๆ ๆ " ตานั้นมองเหนือมือประกองอยู่  สักพัก ผมก็ถามท่านว่า  "เห็นอะไรหรือแม่" แม่ก็บอกว่า

     "เห็นดวงไฟสว่างใส ลอยขึ้น"

      หลังจากผมถามผู้ดุแลคนชราว่า "แม่เพ้อบ่อยไหม? "
      ผู้ดูแลบอกว่า "ไม่มาก แต่เริ่มเพ้อแล้ว"
      ผมถามว่า "ถามจริงๆ แม่ยังอยู่ได้นานใหม?"
      ผู้ดูแลบอกว่า "ตามประสบการณ์ที่ดูแลผู้ป่วยชรา ถ้าเริ่มเพ้อแล้วคงอยู่ไม่นาน"

      ผมก็ทำใจไว้แล้ว  แล้วย้ายแม่มาอยู่ที่ศูนย์ใหม่ ผู้ดูแลบอกว่า "คืนนั้นทั้งคือแม่ เริ่มพูดคนเดียว มีคนโน้นคนนี้มาคุยแต่ไม่เห็น" แต่แม่ไม่เพ้อในเรื่องที่หวาดกลัว หรือกลัว
      ในวันต่อมาแม่ก็เป็นปกติแล้ว แต่สภาพร่างกายทรุดไปจากเดิมอีกมาก หลับตานอนเป็นเสียส่วนมากไม่เพ้อแล้ว มีสติจำได้ดีคุยรู้เรื่อง แต่จะนอนหลับตาเป็นส่วนมาก.
  
        หมายเหตุ ตอนที่จะย้ายแม่มาที่ศูนย์ใหม่ ก็ได้ปรึกษาท่านแล้ว  เรื่องค่าใช้จ่ายลดลง แต่การดูแลอาจจะด้อยกว่าที่เดิมพอประมาณ แม่ก็บอกว่าแม่อยู่ได้ แล้วแต่ลูก  ผมจึงตัดสินใจย้ายเพราะด้วยเหตุต้องเอาเงินเก็บอันน้อยนั้นมาจ่ายแล้ว  ปัจจุบันแม่อาการดีขึ้นจากเดิมมาก มีสติดีจำได้ดีคุย รู้เรื่องฟังชัด แต่ร่างกายทรุดลงมากขึ้น และผมได้สอบถามแม่ว่า ที่ศูนย์ใหม่กับที่เก่า อะไรดีกว่า แม่บอกว่าที่เก่าดีกว่า ผมจึงถามว่า แล้วที่ใหม่กับที่อยู่กับพี่ที่ปักใต้อะไรดีกว่า แม่ตอบทันที่ว่า ที่นี้ดีกว่ามาก ผมจึงถามต่อไปว่า ที่นี้แม่อยู่ได้ใหม? แม่ก็บอกว่า อยู่ได้  แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว  

        ส่วนเรื่องไปโรงพยาบาล แม่ก็ไม่อยากไปแล้ว พี่ก็ไม่อยากพาไปแล้ว จิตใจแม่ก็พัฒนาขึ้นแล้ว ไม่เป็นแบบเก่าแล้ว  คงเป็นช่วงวิกฤตที่แม่เพ้อ และอ่อนแรงลงแม่คงลืมภาวนา แล้วก็ผมได้บอกในช่วงที่แม่พอได้สติตอนที่ไปเยียม จากเหนื่อยมากลืมตาขึ้นหายใจกระสับกะส่ายมองดู ผมก็บอก  .
        แม่อย่าลืมสติ รู้ลมหายใจ ภาวนา พุทธ-โธ เหมือนแม่รับฟังทำตาม หลับตานิ่ง ที่หายใจกระสับกระสายหายไป นานไปสักพักใหญ่ ก็ลืมตาขึ้นมา ผมเลยบอกแม่ต่อว่า  "มีสตินะแม่ ดูลมหายใจ พุทธ-โธ แล้วนึกในใจ ภาวนาว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา" แม่ก็ฟังแล้วหลับตานิ่งไปอีก พักใหญ่ แล้วลืมตาขึ้นมาอีก แล้วแม่บอกว่าแม่เหนื่อยแล้ว แล้วหลับตานิ่งสักพักหนึ่ง ผมจึงบอกแม่ว่า

         "แม่นอนนะ ลูกจะกลับแล้วนะ " แม่พยักหน้าผมก็กลับ

         เวลาที่ผมไปเยียมแม่แม้ไม่ได้มากนักแต่เวลานั้นมีคุณค่า  เมื่อแม่ฟื้นปกติแล้วไม่หลับตาเหนื่อยเหมือนแต่ก่อน ผมได้ถามแม่ว่า แม่เครียดไหม แม่บอกไม่ได้เครียด ผมจึงถามใหม่ว่า เบื่อไหม แม่ตอบทำนองว่า "เบื่อมากเป็นอย่างนี้ แต่อยู่ตามเวลาของมัน"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่