เรื่องมีอยู่ว่าผมใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงและใช้รถสาธารณะในการเดินทางไปไหนมาไหน
และสิ่งที่จะพบและเจออยู่ทุกๆครั้งคือการที่ผู้คนต้องแย่งกันขึ้นรถโดยสารโดยที่ไม่สนใจว่าใครจะมาก่อนมาหลัง
คิดเพียงแค่ว่าฉันจะต้องได้เป็นคนขึ้นเป็นคนแรกเพื่อจะได้นั่งในตำแหน่งที่ดีที่สุด
ไม่ว่าคนจะเยอะหรือจะน้อยแค่ไหนคนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะแย่งกันขึ้นเพื่อที่จะได้นั่งในที่ที่ดีที่สุด
ไม่ใช่แค่แย่งกันขึ้นแค่ตามป้ายรถเมล์ แม้งกระทั่งขึ้นรถที่อู่โดยสารเองจำนวนคนที่ยืนรอรถมีไม่ถึง20คน
ทั้งๆที่รถสารมารถนั่งได้35ที่นั่งยืนอีก15ที่นั่ง แต่ทุกคนก็ยังแย่งกันขึ้นไปนั่ง
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าสังคมไทยในยุคนี้มีการแข่งขันในชีวิตเพิ่มมากขึ้น
มองทุกอย่างในชีวิตเป็นการแข่งขันไปทั้งหมด บางครั้งถ้าเราหยุดมองสิ่งต่างๆรอบตัวให้มากขึ้น
เราจะพบว่าสิ่งที่เราเคยมองข้ามไปมีอยู่เยอะแยะมากมายในชีวิต
อย่างเช่นเรื่องที่นั่งบนรถเมล์ที่สามารถนั้งได้ถึง35คนที่มีเขียนไว้ที่ท้ายรถเมล์
และคนที่จะขึ้นรถมีเพียงแค่ไม่ถึง20คน เราก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องขึ้นไปนั่งเป็นคนแรกก็ได้เพราะยังไงเราก็ได้นั่งอยู่แล้ว
เพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไร กันบ้างมาแลกเปลี่ยนกันครับ
สังคมไทยเป็นสังคมแก่งแย่งชิงดีกันเกินไปไหม?
และสิ่งที่จะพบและเจออยู่ทุกๆครั้งคือการที่ผู้คนต้องแย่งกันขึ้นรถโดยสารโดยที่ไม่สนใจว่าใครจะมาก่อนมาหลัง
คิดเพียงแค่ว่าฉันจะต้องได้เป็นคนขึ้นเป็นคนแรกเพื่อจะได้นั่งในตำแหน่งที่ดีที่สุด
ไม่ว่าคนจะเยอะหรือจะน้อยแค่ไหนคนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะแย่งกันขึ้นเพื่อที่จะได้นั่งในที่ที่ดีที่สุด
ไม่ใช่แค่แย่งกันขึ้นแค่ตามป้ายรถเมล์ แม้งกระทั่งขึ้นรถที่อู่โดยสารเองจำนวนคนที่ยืนรอรถมีไม่ถึง20คน
ทั้งๆที่รถสารมารถนั่งได้35ที่นั่งยืนอีก15ที่นั่ง แต่ทุกคนก็ยังแย่งกันขึ้นไปนั่ง
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าสังคมไทยในยุคนี้มีการแข่งขันในชีวิตเพิ่มมากขึ้น
มองทุกอย่างในชีวิตเป็นการแข่งขันไปทั้งหมด บางครั้งถ้าเราหยุดมองสิ่งต่างๆรอบตัวให้มากขึ้น
เราจะพบว่าสิ่งที่เราเคยมองข้ามไปมีอยู่เยอะแยะมากมายในชีวิต
อย่างเช่นเรื่องที่นั่งบนรถเมล์ที่สามารถนั้งได้ถึง35คนที่มีเขียนไว้ที่ท้ายรถเมล์
และคนที่จะขึ้นรถมีเพียงแค่ไม่ถึง20คน เราก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องขึ้นไปนั่งเป็นคนแรกก็ได้เพราะยังไงเราก็ได้นั่งอยู่แล้ว
เพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไร กันบ้างมาแลกเปลี่ยนกันครับ