สวัสดีครับ ผมมีเรื่องมาแชร์ให้กับคนที่เป็นหัวหน้า
ผมทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลาง ดูแลทีมทั้งหมด 4 ทีม ซึ่งแต่ละทีมก็จะมีหัวหน้าทีมอีกทีนึง
เมื่อไม่นานมานี้ พึ่งมีน้องคนนึงมายื่นใบลาออก ด้วยเหตุผลที่ผมได้แต่รู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้
น้องคนนี้เป็นคนทำงานดี ผลงานประเมินได้ระดับดีทุกปีจากประวัติ แต่น้องเป็นเด็กรุ่นใหม่อายุ 20 กลางๆ
เรื่องมันเกิดขึ้นว่า
น้องคนนี้พึ่งย้ายมาจากแผนกอื่น มาสังกัดใต้ทีมที่ผมดูแลทีมนึง
ซึ่งหัวหน้าของทีมนั้นก็เป็นหัวหน้าที่สไตล์เก่านิดนึง คือชี้นิ้วสั่ง เอาความคิดตัวเองถูก ลูกน้องต้องทำตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่มันก็เป็นสไตล์ที่เด็กรุ่นใหม่จะไม่ค่อยชอบ
เมื่อกลางปีผมมีโอกาสได้คุยแบบ 1-1 กับน้อง ก็สัมผัสได้ว่าน้องเค้าเริ่มไม่มีความสุขกับการทำงาน เพราะไม่ชอบตัวหัวหน้า ซึ่งผมในฐานะผู้จัดการก็ได้แค่บอกให้ อดทน สู้งาน พยายามคิดบวก บอกว่าพี่เค้าก็เป็นแบบนี้แหละ (ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่ผมทำพลาด)
เวลาผ่านไปตัวน้องเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลง มาทำงานสายบ่อยขึ้น ความทุ่มเทลดลง คุณภาพงานลดลง ทีมเวิร์คน่อยลง
เมื่อเดือนที่แล้วน้องมาขอย้ายทีม เพราะไม่ชอบทำงานทีมนี้ แต่ทางผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะยังตองการให้ร้องทำงานกับทีม
และสุดท้ายผลก็ออกมาเป็นที่น้องมายื่นใบลาออก ซึ่งผมเองก็เสียใจที่ไม่ได้หาทางออกให้น้องที่ดีกว่านี้
เหตุการ์ณนี้ผมจึงอยากฝากบอกคนที่เป็นหัวหน้าหลายๆคนว่า
1. อย่าโทษแต่ว่าเด็กรุ่นใหม่ทำงานไม่อดทน สมัยนี้มันต่างจากสมัยก่อนเยอะครับ เพราะสมัยนี้เด็ก ไม่จำเป็นต้องอดทนก็ได้ ในเมื่อโลกข้างนอกมีงานหาคนเยอะกว่าคนหางาน
2. อย่าบอกให้น้อง "อดทน" โดยที่เราไม่หาทางช่วยเหลือน้อง การอดทนมันทำได้แค่ชั่วคราว ซึ่งคนที่ยอมอดทนคือเค้ายังรอความหวังว่าอะไรมันจะดีขึ้น
3. การคิดบวกเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ใช่ Ultimate Solution ที่แก้ไขได้ทุกปัญหา ปัญหาบางอย่างมันต้องการ Action ที่จับต้องได้มากกว่าการปรับความคิด
4. การที่ลูกน้องไม่ชอบหัวหน้า มันไม่เสมอไปว่าจะเป็นเพราะลูกน้องแย่ หรือหัวหน้าแย่ บางทีมันเป็นแค่การที่คนสองคนไม่ชอบสไตล์ของอีกคน ทางที่ดีเราควรเข้าใจ และหาทางออกให้เค้าเจอคนที่ถูกสไตล์กันดีกว่าให้เค้ารับสภาพและบอกว่า "เค้าก็เป็นแบบนี้"
5. ท้ายที่สุด ถ้าน้องอดทนแล้ว ปรับตัวก็แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำงานร่วมกับหัวหน้าได้ ก็อย่ารั้งน้องไว้ครับ บางทีหัวหน้าจะมองแค่เรื่อง Headcount, Resource หรืออะไรที่เป็นตัวเลข แต่ไม่ได้เข้าใจถึงความรู้สึกของคนปฏิบัติงาน
ฝากถึงคนที่เป็นหัวหน้า อย่าบอกให้น้องๆเอาแต่ "อดทน" โดยไม่ช่วยน้องนะครับ
ผมทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลาง ดูแลทีมทั้งหมด 4 ทีม ซึ่งแต่ละทีมก็จะมีหัวหน้าทีมอีกทีนึง
เมื่อไม่นานมานี้ พึ่งมีน้องคนนึงมายื่นใบลาออก ด้วยเหตุผลที่ผมได้แต่รู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้
น้องคนนี้เป็นคนทำงานดี ผลงานประเมินได้ระดับดีทุกปีจากประวัติ แต่น้องเป็นเด็กรุ่นใหม่อายุ 20 กลางๆ
เรื่องมันเกิดขึ้นว่า
น้องคนนี้พึ่งย้ายมาจากแผนกอื่น มาสังกัดใต้ทีมที่ผมดูแลทีมนึง
ซึ่งหัวหน้าของทีมนั้นก็เป็นหัวหน้าที่สไตล์เก่านิดนึง คือชี้นิ้วสั่ง เอาความคิดตัวเองถูก ลูกน้องต้องทำตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่มันก็เป็นสไตล์ที่เด็กรุ่นใหม่จะไม่ค่อยชอบ
เมื่อกลางปีผมมีโอกาสได้คุยแบบ 1-1 กับน้อง ก็สัมผัสได้ว่าน้องเค้าเริ่มไม่มีความสุขกับการทำงาน เพราะไม่ชอบตัวหัวหน้า ซึ่งผมในฐานะผู้จัดการก็ได้แค่บอกให้ อดทน สู้งาน พยายามคิดบวก บอกว่าพี่เค้าก็เป็นแบบนี้แหละ (ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่ผมทำพลาด)
เวลาผ่านไปตัวน้องเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลง มาทำงานสายบ่อยขึ้น ความทุ่มเทลดลง คุณภาพงานลดลง ทีมเวิร์คน่อยลง
เมื่อเดือนที่แล้วน้องมาขอย้ายทีม เพราะไม่ชอบทำงานทีมนี้ แต่ทางผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะยังตองการให้ร้องทำงานกับทีม
และสุดท้ายผลก็ออกมาเป็นที่น้องมายื่นใบลาออก ซึ่งผมเองก็เสียใจที่ไม่ได้หาทางออกให้น้องที่ดีกว่านี้
เหตุการ์ณนี้ผมจึงอยากฝากบอกคนที่เป็นหัวหน้าหลายๆคนว่า
1. อย่าโทษแต่ว่าเด็กรุ่นใหม่ทำงานไม่อดทน สมัยนี้มันต่างจากสมัยก่อนเยอะครับ เพราะสมัยนี้เด็ก ไม่จำเป็นต้องอดทนก็ได้ ในเมื่อโลกข้างนอกมีงานหาคนเยอะกว่าคนหางาน
2. อย่าบอกให้น้อง "อดทน" โดยที่เราไม่หาทางช่วยเหลือน้อง การอดทนมันทำได้แค่ชั่วคราว ซึ่งคนที่ยอมอดทนคือเค้ายังรอความหวังว่าอะไรมันจะดีขึ้น
3. การคิดบวกเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ใช่ Ultimate Solution ที่แก้ไขได้ทุกปัญหา ปัญหาบางอย่างมันต้องการ Action ที่จับต้องได้มากกว่าการปรับความคิด
4. การที่ลูกน้องไม่ชอบหัวหน้า มันไม่เสมอไปว่าจะเป็นเพราะลูกน้องแย่ หรือหัวหน้าแย่ บางทีมันเป็นแค่การที่คนสองคนไม่ชอบสไตล์ของอีกคน ทางที่ดีเราควรเข้าใจ และหาทางออกให้เค้าเจอคนที่ถูกสไตล์กันดีกว่าให้เค้ารับสภาพและบอกว่า "เค้าก็เป็นแบบนี้"
5. ท้ายที่สุด ถ้าน้องอดทนแล้ว ปรับตัวก็แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำงานร่วมกับหัวหน้าได้ ก็อย่ารั้งน้องไว้ครับ บางทีหัวหน้าจะมองแค่เรื่อง Headcount, Resource หรืออะไรที่เป็นตัวเลข แต่ไม่ได้เข้าใจถึงความรู้สึกของคนปฏิบัติงาน