จุดเด่นของหนังยุโรปมักจะเล่าเรื่อง Realistic (ภาพที่เป็นจริง) แม้จะมี Surrealism (เหนือการรับรู้ของมนุษย์) อยู่บ้าง แต่องค์ประกอบของฉาก ตัวละครก็มีความ Realistic อยู่ ต่างจากหนังฮอลลีวู้ดที่จะเน้นความเหนือจินตนการเป็น FANTASY
จะบอกว่า หนังยุโรปนี่มันหนังยุโรปดีแท้เพราะมันมักจะเล่าเรื่องง่าย ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นกับ “ใคร” ก็ได้ แต่ความต่างคงเป็นการดำเนินเรื่องและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของแต่ละคนนั้นคงก็ไม่เหมือนกัน แต่ที่ล้วนเป็น “ความรู้สึกร่วม” นั่นก็คือ หนังยุโรปมักจะสร้างความรู้สึกร่วมของคนดูผ่าน “ประสบการณ์ร่วม” เช่น หนังว่าด้วยความรักที่พ่อแม่ไม่รัก หนังว่าด้วยความรุนแรงทางเพศ หนังว่าด้วยโรงเรียน หนังว่าด้วยครอบครัว หนังว่าด้วยการถูกกดขี่ หนังว่าด้วยความรุนแรงในครอบครัว
ความรู้สึกร่วมทั้งหมดที่กล่าวมาคือ ปัจจัยสำคัญของการเขียนบทภาพยนตร์เพื่อให้คนดูเกิดความรู้สึกร่วมและติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจอหนัง....(และจอแก้ว แล้วแต่กรณีไป แต่หนังยุโรปจะยากหน่อยที่จะเกิดขึ้นในจอหนัง)
“คุณคิดว่า พื้นที่ไหนคือ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับคุณมากที่สุด”
ถ้าคำถามมันกว้างไป
“คุณคิดว่า ในบ้านของคุณเอง พื้นที่ไหนหรือห้องไหนคือ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับคุณมากที่สุด”
แน่นอนว่า IN BLOOM ไม่ได้ตอบว่า “ห้องส่วนตัว” ก็แหม จะมีกี่สักครอบครัวกันที่จะมี “ห้องส่วนตัว”
IN BLOOM เป็นหนังพูดด้วยภาษาจอร์เจีย ประเทศจอร์เจีย (นึกถึงประเทศแถว ๆ รัสเซีย ฝั่งยุโรปก็ได้) กำกับโดย Nana Ekvtimishvili, Simon Groß ว่าด้วยความสัมพันธ์ของผู้หญิงสองคนที่เป็นเพื่อนกัน สนิทกัน รักกัน เป็นห่วงกัน ช่วยเหลือกัน และพ่อของเพื่อนคนหนึ่งเคยฆ่าพ่อของอีกคนหนี่ง!!! เป็นไงล่ะ เจอการสร้างเงื่อนไขนี้เข้าไป
(จากนี้ไปจะเปิดเผยเรื่องราวของหนัง แต่ถึงอ่านไปก็ไม่เสียงอรรถรสในการรับชมหรอกเชื่อเรา)
เราคงไม่เล่าแบบลำดับเรื่องนะเพราะนั่นจะบอกเล่าเนื้อหาจนไม่ต้องมาดูก็ได้ แต่เราจะบอกสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ชอบ
ประเด็นหนังเรื่องนี้ว่าด้วย ความรุนแรง การกดขี่ระหว่างสถานะของคนในครอบครัว พ่อและแม่ สามีและภรรยา ยายกับหลาน ในรูปแบบของไม่คุยกัน พูดจาโกหกใส่กันเพียงเพื่อบุหรี่ตัวเดียว แต่ไอ้บุหรี่ตัวเดียวนี้ล่ะที่ทำให้เกิดการใช้วาจาหยาบคาย ผรุสวาท จนทำให้เกิดภาวะทางอารมณ์ของอีกฝ่าย ซึ่งในเรื่อง ตัวละครเกือบทั้งหมดมักจะพูดภาษาจอร์เจียที่แปลความได้ว่า “You make me crazy” เราก็ไม่รู้จะแปลว่าอย่างไร แต่คิดว่า นี่แหละคือ ลักษณะความรู้สึกที่เกิดขึ้น
หนังเรื่องนี้จึงสะท้อนสภาวะและความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวออกมาอย่างชัดเจนว่า เอาเข้าจริงหากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ครอบครัว เราก็คงไม่ crazy หรอกหากต้องรองรับภาวะทางอารมณ์ในระดับที่เราได้รับจาก พ่อหรือแม่ พี่ ยาย ลุง สามี หรือทุกตำแหน่งทางครอบครัวที่อยู่สูงกว่าเรา แต่กลับกันหากเราต้องรองรับภาวะทางอารมณ์จาก บุคคลที่กล่าวมาข้างต้นเราก็พร้อมจะ “You make me crazy” ได้ทันที และเมื่อ Make me crazy ก็เตรียมภาวะความรุนแรงที่จะพัฒนาต่อมา
ในแง่หนึ่งการใช้ความรุนแรงผ่านรูปแบบการพูด น้ำเสียง คำที่ใช้ โดยตัวมันเองแล้วก็คือ ความรุนแรงนั้นล่ะ แต่มันก็ยังเป็นความรุนแรงที่ยัง “ไม่ผิดกฎหมาย” และไม่ผิดจารีตประเพณีเพราะในบรรทัดฐานครอบครัวทุกชนชาติแล้ว การใช้ความรุนแรงจากตำแหน่งทางครอบครัวที่สูงกว่าแล้วกดทับคนที่ตำแหน่งทางครอบครัวต่ำกว่าก็เป็นสิ่งที่ “ปกติ” เป็นไปตาม “บรรทัดฐาน” และ สังคมก็อนุญาตหรืออาจจะเหล่ตาข้างหนึ่งอนุญาตก็ได้
“จนกระทั่งมีเครื่องมือ”
ในฐานะคนที่ต่ำต้อยกว่าทั้งทางฐานะ ชนชั้น สถานะทางสังคมและสถานะทางครอบครัวก็ย่อมที่จะ “เป็นที่ระบายอารมณ์” คอยถูกก่นด่า ถูกตรวจสอบ ถูกควบคุมความประพฤติ ถูกห้ามในสิ่งที่อยากทำ และถูกใช้ความรุนแรงในทุกระดับ แต่ IN BLOOM ชี้ให้เห็นว่า “แล้วถ้าหาก” (Premise) คนที่อยู่ในสถานะต่ำกว่ามี “อาวุธ” ล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น
และนั่นก็สะท้อนการเมืองระหว่างประเทศรัสเซียกับประเทศอื่น ๆ ที่แยกตัวออกมาจากสหโซเวีตหลังยุคสงครามเย็น เมื่อประเทศเล็ก ๆ ที่เคยถูกพี่เบิ้มไล่ตบ ไล่เตะ ไล่ยิ่ง มาตลอด มีอาวุธบ้างล่ะ ก็จะเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างที่เราเห็น ใน “ความรุนแรง” จากสงครามก่อการร้าย สงครามระหว่างประเทศนั้นล่ะ เห็นไหมความรุนแรงระดับประเทศเริ่มขึ้นจากความรุนแรงในครอบครัวเพียงแค่เรื่องนิ่งและไม่พูดคุยกันนี้ล่ะ
เพราะมันเป็นหนังจากประเทศจอร์เจีย จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่หนังจะพูดถึงความโหดร้ายและความยากลำบากในประเทศเกิดใหม่หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เราจึงเห็นฉากที่คนในชุมชนต้องแย่งขนมปังกันจนไม่ต่อคิว สภาพบ้านเมืองที่กำลังก่อร่างสร้างตัว สภาวะที่คนอดทนกับการก่อร่างสร้างตัวไม่ไหวจนต้องหนีไปรัสเซีย แม้จะไม่มีใครในสังคมจอร์เจียอยากคบคนในประเทศนี้ก็ตาม
นั่นจึงนำมาด้วยการเพิกเฉยต่อความตายของคนที่นิยมความเจริญแบบรัสเซีย ประเทศมหาอำนาจที่เป็นศัตรูกับประเทศเกิดใหม่แถบนี้ทั้งหมด การเพิกเฉยต่อความรุนแรงนี้ล่ะเป็นสิ่งที่ทำให้ความรุนแรงยังเกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นจนชินตา ความรุนแรงจะเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ แล้วเมื่อกลายเป็นเรื่องปกติเมื่อไร ผู้ที่ใช้ความรุนแรงก็จะมีอำนาจมากที่สุด...ก็จนกว่า ฟ้าจะเปลี่ยนสี
หลาย ๆ ฉากในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อความรุนแรงของคนกลุ่มหนึ่ง นำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มคนที่เพิกเฉย และกลุ่มคนที่เพิกเฉยก็เลยใช้ความรุนแรงต่อคนที่มาใช้ความรุนแรงก่อนด้วยความรุนแรงที่มากกว่า หนักกว่า
“เราด่ากลุ่มคนที่ยืนนิ่งเมื่อเห็นผัวเมียทะเลาะกัน แล้วคนที่เราด่านั้นก็เอาด้ามปืนมาตบหน้าเรา”
แล้วแบบนี้คนที่อำนาจต่ำกว่า มีอำนาจน้อยกว่า มีพลังด้อยกว่า มีฐานะทางการเงินติดลบ มีสถานะทางสังคมล่างกว่า จะทำอย่างไรดีเมื่อถูกคนที่ “มากกว่า” ใช้ความรุนแรงใส่ ลูก ๆ จะทำอย่างไรเมื่อถูกพ่อใช้ความรุนแรง
กลับมาที่คำถามเดิมว่า “คุณคิดว่า ในบ้านของคุณเอง พื้นที่ไหนหรือห้องไหนคือ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับคุณมากที่สุด” พื้นที่ไหนที่ไม่มีคนมาสนใจมากที่สุดว่า คุณจะทำอะไร ห้องไหนที่เราสามารถร้องไห้ระบายอารมณ์ได้มากที่สุด พื้นที่ไหนที่เราสบายใจที่สุด ห้องสี่เหลี่ยมแบบไหนที่เรารู้สึกดีที่สุดเมื่อกำลังทำอะไรผิดและไม่มีคนสนใจ
หลายครั้งตัวละครที่มีสถานะต่ำกว่ามักจะไปร้องไห้ที่ห้อง ๆ นี้ เมื่อถูกพ่อแม่ใช้ความรุนแรง บางครั้งห้อง ๆ นี้ก็เป็นห้องที่ใช้ซ่อนเครื่องมือที่ไม่อยากให้คนที่มีอำนาจต่ำกว่าเห็น บางครั้งห้อง ๆ นี้ก็เป็นห้องลับสำหรับเราสองคนมากที่สุด และห้อง ๆ นี้ก็คือห้องที่ใช้แลกเปลี่ยนทางธุรกิจโดยตัวละครหลักที่เป็นเพื่อนมอบปืนให้เพื่อนอีกไว้ใช้ป้องกันตัวเอง
ทำไมต้องเป็นห้องนี้กันนะ เห็นด้วยกับหนังเรื่องนี้ไหม ถ้าห้องนั้นคือ
“ห้องน้ำ”
มาแลกเปลี่ยนกันได้ที่นี้อีกช่องทางนะ
https://www.facebook.com/gamebhandavis/
[CR] (ดูหนังอินดี้มาเล่า) IN BLOOM ความรุนแรงเริ่มต้นที่ครอบครัว ดำรงอยู่ได้เพราะความเพิกเฉย
จะบอกว่า หนังยุโรปนี่มันหนังยุโรปดีแท้เพราะมันมักจะเล่าเรื่องง่าย ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นกับ “ใคร” ก็ได้ แต่ความต่างคงเป็นการดำเนินเรื่องและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของแต่ละคนนั้นคงก็ไม่เหมือนกัน แต่ที่ล้วนเป็น “ความรู้สึกร่วม” นั่นก็คือ หนังยุโรปมักจะสร้างความรู้สึกร่วมของคนดูผ่าน “ประสบการณ์ร่วม” เช่น หนังว่าด้วยความรักที่พ่อแม่ไม่รัก หนังว่าด้วยความรุนแรงทางเพศ หนังว่าด้วยโรงเรียน หนังว่าด้วยครอบครัว หนังว่าด้วยการถูกกดขี่ หนังว่าด้วยความรุนแรงในครอบครัว
ความรู้สึกร่วมทั้งหมดที่กล่าวมาคือ ปัจจัยสำคัญของการเขียนบทภาพยนตร์เพื่อให้คนดูเกิดความรู้สึกร่วมและติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจอหนัง....(และจอแก้ว แล้วแต่กรณีไป แต่หนังยุโรปจะยากหน่อยที่จะเกิดขึ้นในจอหนัง)
“คุณคิดว่า พื้นที่ไหนคือ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับคุณมากที่สุด”
ถ้าคำถามมันกว้างไป
“คุณคิดว่า ในบ้านของคุณเอง พื้นที่ไหนหรือห้องไหนคือ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับคุณมากที่สุด”
แน่นอนว่า IN BLOOM ไม่ได้ตอบว่า “ห้องส่วนตัว” ก็แหม จะมีกี่สักครอบครัวกันที่จะมี “ห้องส่วนตัว”
IN BLOOM เป็นหนังพูดด้วยภาษาจอร์เจีย ประเทศจอร์เจีย (นึกถึงประเทศแถว ๆ รัสเซีย ฝั่งยุโรปก็ได้) กำกับโดย Nana Ekvtimishvili, Simon Groß ว่าด้วยความสัมพันธ์ของผู้หญิงสองคนที่เป็นเพื่อนกัน สนิทกัน รักกัน เป็นห่วงกัน ช่วยเหลือกัน และพ่อของเพื่อนคนหนึ่งเคยฆ่าพ่อของอีกคนหนี่ง!!! เป็นไงล่ะ เจอการสร้างเงื่อนไขนี้เข้าไป
(จากนี้ไปจะเปิดเผยเรื่องราวของหนัง แต่ถึงอ่านไปก็ไม่เสียงอรรถรสในการรับชมหรอกเชื่อเรา)
เราคงไม่เล่าแบบลำดับเรื่องนะเพราะนั่นจะบอกเล่าเนื้อหาจนไม่ต้องมาดูก็ได้ แต่เราจะบอกสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ชอบ
ประเด็นหนังเรื่องนี้ว่าด้วย ความรุนแรง การกดขี่ระหว่างสถานะของคนในครอบครัว พ่อและแม่ สามีและภรรยา ยายกับหลาน ในรูปแบบของไม่คุยกัน พูดจาโกหกใส่กันเพียงเพื่อบุหรี่ตัวเดียว แต่ไอ้บุหรี่ตัวเดียวนี้ล่ะที่ทำให้เกิดการใช้วาจาหยาบคาย ผรุสวาท จนทำให้เกิดภาวะทางอารมณ์ของอีกฝ่าย ซึ่งในเรื่อง ตัวละครเกือบทั้งหมดมักจะพูดภาษาจอร์เจียที่แปลความได้ว่า “You make me crazy” เราก็ไม่รู้จะแปลว่าอย่างไร แต่คิดว่า นี่แหละคือ ลักษณะความรู้สึกที่เกิดขึ้น
หนังเรื่องนี้จึงสะท้อนสภาวะและความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวออกมาอย่างชัดเจนว่า เอาเข้าจริงหากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ครอบครัว เราก็คงไม่ crazy หรอกหากต้องรองรับภาวะทางอารมณ์ในระดับที่เราได้รับจาก พ่อหรือแม่ พี่ ยาย ลุง สามี หรือทุกตำแหน่งทางครอบครัวที่อยู่สูงกว่าเรา แต่กลับกันหากเราต้องรองรับภาวะทางอารมณ์จาก บุคคลที่กล่าวมาข้างต้นเราก็พร้อมจะ “You make me crazy” ได้ทันที และเมื่อ Make me crazy ก็เตรียมภาวะความรุนแรงที่จะพัฒนาต่อมา
ในแง่หนึ่งการใช้ความรุนแรงผ่านรูปแบบการพูด น้ำเสียง คำที่ใช้ โดยตัวมันเองแล้วก็คือ ความรุนแรงนั้นล่ะ แต่มันก็ยังเป็นความรุนแรงที่ยัง “ไม่ผิดกฎหมาย” และไม่ผิดจารีตประเพณีเพราะในบรรทัดฐานครอบครัวทุกชนชาติแล้ว การใช้ความรุนแรงจากตำแหน่งทางครอบครัวที่สูงกว่าแล้วกดทับคนที่ตำแหน่งทางครอบครัวต่ำกว่าก็เป็นสิ่งที่ “ปกติ” เป็นไปตาม “บรรทัดฐาน” และ สังคมก็อนุญาตหรืออาจจะเหล่ตาข้างหนึ่งอนุญาตก็ได้
“จนกระทั่งมีเครื่องมือ”
ในฐานะคนที่ต่ำต้อยกว่าทั้งทางฐานะ ชนชั้น สถานะทางสังคมและสถานะทางครอบครัวก็ย่อมที่จะ “เป็นที่ระบายอารมณ์” คอยถูกก่นด่า ถูกตรวจสอบ ถูกควบคุมความประพฤติ ถูกห้ามในสิ่งที่อยากทำ และถูกใช้ความรุนแรงในทุกระดับ แต่ IN BLOOM ชี้ให้เห็นว่า “แล้วถ้าหาก” (Premise) คนที่อยู่ในสถานะต่ำกว่ามี “อาวุธ” ล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น
และนั่นก็สะท้อนการเมืองระหว่างประเทศรัสเซียกับประเทศอื่น ๆ ที่แยกตัวออกมาจากสหโซเวีตหลังยุคสงครามเย็น เมื่อประเทศเล็ก ๆ ที่เคยถูกพี่เบิ้มไล่ตบ ไล่เตะ ไล่ยิ่ง มาตลอด มีอาวุธบ้างล่ะ ก็จะเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างที่เราเห็น ใน “ความรุนแรง” จากสงครามก่อการร้าย สงครามระหว่างประเทศนั้นล่ะ เห็นไหมความรุนแรงระดับประเทศเริ่มขึ้นจากความรุนแรงในครอบครัวเพียงแค่เรื่องนิ่งและไม่พูดคุยกันนี้ล่ะ
เพราะมันเป็นหนังจากประเทศจอร์เจีย จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่หนังจะพูดถึงความโหดร้ายและความยากลำบากในประเทศเกิดใหม่หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เราจึงเห็นฉากที่คนในชุมชนต้องแย่งขนมปังกันจนไม่ต่อคิว สภาพบ้านเมืองที่กำลังก่อร่างสร้างตัว สภาวะที่คนอดทนกับการก่อร่างสร้างตัวไม่ไหวจนต้องหนีไปรัสเซีย แม้จะไม่มีใครในสังคมจอร์เจียอยากคบคนในประเทศนี้ก็ตาม
นั่นจึงนำมาด้วยการเพิกเฉยต่อความตายของคนที่นิยมความเจริญแบบรัสเซีย ประเทศมหาอำนาจที่เป็นศัตรูกับประเทศเกิดใหม่แถบนี้ทั้งหมด การเพิกเฉยต่อความรุนแรงนี้ล่ะเป็นสิ่งที่ทำให้ความรุนแรงยังเกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นจนชินตา ความรุนแรงจะเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ แล้วเมื่อกลายเป็นเรื่องปกติเมื่อไร ผู้ที่ใช้ความรุนแรงก็จะมีอำนาจมากที่สุด...ก็จนกว่า ฟ้าจะเปลี่ยนสี
หลาย ๆ ฉากในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อความรุนแรงของคนกลุ่มหนึ่ง นำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มคนที่เพิกเฉย และกลุ่มคนที่เพิกเฉยก็เลยใช้ความรุนแรงต่อคนที่มาใช้ความรุนแรงก่อนด้วยความรุนแรงที่มากกว่า หนักกว่า
“เราด่ากลุ่มคนที่ยืนนิ่งเมื่อเห็นผัวเมียทะเลาะกัน แล้วคนที่เราด่านั้นก็เอาด้ามปืนมาตบหน้าเรา”
แล้วแบบนี้คนที่อำนาจต่ำกว่า มีอำนาจน้อยกว่า มีพลังด้อยกว่า มีฐานะทางการเงินติดลบ มีสถานะทางสังคมล่างกว่า จะทำอย่างไรดีเมื่อถูกคนที่ “มากกว่า” ใช้ความรุนแรงใส่ ลูก ๆ จะทำอย่างไรเมื่อถูกพ่อใช้ความรุนแรง
กลับมาที่คำถามเดิมว่า “คุณคิดว่า ในบ้านของคุณเอง พื้นที่ไหนหรือห้องไหนคือ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับคุณมากที่สุด” พื้นที่ไหนที่ไม่มีคนมาสนใจมากที่สุดว่า คุณจะทำอะไร ห้องไหนที่เราสามารถร้องไห้ระบายอารมณ์ได้มากที่สุด พื้นที่ไหนที่เราสบายใจที่สุด ห้องสี่เหลี่ยมแบบไหนที่เรารู้สึกดีที่สุดเมื่อกำลังทำอะไรผิดและไม่มีคนสนใจ
หลายครั้งตัวละครที่มีสถานะต่ำกว่ามักจะไปร้องไห้ที่ห้อง ๆ นี้ เมื่อถูกพ่อแม่ใช้ความรุนแรง บางครั้งห้อง ๆ นี้ก็เป็นห้องที่ใช้ซ่อนเครื่องมือที่ไม่อยากให้คนที่มีอำนาจต่ำกว่าเห็น บางครั้งห้อง ๆ นี้ก็เป็นห้องลับสำหรับเราสองคนมากที่สุด และห้อง ๆ นี้ก็คือห้องที่ใช้แลกเปลี่ยนทางธุรกิจโดยตัวละครหลักที่เป็นเพื่อนมอบปืนให้เพื่อนอีกไว้ใช้ป้องกันตัวเอง
ทำไมต้องเป็นห้องนี้กันนะ เห็นด้วยกับหนังเรื่องนี้ไหม ถ้าห้องนั้นคือ
“ห้องน้ำ”
มาแลกเปลี่ยนกันได้ที่นี้อีกช่องทางนะ
https://www.facebook.com/gamebhandavis/