สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
เขาปฏิเสธไม่มีเยื่อใยแบบนี้ ยังจะเอามาข้องเกี่ยวกับชีวิตตัวเองและลูกอีกหรือ...
ถ้าคุณจดทะเบียนสมรสและหย่ากัน เด็กที่เกิดภายใน 310 วัน นับจากวันหย่า ถือว่าเป็นลูกของคุณกับ (อดีต) สามี แต่ถ้าคุณไม่ได้จดทะเบียนสมรส คุณต้องให้ศาลสั่ง ขอตรวจดีเอ็นเอ พอพิสูจน์ได้ว่าเป็นพ่อลูกกันจริง ก็ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดู...
มันไม่ง่ายนะ บอกก่อน... ต่อให้มีคำสั่งศาล สั่งให้จ่ายค่าเลี้ยงดู พ่อตัวอย่าง (เลวๆ) หลายต่อหลายคน จ่ายมั่งไม่จ่ายมั่ง หรือจ่ายอยู่สองสามเดือนแล้วก็หายหัวไป ตามไม่ได้ แต่พอลูกโตหน่อย จะมาเอาตัวไปค้างคืน ให้ไปหาปู่ย่า ฯลฯ จะพาลูกไปไหน ก็เล่นแง่ ทำให้มันยุ่งยากซะงั้น
ถ้าคุณตัดเขาออกไปจากชีวิตโดยสิ้นเชิงได้ เวลาแจ้งเกิด ไม่ต้องระบุชื่อพ่อ ในช่องบิดาจะเขียนว่า ไม่ปรากฏ
ข้อดีคือ คุณมีอำนาจสิทธิขาดในตัวบุตรแต่เพียงผู้เดียว ดียังไง... คุณเอาลูกเข้าเรียน ไปหาหมอ ทำธุรกรรมต่างๆ ทำพาสปอร์ต เดินทางไปต่างประเทศ ฯลฯ ไม่ต้องไปขออนุญาตใคร ไม่ต้องเอาพ่อไปเซ็นชื่อ ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิมาอ้างว่าเป็นปู่ย่า ฯลฯ
แต่ถ้าในสูติบัตรมีชื่อพ่อ ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ด้วย ไม่ได้เลี้ยงดู ไม่ได้ส่งเสีย แต่เวลาจะทำอะไรที่เกี่ยวกับลูก ต้องเอาตัวพ่อมาเซ็นยินยอมทุกเรื่องไป... ไม่สนุกนะคะ ยิ่งถ้าเลิกกันแบบจบไม่สวย
ลองพิจารณาดูเอานะคะ
ถ้าคุณจดทะเบียนสมรสและหย่ากัน เด็กที่เกิดภายใน 310 วัน นับจากวันหย่า ถือว่าเป็นลูกของคุณกับ (อดีต) สามี แต่ถ้าคุณไม่ได้จดทะเบียนสมรส คุณต้องให้ศาลสั่ง ขอตรวจดีเอ็นเอ พอพิสูจน์ได้ว่าเป็นพ่อลูกกันจริง ก็ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดู...
มันไม่ง่ายนะ บอกก่อน... ต่อให้มีคำสั่งศาล สั่งให้จ่ายค่าเลี้ยงดู พ่อตัวอย่าง (เลวๆ) หลายต่อหลายคน จ่ายมั่งไม่จ่ายมั่ง หรือจ่ายอยู่สองสามเดือนแล้วก็หายหัวไป ตามไม่ได้ แต่พอลูกโตหน่อย จะมาเอาตัวไปค้างคืน ให้ไปหาปู่ย่า ฯลฯ จะพาลูกไปไหน ก็เล่นแง่ ทำให้มันยุ่งยากซะงั้น
ถ้าคุณตัดเขาออกไปจากชีวิตโดยสิ้นเชิงได้ เวลาแจ้งเกิด ไม่ต้องระบุชื่อพ่อ ในช่องบิดาจะเขียนว่า ไม่ปรากฏ
ข้อดีคือ คุณมีอำนาจสิทธิขาดในตัวบุตรแต่เพียงผู้เดียว ดียังไง... คุณเอาลูกเข้าเรียน ไปหาหมอ ทำธุรกรรมต่างๆ ทำพาสปอร์ต เดินทางไปต่างประเทศ ฯลฯ ไม่ต้องไปขออนุญาตใคร ไม่ต้องเอาพ่อไปเซ็นชื่อ ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิมาอ้างว่าเป็นปู่ย่า ฯลฯ
แต่ถ้าในสูติบัตรมีชื่อพ่อ ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ด้วย ไม่ได้เลี้ยงดู ไม่ได้ส่งเสีย แต่เวลาจะทำอะไรที่เกี่ยวกับลูก ต้องเอาตัวพ่อมาเซ็นยินยอมทุกเรื่องไป... ไม่สนุกนะคะ ยิ่งถ้าเลิกกันแบบจบไม่สวย
ลองพิจารณาดูเอานะคะ
ความคิดเห็นที่ 6
มันไม่ใข่แค่เรื่อง ท้อง และ แฟน (ผู้พิการ)ทิ้งไปมีคนใหม่ (ผู้พิการเหมือนกัน)
จุดที่ควรมอง คือ เขาหมดความอดทน หลังจาก 9 ปี เขาเลือกทางใหม่แล้ว
หลายกระทู้ของคุณ คนอ่าน อ่านไปอึดอัดไป
เพราะคุณมอง คุณคิดถึง ตัวเอง เป็นอันดับหนึ่งเสมอ
(ปุถุชน ก็เป็นอย่างนั้น แบบที่คุณบอก ผู้หญิง ก็งี่เง่า เป็นเรื่องธรรมดา)
คนที่เคยปกติมา 20 กว่าปี จู่ๆมาพิการได้ 1-2 ปี
ชีวิตเขาต้องเปลี่ยนไปกระทันหัน สุขภาพจิตเขาจะกระเทือนแค่ไหน
คุณยังเรียกร้องให้เขาเหมือนเดิม เพราะคุณอุตส่าห์เสียสละ ไม่ทิ้งเขา
เมื่อเขาเจอคนที่เข้าใจเขามากกว่า เขาย่อมจากไป เพื่อใช้เวลาอีกหลายสิบปีในชีวิตเขา ตามใจเขาบ้าง
แต่คุณก็มาท้อง เขาบอกจะรับผิดชอบลูก อย่างไรยังไม่รู้ คิดไม่ทัน คนตาพิการคนหนึ่งจะทำอะไรได้แค่ไหน
คุณไม่พอใจ อยากให้เขามา รับผิดชอบแม่ ด้วย ให้ครอบครัวเขามารับรู้ จัดการ
ผู้ชายอายุ 35 เขาคงไม่ต้องการให้ พ่อแม่พี่น้อง มายุ่งเรื่องชีวิตครอบครัวส่วนตัวของเขา
ครอบครัวมีภาระเรื่อง ลูกชายพิการ ก็กลุ้มพอดูอยู่แล้ว
คุณจะเป็นแม่คนแล้ว ควรเป็นผู้ใหญ่สมวัย รับผิดชอบตัวเอง และลูก
ชีวิตจริง ไม่ใช่ละครทีวี ที่จะเขียนบทให้ใครทำอะไรๆ ถูกใจท่านผู้ชมได้ (โดนท่านผู้ชม ด่า ยังมีมากมาย)
อย่าทำให้คนรอบข้างอึดอัดใจ เหมือนคนอ่านกระทู้ของคุณเลย
จุดที่ควรมอง คือ เขาหมดความอดทน หลังจาก 9 ปี เขาเลือกทางใหม่แล้ว
หลายกระทู้ของคุณ คนอ่าน อ่านไปอึดอัดไป
เพราะคุณมอง คุณคิดถึง ตัวเอง เป็นอันดับหนึ่งเสมอ
(ปุถุชน ก็เป็นอย่างนั้น แบบที่คุณบอก ผู้หญิง ก็งี่เง่า เป็นเรื่องธรรมดา)
คนที่เคยปกติมา 20 กว่าปี จู่ๆมาพิการได้ 1-2 ปี
ชีวิตเขาต้องเปลี่ยนไปกระทันหัน สุขภาพจิตเขาจะกระเทือนแค่ไหน
คุณยังเรียกร้องให้เขาเหมือนเดิม เพราะคุณอุตส่าห์เสียสละ ไม่ทิ้งเขา
เมื่อเขาเจอคนที่เข้าใจเขามากกว่า เขาย่อมจากไป เพื่อใช้เวลาอีกหลายสิบปีในชีวิตเขา ตามใจเขาบ้าง
แต่คุณก็มาท้อง เขาบอกจะรับผิดชอบลูก อย่างไรยังไม่รู้ คิดไม่ทัน คนตาพิการคนหนึ่งจะทำอะไรได้แค่ไหน
คุณไม่พอใจ อยากให้เขามา รับผิดชอบแม่ ด้วย ให้ครอบครัวเขามารับรู้ จัดการ
ผู้ชายอายุ 35 เขาคงไม่ต้องการให้ พ่อแม่พี่น้อง มายุ่งเรื่องชีวิตครอบครัวส่วนตัวของเขา
ครอบครัวมีภาระเรื่อง ลูกชายพิการ ก็กลุ้มพอดูอยู่แล้ว
คุณจะเป็นแม่คนแล้ว ควรเป็นผู้ใหญ่สมวัย รับผิดชอบตัวเอง และลูก
ชีวิตจริง ไม่ใช่ละครทีวี ที่จะเขียนบทให้ใครทำอะไรๆ ถูกใจท่านผู้ชมได้ (โดนท่านผู้ชม ด่า ยังมีมากมาย)
อย่าทำให้คนรอบข้างอึดอัดใจ เหมือนคนอ่านกระทู้ของคุณเลย
แสดงความคิดเห็น
เพิ่งรู้ว่าตัวเองท้องหลังจากเลิกกับเค้า..เราไม่มิสิทธิ์ให้เค้ารับผิดชอบอะไรเลยหรอ? เราควรไปยังไงต่อ?
พอเราจับได้เราต้องกลายเป็นคนที่ถูกบอกเลิกด้วยเหตุผลที่ว่างี่เง่าเอาแต่ใจเกินไป ที่ผ่านมาเค้าทนมาตลอด!! แต่ทำไมก่อนหน้าที่จะมีคนอื่นก็ยังอยู่กับเราปกติ คือเราไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าบอกกับเราตรงๆ ว่าคุยกับใคร ทำไมต้องรอให้ความรู้สึกตัวเองถลำลึกไปกับอีกคนก่อน แล้วค่อยมาบอกว่าจะไม่ทนเรา คือมันไม่ยุติธรรมกับเราเลย เรามีเค้าคนเดียว ไม่เคยเปิดตัวเองให้คนอื่น แต่เค้าทำกับเราแบบนี้ T^T .... ช่างเป็นเหตุผลที่งี่เง่าสิ้นดี
เค้ามาหาเราวันที่ 5 ส.ค. ที่ผ่านมา เราเจอกันอยู่ด้วยกันปกติ แล้วเรามาจับได้เรื่องเค้ามีคนอื่นเมื่อ 13 ส.ค. เลิกกับเค้ามาจะ 2 เดือน เราเพิ่งไปตรวจว่าตัวเองท้อง คือ!! เราก็ไม่รู้ว่าทำไมโชคชะตาต้องเล่นตลกกับเรา ก่อนหน้านี้เราอยากมีลูกกับเค้าแทบตายแต่ก็ไม่มี แต่พอเค้าทิ้งเราไปเราก็ดันท้อง! แล้วอีกอย่างมันคือการผิดพลาด เราป้องกันมาตลอด แต่ครั้งนั้นเราว่า "เสื้อที่ใช้" อาจจะแตก เพราะหลังจากที่เจอกัน วันรุ่งขึ้นเราโทรไปถามเค้าว่าเสื้อแตกรึป่าว เรารู้สึกว่ามีกลิ่นน้ำของเค้า .... แต่เค้าบอกไม่น่าจะนะ เราก็ลืมๆ ไปไม่ได้คิดอะไร
พอจับได้ว่าเค้าแอบคบคนอื่น เค้ายื่นคำขาดว่าให้เราเลิกยุ่งกับเค้า เค้าเลือกอีกคนนึง แต่เดือนที่ผ่านมารอบเดือนเราไม่มา เราเข้าใจว่าเราเครียดมากไปเลยทำให้มันไม่มา แต่มันก็มีอาการแปลกๆ มาตลอดเดือน รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ เวียนหัว เราเลยนึกถึงเรื่องที่เจอกันวันสุดท้าย ... ประมาณต้นเดือน ก.ย. เราเลยซื้อที่ตรวจมาตรวจเอง ผลก็คือไม่ท้อง ผ่านไปอีกอาทิตย์ก็ตรวจซ้ำผลก็ไม่ท้อง จนช่วงกลางๆ ก.ย. ซื้อมาตรวจอีกครั้ง รอบนี้ขึ้น 2 ขีด เราก็ตกใจ! แต่เพื่อความชัวร์เราจะต้องไปหาหมออีกที ... จนเมื่อ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา ไปหาหมอผลก็คือท้องจริงๆ (ประมาณ 3 สัปดาห์กว่าๆ)
คือในความโชคดีของเรา ก็ต้องมีอุปสรรค! คือเราเองร่างกายไม่แข็งแรงมีโรคประจำตัว และก่อนหน้านี้เราหาหมอสูติอยู่เพราะฮอร์โมนเราไม่ปกติ รอบเดือนไม่ปกติ หมอบอกว่ามีโอกาที่ลูกจะหลุดสูงมากกว่าคนทั่วไป ต้องพ้น 4 เดือนไปก่อนถึงจะแน่ใจว่าลูกอยู่ (แต่หมอเองก็ไม่รับประกันความแข็งแรง) พอเรารู้แบบนี้เศร้าเลย ดีใจกับสิ่งที่เค้าทิ้งไว้ให้เป็นตัวแทนของเค้า แต่ก็กลับมีอุปสรรคอีก .... คือเราก็ทำงานแล้วเลยจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าถามว่าจะเอาออกมั้ยตอบเลยว่าไม่!! เราเลยตั้งใจว่าจะยังไม่บอกใคร จะรอให้พ้น 4 เดือนไป ถ้าลูกอยู่รอดปลอดภัยค่อยให้ที่บ้านเราและบ้านเค้ารู้
แต่!!!! หลังจากนั้นมา 3-4 วัน เราเริ่มมีอาการแพ้ ของที่เคยชอบกิน ตอนนี้แค่เห็นก็เอียน กินอะไรก็ไม่ได้ค่อยได้ จมูกนี่ไวยิ่งกว่าหมาาา กลิ่นอะไรมานิดหน่อยก็เวียนหัว เราเลยตัดสินใจจะบอกให้ทุกคนรู้ เพราะเราปิดอาการแพ้ท้องของเราไม่ได้แน่ๆ เราตั้งใจจะบอกให้ผู้ชายรับรู้ก่อน เพราะที่ผ่านมาเค้าเป็นทุกอย่างของเรา เรามีอะไรปรึกษาเค้าตลอดทุกเรื่อง และเรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับเค้า .... เราเลยไปบอกเค้าเมื่อเสาร์ (1 ต.ค.) ที่ผ่านมา ตอนเค้ารู้คือสีหน้าเรียบเฉย และไม่มีคำตอบอะไร (มาตอนนี้เราเดาอะไรไม่ออกเลยจริงๆ)
จนเมื่อวาน (จ. 3 ต.ค.) เราทนไม่ได้เลยโทรไปหาเค้าถามว่าจะยังไง เพราะเราเริ่มไม่ไหวกะอาการตัวเอง ประโยคแรกที่เค้าพูดคือ "ตัดพี่ออกจากชีวิตเถอะ" เราโมโหทำไรไม่ถูกได้ยินแบบนี้ร้องไห้เลย เลยถามเค้าต่อว่าให้ตัดยังไง ตัดอะไร "จะไม่รับผิดชอบอะไรเลยใช่มั้ย" เค้าก็เงียบแล้วตอบว่า "พี่ขอโทษ พี่ต้องรับผิดชอบสิ" เราก็ถามว่าแล้วจะยังไง เราท้องแบบนี้อาการก็เริ่มแพ้ แล้วจะให้ตัดพี่ไปยังไงวะ? นาทีนี้ทำตัวไม่มีคุณค่ามากๆ ขอร้องเค้าว่าขอแค่ยังมีเค้าอยู่ในชีวิตได้มั้ย ... บอกเค้าว่าพี่เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจไม่ได้เลยหรอ? เค้าก็บอกมาว่า "โทรมาสิ อยากจะคุยก็โทรมา" คือก่อนหน้านี้เค้าบอกเราว่าจะไม่คุยกับเราแล้ว ไม่ควรรับสายเรา เค้าเลือกจะตัดเราออกจากชีวิต ... แต่พอเรารู้ว่าท้องเราก็ต้องติดต่อเค้า เค้าเลยจะยอมคุยกับเรา แล้วเค้าบอกเราว่าจะขอไปคุบกับที่บ้านเค้าก่อน แล้วว่ายังไงจะนัดที่บ้านเราคุยอีกที .............. เราก็โอเค แล้วเค้าบอกตอนเย็นจะโทรมาหา
ผ่านมาเย็นจนค่ำเรารอโทรศํพท์เค้า และเค้าโทรมาตอน 3 ทุ่ม ประโยคแรกที่ถามคือ ตรวจแน่ๆแล้วใช่มั้ย? แล้วก็ถามไถ่ปกติทั่วไป จนสามทุ่มกว่าๆ เราได้ยินเสียงโทรศัพท์อีกเครื่องเค้าดัง คนใหม่คงโทรมา เค้าเลยบอกเราว่า "เดี๋ยวพักนึงพี่โทรไปนะ" เรารอไม่ไหวจนหลับไป แต่ก็หลับๆตื่นจนเที่ยงคืนเค้าโทรมา เราเลยถามเค้าว่า "เราจะคุยกับพี่เราต้องรอถึงตอนนี้เลยหรอ" เค้าตอบว่า "ใช่" เราก็บอกไปว่ารอไม่ได้หรอกนะ ธรรมดาก็ง่วงจะแย่แล้ว ยิ่งแพ้ท้องก็ยิ่งเพลียอีก! .... สักพักเค้าก็บอกว่า "เราไม่ควรจะมาคุยกันด้วยซ้ำ พี่ไม่ควรรับสายอ้วน" (อ้วนไม่ใช่ชื่อจริงเราค่ะ เป็นชื่อที่เค้าเรียกแทนเรา) เราเลยบอกโอเคงั้นพี่จะไม่รับปิดชอบอะไรเลยใช่มั้ย? เค้าเลยตอบกลับมาว่า "รับผิดชอบ พี่จะรับผิดชอบลูก และรับผิดชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูก" แต่ถ้าจะกลับไปคบอ้วน ไม่แน่นอน .... เราเลยถามต่อว่า "แบบนี้ก็ได้หรอ รับผิดชอบลูก แต่ไม่รับผิดชอบแม่ ดีจริงๆ เลย" "แล้วจะเริ่มรับผิดชอบยังไง เมื่อไหร่" คำตอบที่ได้กลับมาคือ "ไม่รู้" คือได้ยินแบบนี้ยอมรับว่าโมโหมากกกกก เลยบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ บอกมาเลยว่าวันไหน เค้าเลยตอบว่าอาทิตย์นี้ (9 ต.ค.) "เดี๋ยวพี่จะบอกที่บ้านอ้วนเอง แล้วค่อยกลับมาบอกที่บ้านพี่" คือมันถูกหรอกลางวันบอกอย่าง ตอนนี้มาบอกอีกอย่าง ... เราก็ไม่ยอมอ่ะ เลยบอกว่าถ้าจะมาบอกที่บ้านพี่ต้องมาด้วย ต้องรับรู้ก่อนดิ จะให้เราไปบอกที่บ้านด้วยก็ได้นะ คือเอาตรงๆ ตอนนี้เราไม่รู้ว่าจะเชื่อใจพี่ได้แค่ไหน จะมั่นใจได้ไงว่าพี่จะพูดเรื่องจริงกับที่บ้าน มันต้องพูดต่อหน้าพร้อมกันทั้งหมดอ่ะ ถึงจะแฟร์ .... เค้าก็เงียบไป แล้วบอกว่าก็ได้ อาทิตย์นี้จะกลับไปบอกที่บ้าน ... ก่อนวางสายบอกเราว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้โทรมาหานะ!!
เช้านี้เราตัดสินใจว่าตอนค่ำจะโทรไปปรึกษาพี่สาวเค้า จริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าควรทำแบบนั้นมั้ย แต่เราคิดเองว่าอย่างน้อยๆให้พี่สาวเค้ารับรู้ก่อนก็ยังดี เค้าจะได้ช่วยคิดต่อ...ตอนที่รู้ว่าเค้ามีคนอื่นเราก็ไปไม่เป็นเลยโทรไปปรึกษาพี่สาวเค้าเหมือนกัน พี่สาวเค้าก็อึ้งนะ ไม่คิดว่าน้องชายตัวเองจะทำแบบนี้ เพราะที่บ้านเค้ารู้มาตลอดว่าคบกับเรามานานแล้ว
ตอนแรกเราไม่ได้อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่นะ แต่ในเมื่อตัวผู้ชายยังสับสนลังเลไม่แน่นอนแบบนี้ เราก็จะไม่รอแล้วไม่ว่าอนาคตลูกจะยังอยู่กับเราหรือไม่ แต่วันนี้ทุกคนต้องรับรู้ว่าว่าตอนนี้มีนมีเรื่องแบบนี้!!! แต่ตอนนี้ที่สับสนที่สุดคือเราควรจะบอกที่บ้านเราเลยมั้ย หรือรอให้ผู้ชายมาบอก ... ตอนนี้เครียดมากๆ แต่พยามทำตัวเองไม่ให้เครียดเพราะยังมีอีกชีวิตนึงที่อยู่กับเรา .... เราไม่กลัวนะที่จะบอกแม่ เพราะแม่เรารับฟังเหตุผล แต่เรากลัวพ่อนี่แหล่ะพ่อเราใจร้อน เรากลัวเค้าจะไม่ยอมถ้าผู้ชายจะรับผิดชอบแต่ลูก