ผลสรุป"โรคหวาดกลัวอิสลาม ในสังคมไทย"
เรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
การเริ่มต้นปรากฎการณ์ หลัง 11 กันยายน 2001 ชาวโลกต้องตกตะลึงภาพเครื่องบินโดยสารสองลำ พุ่งชนตึกเวิลร์เทรดเซนเตอร์ ใจกลางกรุงนิวยอร์ก และตึกทั้งสองก็ถล่มลงมา ราวกับวิศวกรระเบิดทิ้งเพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้น จอร์จ ดับเบิลยูบุช ได้ออกมาประกาศว่า Osama Binladen คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ช๊อกโลกดังกล่าว
นับเเต่นั้นมาอิสลามได้ถูกสร้างภาพให้กลายเป็นลัทธิก่อการร้าย และโรคอิสลาโมโฟเบีย หรือ โรคความหวาดกลัวอิสลามก็ได้แพร่ระบาดไปทั่ว ทุกมุมโลก ในแถบประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย เกิดกระแสต่อต้านผ่านกิจกรรมต่างๆ ของกลุ่มที่ต่อต้าน มุสลิม และการใช้สื่อออนไลน์ แม้กระทั่งนักการเมือง ได้ออกมาปราศรัยหาเสียง โดยใช้นโยบายเช่น Donald Trump นักธุรกิจและนักการเมือง พรรค Republican ซึ่งเป็นผู้แทนสมัครลงเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2016 , เมื่อ 7ธันวาคม 2015 ขณะหาเสียงรัฐในแคลิฟอเนีย Trump ได้เรียกร้องห้ามคนมุสลิมเข้าประเทศ ได้จุดกระแสความไม่พอใจ ขึ้นมาทันที กระนั้นก็ดี ก็ยังมีกลุ่มต่างประเทศที่รับอิสลาม พยายามสร้างความเข้าใจกับศาสนาอิสลามและออกมาปกป้อง เช่นการออกมารณรงค์ผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ลดอคติต่อมุสลิม กิจกรรมต่างๆมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ที่เป็นมุสลิม และไม่ใช่มุสลิม เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจระหว่างศาสนา ความเชื่อ โดยพื้นฐานอยู่ที่สิทธิและเสรีภาพการนับถือศาสนา
การต่อต้านอิสลามในสังคมไทย
ต่อต้านการสร้างมัสยิด ที่จังหวัดน่าน ต่อต้านนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลที่เชียงใหม่ คัดค้านการก่อสร้างมัสยิดที่จังหวัดมุกดาหาร และการรณรงค์ของผู้นำศาสนาพุทธบางราย
PATANI FORUM ได้จัดเวทีรับฟัง เก็บข้อมูล ในกรุงเทพ พระนครศรีอยุธยา อุดรธานี เชียงใหม่ ปัตตานี เเละสงขลา ผลการศึกษาพบว่า ภาพความเข้าใจเเละการรับรู้ศาสนาและคนมุสลิม มีดังนี้
ภาพเเรก
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดขายแดนภาคใต้ ในรอบ12ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้สังคมไทยวิตกกังวล และเข้าใจว่ามุสลิมมักจะมาพร้อมกับการใช้ความรุนเเรง
ภาพสอง
บริบทความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในยุโรป เช่นการระเบิดที่paris และ brussels โดยความรุนเเรงที่เกิดขึ้น ถูกอ้างว่า เป็นฝีมือของกลุ่ม ISIS ที่ต้องการสถาปนารัฐอิสลาม และความรุนแรงที่ตะวันออกกลาง เป็นภาพสะท้อนเกี่ยวกับมุสลิม จากการรับข่าวสาร ที่ถูกนำเสนอข้อมูลผ่านสังคมออนไลน์ และตามสถานีโทรทัศน์ต่างๆ
ภาพสาม
ชุมชนแต่ละจังหวัด ที่มีมุสลิมดั้งเดิมอยู่แล้ว และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก่อนหน้านี้ เช่นมุสลิมอยุธยา ก็จะเป็นเมืองเก่าแก่ ที่คนพุทธและมุสลิม ได้พึ่งพาอาศัยกันมาก่อนหน้านี้ มุสลิมในเชียงใหม่ ก็จะมีความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างศาสนิก
การรับรู้ทั้งสามภาพ FATONI FORUM พบว่า ทุนทางสังคม และกลุ่มที่มีการปฎิสัมพันธ์อยู่กับมุสลิมก่อนหน้านี้แล้ว จะไม่ความวิตกกังวล กับวิถีชีวิตมุสลิมในชุมชนตนเอง
ความรู้สึกต่อคนมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีทั้งด้านบวก และด้านลบ ด้านบวกมีความเข้าใจว่า การออกมาเคลื่อนไหวของคนมุสลิมในรูปแบบต่างๆนั้นเกิดจาก โครงสร้างของรัฐไทยที่กดขี่และไม่เอื้อต่อการ ดำรงอยู่ต่ออัตลักษณ์ความเป็นมลายูมุสลิม
ส่วนในด้านลบ ภาพแรกที่นึกถึงคนมุสลิมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการเหมารวม ว่า เป็นพวกหัวรุนแรง ชอบสร้างเงื่อนไข และสร้างปัญหา
ความรู้สึก ของคนต่างศาสนิก ต่อมุสลิมในภาพรวม ซึ่งผลการศึกษามีความย้อนแย้งกันอย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวคือ
ด้านบวก มีความชื่นชมการปฎิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดของคนมุสลิม
ในขณะที่ด้านลบ ต่างศาสนิก กลับรู้สึกว่าอึดอัด กับวิถีปฎิบัติของคนมุสลิม ที่จุกจิก ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแตกต่าง ทำไมต้องปฎิบัติไม่เหมือนกับคนอื่นเเละมีข้อห้ามมากมาย
ข้อเสนอแนะ
อยากให้สื่อเพิ่มการนำเสนอภาพความเป็นมุสลิมในหลายมิติ อย่างสมดุลกัน ลดน้ำหนักกับการนำเสนอภาพเชิงลบจนเกินไป
สังคมมุสลิม จำเป็นต้องมีบทบาทเกี่ยวกับสังคมไทยให้มากขึ้น
ปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรการศึกษาและเพิ่มทักษะการอยู่ร่วมกัน เกี่ยวกับความหลากหลายทางศาสนา และชาติพันธ์ ตั้งแต่ระดับประถมให้เข้มข้นยิ่งขึ้นเพื่อเด็กๆเยาวชนจะได้เข้าใจว่าสังคมไทยไม่ใช่มีแต่ศาสนาพุทธ ศาสนาเดียว
ภาครัฐควรจัดอบรมข้าราชการให้เข้าใจสภาพความแตกต่าง ความหลากหลายทางศาสนาและชาติพันธ์ โดยให้การอบรมเรื่องทักษะวัฒนธรรมเรียนรู้วิถีชีวิต และปัญหามุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อที่จะลดอคติต่อกัน
เนื้อหาดีๆจาก:
ข้อมูลจากเวทีสำรวจทัศนคติพลเมืองที่มีต่อมุสลิมไทย และมลายูเพื่อสร้างการเรียนรู้ สู่สังคมพหุวัฒนธรรม
โครงการเสรีภาพทางศาสนา: สนทนาสู่สัมพันธภาพ มุสลิมและสังคมไทย
เรียบเรียง/สังเคราะห์ข้อมูล:เอกรินทร์ ต่วนศิริ
โดย

ATANI FORUM
ผลสรุป"โรคหวาดกลัวอิสลาม ในสังคมไทย"
เรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
การเริ่มต้นปรากฎการณ์ หลัง 11 กันยายน 2001 ชาวโลกต้องตกตะลึงภาพเครื่องบินโดยสารสองลำ พุ่งชนตึกเวิลร์เทรดเซนเตอร์ ใจกลางกรุงนิวยอร์ก และตึกทั้งสองก็ถล่มลงมา ราวกับวิศวกรระเบิดทิ้งเพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้น จอร์จ ดับเบิลยูบุช ได้ออกมาประกาศว่า Osama Binladen คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ช๊อกโลกดังกล่าว
นับเเต่นั้นมาอิสลามได้ถูกสร้างภาพให้กลายเป็นลัทธิก่อการร้าย และโรคอิสลาโมโฟเบีย หรือ โรคความหวาดกลัวอิสลามก็ได้แพร่ระบาดไปทั่ว ทุกมุมโลก ในแถบประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย เกิดกระแสต่อต้านผ่านกิจกรรมต่างๆ ของกลุ่มที่ต่อต้าน มุสลิม และการใช้สื่อออนไลน์ แม้กระทั่งนักการเมือง ได้ออกมาปราศรัยหาเสียง โดยใช้นโยบายเช่น Donald Trump นักธุรกิจและนักการเมือง พรรค Republican ซึ่งเป็นผู้แทนสมัครลงเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2016 , เมื่อ 7ธันวาคม 2015 ขณะหาเสียงรัฐในแคลิฟอเนีย Trump ได้เรียกร้องห้ามคนมุสลิมเข้าประเทศ ได้จุดกระแสความไม่พอใจ ขึ้นมาทันที กระนั้นก็ดี ก็ยังมีกลุ่มต่างประเทศที่รับอิสลาม พยายามสร้างความเข้าใจกับศาสนาอิสลามและออกมาปกป้อง เช่นการออกมารณรงค์ผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ลดอคติต่อมุสลิม กิจกรรมต่างๆมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ที่เป็นมุสลิม และไม่ใช่มุสลิม เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจระหว่างศาสนา ความเชื่อ โดยพื้นฐานอยู่ที่สิทธิและเสรีภาพการนับถือศาสนา
การต่อต้านอิสลามในสังคมไทย
ต่อต้านการสร้างมัสยิด ที่จังหวัดน่าน ต่อต้านนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลที่เชียงใหม่ คัดค้านการก่อสร้างมัสยิดที่จังหวัดมุกดาหาร และการรณรงค์ของผู้นำศาสนาพุทธบางราย
PATANI FORUM ได้จัดเวทีรับฟัง เก็บข้อมูล ในกรุงเทพ พระนครศรีอยุธยา อุดรธานี เชียงใหม่ ปัตตานี เเละสงขลา ผลการศึกษาพบว่า ภาพความเข้าใจเเละการรับรู้ศาสนาและคนมุสลิม มีดังนี้
ภาพเเรก
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดขายแดนภาคใต้ ในรอบ12ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้สังคมไทยวิตกกังวล และเข้าใจว่ามุสลิมมักจะมาพร้อมกับการใช้ความรุนเเรง
ภาพสอง
บริบทความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในยุโรป เช่นการระเบิดที่paris และ brussels โดยความรุนเเรงที่เกิดขึ้น ถูกอ้างว่า เป็นฝีมือของกลุ่ม ISIS ที่ต้องการสถาปนารัฐอิสลาม และความรุนแรงที่ตะวันออกกลาง เป็นภาพสะท้อนเกี่ยวกับมุสลิม จากการรับข่าวสาร ที่ถูกนำเสนอข้อมูลผ่านสังคมออนไลน์ และตามสถานีโทรทัศน์ต่างๆ
ภาพสาม
ชุมชนแต่ละจังหวัด ที่มีมุสลิมดั้งเดิมอยู่แล้ว และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก่อนหน้านี้ เช่นมุสลิมอยุธยา ก็จะเป็นเมืองเก่าแก่ ที่คนพุทธและมุสลิม ได้พึ่งพาอาศัยกันมาก่อนหน้านี้ มุสลิมในเชียงใหม่ ก็จะมีความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างศาสนิก
การรับรู้ทั้งสามภาพ FATONI FORUM พบว่า ทุนทางสังคม และกลุ่มที่มีการปฎิสัมพันธ์อยู่กับมุสลิมก่อนหน้านี้แล้ว จะไม่ความวิตกกังวล กับวิถีชีวิตมุสลิมในชุมชนตนเอง
ความรู้สึกต่อคนมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีทั้งด้านบวก และด้านลบ ด้านบวกมีความเข้าใจว่า การออกมาเคลื่อนไหวของคนมุสลิมในรูปแบบต่างๆนั้นเกิดจาก โครงสร้างของรัฐไทยที่กดขี่และไม่เอื้อต่อการ ดำรงอยู่ต่ออัตลักษณ์ความเป็นมลายูมุสลิม
ส่วนในด้านลบ ภาพแรกที่นึกถึงคนมุสลิมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการเหมารวม ว่า เป็นพวกหัวรุนแรง ชอบสร้างเงื่อนไข และสร้างปัญหา
ความรู้สึก ของคนต่างศาสนิก ต่อมุสลิมในภาพรวม ซึ่งผลการศึกษามีความย้อนแย้งกันอย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวคือ
ด้านบวก มีความชื่นชมการปฎิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดของคนมุสลิม
ในขณะที่ด้านลบ ต่างศาสนิก กลับรู้สึกว่าอึดอัด กับวิถีปฎิบัติของคนมุสลิม ที่จุกจิก ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแตกต่าง ทำไมต้องปฎิบัติไม่เหมือนกับคนอื่นเเละมีข้อห้ามมากมาย
ข้อเสนอแนะ
อยากให้สื่อเพิ่มการนำเสนอภาพความเป็นมุสลิมในหลายมิติ อย่างสมดุลกัน ลดน้ำหนักกับการนำเสนอภาพเชิงลบจนเกินไป
สังคมมุสลิม จำเป็นต้องมีบทบาทเกี่ยวกับสังคมไทยให้มากขึ้น
ปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรการศึกษาและเพิ่มทักษะการอยู่ร่วมกัน เกี่ยวกับความหลากหลายทางศาสนา และชาติพันธ์ ตั้งแต่ระดับประถมให้เข้มข้นยิ่งขึ้นเพื่อเด็กๆเยาวชนจะได้เข้าใจว่าสังคมไทยไม่ใช่มีแต่ศาสนาพุทธ ศาสนาเดียว
ภาครัฐควรจัดอบรมข้าราชการให้เข้าใจสภาพความแตกต่าง ความหลากหลายทางศาสนาและชาติพันธ์ โดยให้การอบรมเรื่องทักษะวัฒนธรรมเรียนรู้วิถีชีวิต และปัญหามุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อที่จะลดอคติต่อกัน
เนื้อหาดีๆจาก:
ข้อมูลจากเวทีสำรวจทัศนคติพลเมืองที่มีต่อมุสลิมไทย และมลายูเพื่อสร้างการเรียนรู้ สู่สังคมพหุวัฒนธรรม
โครงการเสรีภาพทางศาสนา: สนทนาสู่สัมพันธภาพ มุสลิมและสังคมไทย
เรียบเรียง/สังเคราะห์ข้อมูล:เอกรินทร์ ต่วนศิริ
โดย