ต่อเนื่องจากกระทู้
http://pantip.com/topic/35624094/comment4-1 ที่ผมได้มีโอกาสถ่ายทอดเล่าเรื่องราวประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน กับสิ่งที่ทางการแพทย์ยืนยันและสรุปออกมาแล้วว่าสิ่งนี้ไม่ใช่โรค แต่เรียกว่าเป็นวิวัฒนาการคล้ายๆในหนังเรื่อง X-Men (แต่บางทีเราอาจจะเป็นรุ่นแรก เลยไม่ค่อยสมบูรณ์แบบ 555) กับปัญหามาร์แฟน ซินโดรม ... เนื้อหาที่ผมเขียนเล่าต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ตรงของผมที่ผ่านมาแล้วน่าจะ 7-8 ปี อาจมีข้อความที่ผิดเพี้ยน ให้ข้อมูลเรื่องชื่อเฉพาะเจาะจงที่ผิดไปบ้าง ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ แต่วัตถุประสงค์หลักของผมคือต้องการที่จะเล่าและถ่ายทอดถึงประสบการณ์การผ่าตัดกับดวงตาที่คนส่วนมากและส่วนใหญ่คงเป็นกังวลและกลัวเป็นธรรมดา มีหลายต่อหลายครั้งที่คุณหมอที่ทำการรักษาผม ให้ทางผู้ปกครองของน้องที่มีปัญหาโทรมาสอบถามและให้ผมเล่าถึงประสบการณ์ เนื้อหาที่ผมประสบนั้น อาจจะดูพึลึก น่ากลัว ฟังดูเสียวๆ แต่นั้นอาจเป็นกับผมคนเดียวมากกว่า เพราะที่ถามคุณหมอไม่มีใครเป็นเหมือนผมสักคน


เข้าเรื่องเลยละกันนะครับ .... คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคมาร์แฟน ซินโดรมนั้น มักจะมีปัญหาในร่างกายต่างๆตามมามากมาย แล้วแต่ว่าแต่ละคนนั้นจะได้พบประสบกับปัญหาในเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่อง ลิ้นหัวใจรั่ว หลอดเลือดหัวใจที่ใหญ่เกินปกติ ร่างกายสูงยาวผิดปกติ แขนยาว ขายาว นิ้วมือยาว และเมื่อกางแขนออก ความยาวของช่วงแขนจะมากกว่าความสูง ข้อต่อหรือไขข้อผิดปกติ เนื้อเยื่อหุ้มปอดผิดปกติ มีความผิดปกติของหน้าอก เท้าแบน กระดูกสันหลังคด หน้าผอมยาว ขากรรไกรสั้นและอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าจะประสบปัญหาด้านไหน แต่ปัญหาที่ผมอยากจะหยิบยกเล่าสู่กันฟังและถ่ายทอดในกระทู้นี้นั้น เพราะเท่าที่สังเกตุว่าส่วนใหญ่ในสังคมมาร์แฟน ซินโดรมต้องเป็นกันทุกคนคือเรื่องของ "เลนส์ตาเคลื่อน" ครับ
ผมเป็นคนนึงที่มีปัญหาเรื่องของสายตาเพราะปัญหาต่อเนื่องที่เกิดมาจากมาร์แฟน ซินโดรม ระบบสายตาของผมเริ่มแย่ขึ้นๆมาเรื่อยๆเท่าที่ผมจำความได้ก็น่าจะตั้งแต่ป.3 ครับ ที่เริ่มจะต้องใส่แว่นหนาๆ สายตาสั้นเกิน 1000 ขึ้นไป ใส่แว่นสายตาแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย กระทบเรื่องปัญหาการเรียน ย้ายมานั่งหน้าแล้วก็ยังไม่ค่อยเห็น แถมโดนเพื่อนด่าอีกว่าตัวสูงแต่ดันทะลึ่งมานั่งหน้าห้อง
อย่างที่เคยเล่าให้ฟังครับ คุณแม่ของผมพยายามพาผมไปตรวจเรื่องสายตาและหาวิธีรักษาหลายต่อหลายที่แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจจนท้อและคิดแต่ว่าคงต้องรอไปสักพัก เผื่อวิวัฒนาการความทันสมัยทางการแพทย์จะดีขึ้นและมีวิธีรักษา พอเริ่มโตขึ้นประมาณตอนผมเรียนมหาลัย ผมก็เริ่มไปหาหมอเองตามที่ต่างๆที่มีคนบอกว่าที่นี่ดี ที่โน้นดี ที่นั้นมีอาจารย์หมออยู่ ที่นี่มีหมอจบจากเมืองนอกด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ก็เหมือนเดิมครับ ไม่มีที่ไหนหรือคุณหมอท่านไหนที่จะให้คำตอบที่ผมสบายใจและพูดได้เต็มปากว่าจะรักษาในปัญหาที่ผมเป็นได้ ...
ขออนุญาตแทรกเล่าเปรียบเทียบให้ฟังว่าสายตาปกติกับสายตาของคนที่มีปัญหาเลนส์ตาเคลื่อนเป็นยังไงครับ ... คุณลองจินตนาการว่าสิ่งที่คุณเห็นทุกอย่างในโลกนี้ โครงสร้าง รูปร่าง ขนาด สี พื้นผิว ทุกอย่างเหมือนคนสายตาปกติครับ แต่ทุกอย่างมีความเข้มของสีที่ต่ำลง แดงที่ผมเห็นกับแดงที่คนสายตาปกติเห็นจะแตกต่างกัน ของที่พวกคุณมองเห็นจะเป็นสีที่แดงสดกว่าผม นั้นแปลว่าถ้าเป็นตัวอักษรเล็กๆที่เป็นสีดำ ผมจะเห็นมันจางมาก มากๆจนเกือบจะกลืนไปกับสภาพพื้นผิวของที่มันรองอยู่ที่มีสีเยอะกว่า .... แสงไฟที่คุณเห็นทั่วไป ไม่ว่าจะหลอดไฟในบ้าน หลอดไฟตามท้องถนน หลอดไฟจากหน้ารถ แสงไฟจากทีวี มันจะมีละอองออร่าแสงกระจายออกมารอบตัวมันมากขึ้น กระจายออกมาในรัศมีมากกว่าจนทำให้ถ้ามีอะไรอยู่ข้างๆตัวกำเนิดไปนั้น มันจะกลืนหายไปเลยครับ ...
ผมอยู่และใช้ชีวิตกับสายตาแบบนี้มาตลอดจนอายุเกือบ 30 ปีครับ และแน่นอนเพื่อให้สมกับความเป็นไซมอน ผมใช้ชีวิตห่ามๆตามเดิม ในขณะที่สายตาผมห่วยยำๆขนาดนั้น ผมก็ยังขับรถปกติเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพื่อนทุกคนที่นั่งรถที่ผมขับ ทุกคนพูดเป็นคำเดียวว่า "นี่มันมัจุราชขับรถชัดๆ" แต่เรื่องที่โชคดีที่เกิดขึ้นกับผมคือ ผมไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่ประสบอุบัติเหตุในการขับรถโดยมีบุคคลมาเกี่ยวข้องครับ ไม่เคยเลย ผมนึกย้อนไปถึงภาพเก่าๆและพูดได้คำเดียวว่า "ผมมันโชคดีมากๆ"
ก่อนหน้าที่ผมทำการผ่าตัดแก้ปัญหาในเรื่องของกระจกตา ผมเคยขับรถแบบรถพังเละแบบที่ว่าไม่ต้องซ่อมรถ ขายซากเหอะทั้งหมดจำนวน 2 คันครึ่งครับ ที่บอกอีกครึ่งคันเพราะคันนั้นชนแล้วซ่อม ชนแล้วซ่อมน่าจะประมาณ 7-8 รอบจนขายทิ้งถูกๆตอนหลัง ... ส่วนใหญ่ที่ผมจะไปมีเรื่องด้วยก็จะเป็นพวกก้อนแบริเออร์ คอนกรีตที่อยู่บนถนนครับ เพราะผมมองมันไม่เห็น สีมันกลืนไปกับพื้นถนนจนผมไม่รู้ว่ามันมีอยู่บนถนน มีอยู่ครั้งนึงชนเจ้าแบริเออร์ คอนกรีตน้ำหนัก 1 ตันกระเด็นไประยะไกลประมาณ 50 เมตร รถที่ผมขับยุบและย่นเป็นหนอนรถด่วนเลยครับ ดีที่ไม่กระเด็นไปโดนรถใครหรือมีใครรับเคราะห์ต่อจากผม หลายคนคงมีคำถามว่าได้ใบขับขี่ยังไง? ผมผ่านทุกด่านครับ มีด่านทดสอบตาบอดสีนี่แหละที่ลำบากหน่อย เวลาสอบ .. เจ้าหน้าที่เค้าจะใช้วิธีเอาปากกาจิ้มที่ตารางสียิบๆดวงเล็กๆ ผมก็แกล้งบอกว่าพี่เอาปากกาบังแบบนั้นจะเห็นได้ไง และก็เดินไปใกล้ๆชี้ให้เค้าดูว่านี่สีแดง นี่สีเขียว เจ้าหน้าที่ก็เลยไม่ว่าอะไรและปล่อยผ่านครับ (อย่าไปว่าเจ้าหน้าที่นะครับ ว่าในความเจ้าเล่ห์ของผมแทน) และสุดท้ายมีอีกครั้ง ที่ผมรถคว่ำเฉยๆด้วยสาเหตุเพราะยางรถระเบิดตอนขับรถทางไกลไปต่างจังหวัดซึ่งมีคุณแม่นั่งไปด้วย (ไม่เกี่ยวเพราะสายตาเลย) ผมโกรธมากๆเพราะในรถไม่ใช่แค่ผมตัวคนเดียว แต่มีแม่และพี่สาว รถก็เพิ่งถอยป้ายแดงออกมาได้สามวัน ผมไม่โทษใคร แต่ผมโทษในสายตาผมเอง ผมโทษว่าถ้าเราตาดีเราอาจจะมองเห็นอะไรบนถนนที่มันทำอันตรายเราได้ ผสมกับที่เพิ่งโมโหกับการทำพลาดเรื่องทำงานพิธีกรที่อ่านชื่อท่านประธานและบุคคลสำคัญมากมายผิดหลายต่อหลายคน มันเป็นแผลในใจและนั้นผมจึงตัดสินใจไปตามหาหมออีกรอบ ผมตัดสินใจแล้วว่าถึงเจอหมอที่ไม่ชัดเจนในคำตอบผมก็จะลองเสี่ยงทำ ผมพร้อมที่จะเสี่ยงในอารมณ์ตอนนั้น
ในสมัยก่อนไม่ได้มีข้อมูลความรู้ทางอินเตอร์เนตเยอะแยะมากมายแบบนี้นะครับ แต่ผมดันโชคดีอีกตามเคยที่วันนั้นเหลือบตาไปเห็นพาดหัวข่าวว่าพระเอกลิเกประสบอุบัติเหตุเศษกระจกกระเด็นเข้าตา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพี่ไชยา มิตรชัย แต่หาข้อมูลแล้วปรากฎว่าไม่ใช่พี่เค้าที่โดนเศษกระจกแต่โดนลวดเกี่ยว ผมก็งงๆจนทุกวันนี้ว่าตกลงไปเห็นใครที่ลงข่าวกันแน่ 555
หลังจากได้ข่าวเรื่องคุณหมอท่านนี้ ผมเลยรีบพุ่งตัวไปปรึกษาแกด้วยความหวังว่า เอาน่ะ !!! ตรวจครั้งสุดท้ายกับคำตอบแย่ๆมาก็ประมาณ 4-5 ปี มันน่าจะมีคำตอบอะไรใหม่ๆและดีๆให้เราบ้าง และมันก็จริงครับ ... ก่อนจะได้ไปเจอคุณหมอก็จะมีการตรวจสอบเรื่องพื้นฐานเบื้องต้นต่างๆตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการวัดสายตาด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ (ที่ให้มองบอลลูนสีแดง) แน่นอนครับ เครื่อง Error ไม่สามารถวัดสายตาฉันได้ ไปตรวจแบบใส่แว่นตาที่เปลี่ยนกระจกได้ก็เหมือนเดิมครับ ค่าที่วัดได้ตัวเลขแย่กว่าเดิมที่ผมเคยจำได้ น่าจะประมาณ -1400 ผสมเอียงอีก และแน่นอนครับ มันก็ไม่ได้ชัดมากมาย แค่ช่วยได้ระดับนึง จนสุดท้ายก็ได้เข้าไปพบคุณหมอจริงๆครับ ... คุณหมอชื่อพญ.กัลยาณี โรจนาภรณ์ อ้างอิง :
http://www.rutningimbel.com/news_30.html หลังจากที่หมอส่องๆในตา ให้หยอดยาขยายม่านตา ส่องๆอีกสองรอบ แล้วก็ถามผมว่าเป็นมาร์แฟน ซินโดรมใช่ไหม? ไม่ต้องห่วงนะ หมอจัดการได้ แล้วหลังจากนั้นหมอก็เริ่มอธิบายโดยหยิบลูกตาจำลองขึ้นมาเพื่อประกอบการอธิบายครับว่าที่ผมมีปัญหาเพราะอะไร คุณหมอเล่าให้ฟังว่า ผลของมาร์แฟนนั้นส่งผลให้อวัยวะบางชิ้นบางส่วนนั้นยาวผิดรูป ในกรณีของผมคือเอ็นที่ขึงเลนส์แก้วตาซึ่งแทนที่จะมีความยาวทั้งสองฝั่งที่เท่ากัน แต่ปรากฎว่ายาวไม่เท่ากัน จึงทำให้เลนส์ตาไม่อยู่ตรงกลางพอดีกับรูรับภาพตรงกลางที่ตาดำ เมื่อภาพที่เข้ามาผ่านไปที่เลนส์ตาด้านหลังที่ไม่ตรงตำแหน่ง ภาพจึงมีความผิดปกติและเป็นสาเหตุที่สายตาแย่ตามที่ผมเป็น วิธีแก้คือ ต้องทำการผ่าตัดโดยทำการเปิดช่องเข้าไปในลูกตาและตัดเอาเลนส์ตาออก จากนั้นจะทำการนำเลนส์แก้วตาเทียมมาแปะบริเวณด้านหน้าลูกตาแทน ..... ว้าวววววววววววว ฟังแล้วมันช่าง Amazing จริงๆครับ คำถามแรกคือ คุณหมอเคยทำไหมครับ? ผมได้รับคำตอบกลับมาว่า "เคยค่ะ แต่ไม่ใช่คนไข้ที่เป็นปัญหามาร์แฟนโดยตรง แต่เป็นคนไข้ที่ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีการนี้ และส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และหมอสามารถที่จะกำหนดได้เลยว่าหลังจากนี้คุณจะมีสายตาสั้นและยาวเท่าไหนตามขนาดของเลนส์ที่แปะไปที่หน้าลูกตาของคนไข้ ... จากคำตอบของคุณหมอผมตกลงและตัดสินใจนัดคุณหมอทำการผ่าตัดเลยครับ มีแค่ข้อกังวลข้อเดียวที่ผมคิดซึ่งเป็นคำถามมาจากคุณหมอคือ ต้องการให้วางยาสลบไหม? คุณหมอบอกว่ามันไม่ต่างกันเท่าไหร่เพราะเวลาผ่าต้องฉีดยาชาซึ่งคนไข้จะมองอะไรไม่ค่อยชัดเวลาทำการผ่าตัดแต่ก็ยังเห็นแต่เบลอๆ (คิดในใจสรุปว่ามันเห็นหรือไม่เห็นตอนมีดกรีดตานะ แต่ช่างมัน เซฟเงินไปหลายหมื่น ไม่ต้องวางยาสลบละกัน)
การเตรียมตัวก็เหมือนการผ่าตัดทั่วไป (แต่นี่คือครั้งแรกของผม) คือห้ามทานน้ำทานข้าวก่อนทำการผ่าตัด 8-12 ชม. ผมเดินทางไปถึงโรงพยาบาลรัตนินตอนเช้าครับ ตามเวลานัด จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าห้องผ่าตัด สิ่งแรกที่รู้สึกตอนอยู่ในห้องผ่าตัดคือ มันจะหนาวไปไหน? เค้ามีมาตราฐานเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยทุกเรื่องแต่ทางการแพทย์ลืมคิดเรื่องระดับอุณหภูมิในห้องผ่ารึป่าวนะ หนาวมาก ... จากนั้นคุณหมอมาถึง ผู้ช่วยหมอก็เอายาอะไรสักอย่างมาให้อมไว้ใต้ลิ้น บอกเป็นยาคลายเครียดครับ ผมถามชื่อยาแต่ที่จำได้ คำตอบชื่อเป็นยาแนวยานอนหลับ เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าเข้าใจผิดรึป่าว ... หลังจากนั้นก็เป็นกระบวนการฉีดยาชาครับ เท่าที่เห็นแบบเบลอๆ ขนาดเข็มใหญ่พอสมควร พอยาที่ฉีดเข้าไปจะปวดๆและหน่วงๆที่ลูกตา เราจะรู้สึกว่ามันหนักๆและภาพก็ค่อยๆเบลอๆ สเตปต่อไปคือการถ่างลูกตาครับ คุณหมอจะมีเครื่องมือถ่างเปลือกตาเราและหลังจากนั้นผมก็มองอะไรไม่เห็นละ นอกจากเป็นเหมือนวุ้นๆใสๆเคลื่อนไปมาๆ
ผมออกจากห้องผ่าตัดและเข้าห้องพักฟื้นครับ จากนั้นหลับอย่างเดียว ตื่นมาทานข้าวทานยาหยอดยาลดความดันลูกตาแล้วก็หลับ ตื่นมาหัวค่ำทานข้าวทานยาหยอดยาลดความดันลูกตาแล้วก็หลับ ตื่นมาตอนเช้าวันถัดไปก็เริ่มลืมตามองได้ลางๆเบลอๆเพราะตายังเปิดไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ คุณหมอเข้ามาพบและบอกว่าผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ หลังจากนี้สักสองอาทิตย์ค่อยทำการผ่าอีกข้าง เหตุผลที่ทำทีละข้างเพราะหากเกิดเหตุเกินความคาดหมายจะได้เหลืออีกข้างครับ แต่หลังจากที่ผมผ่าตัดเสร็จ เริ่มใช้สายตาข้างใหม่ของผมได้ สิ่งที่ผมเจอและรู้สึกคือ ผมปวดหัวมากๆครับ ผมเดาได้เป็นเพราะข้างนึงค่อยๆโคตรชัด อีกข้างนึงโคตรเบลอ มึนหัวมาก เลยตัดสินใจบอกคุณหมอว่าผ่าอีกข้างเลยครับ ไม่ต้องรอสองอาทิตย์ เพราะเจอมาแล้ว รู้แล้วว่าเป็นไงตอนผ่า ไม่กลัวแล้วครับ เด็กๆมากเรื่องนี้ ... สรุปหลังจากที่ทำการผ่าวันแรก ผ่านมาวันที่สี่ผ่าอีกข้างเลยครับ
แล้วนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของสีสันในชีวิตผมครับ
ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเพราะสาเหตุโรคมาร์แฟน ซินโดรม (Marfan Syndrome) ...
เข้าเรื่องเลยละกันนะครับ .... คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคมาร์แฟน ซินโดรมนั้น มักจะมีปัญหาในร่างกายต่างๆตามมามากมาย แล้วแต่ว่าแต่ละคนนั้นจะได้พบประสบกับปัญหาในเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่อง ลิ้นหัวใจรั่ว หลอดเลือดหัวใจที่ใหญ่เกินปกติ ร่างกายสูงยาวผิดปกติ แขนยาว ขายาว นิ้วมือยาว และเมื่อกางแขนออก ความยาวของช่วงแขนจะมากกว่าความสูง ข้อต่อหรือไขข้อผิดปกติ เนื้อเยื่อหุ้มปอดผิดปกติ มีความผิดปกติของหน้าอก เท้าแบน กระดูกสันหลังคด หน้าผอมยาว ขากรรไกรสั้นและอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าจะประสบปัญหาด้านไหน แต่ปัญหาที่ผมอยากจะหยิบยกเล่าสู่กันฟังและถ่ายทอดในกระทู้นี้นั้น เพราะเท่าที่สังเกตุว่าส่วนใหญ่ในสังคมมาร์แฟน ซินโดรมต้องเป็นกันทุกคนคือเรื่องของ "เลนส์ตาเคลื่อน" ครับ
ผมเป็นคนนึงที่มีปัญหาเรื่องของสายตาเพราะปัญหาต่อเนื่องที่เกิดมาจากมาร์แฟน ซินโดรม ระบบสายตาของผมเริ่มแย่ขึ้นๆมาเรื่อยๆเท่าที่ผมจำความได้ก็น่าจะตั้งแต่ป.3 ครับ ที่เริ่มจะต้องใส่แว่นหนาๆ สายตาสั้นเกิน 1000 ขึ้นไป ใส่แว่นสายตาแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย กระทบเรื่องปัญหาการเรียน ย้ายมานั่งหน้าแล้วก็ยังไม่ค่อยเห็น แถมโดนเพื่อนด่าอีกว่าตัวสูงแต่ดันทะลึ่งมานั่งหน้าห้อง
อย่างที่เคยเล่าให้ฟังครับ คุณแม่ของผมพยายามพาผมไปตรวจเรื่องสายตาและหาวิธีรักษาหลายต่อหลายที่แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจจนท้อและคิดแต่ว่าคงต้องรอไปสักพัก เผื่อวิวัฒนาการความทันสมัยทางการแพทย์จะดีขึ้นและมีวิธีรักษา พอเริ่มโตขึ้นประมาณตอนผมเรียนมหาลัย ผมก็เริ่มไปหาหมอเองตามที่ต่างๆที่มีคนบอกว่าที่นี่ดี ที่โน้นดี ที่นั้นมีอาจารย์หมออยู่ ที่นี่มีหมอจบจากเมืองนอกด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ก็เหมือนเดิมครับ ไม่มีที่ไหนหรือคุณหมอท่านไหนที่จะให้คำตอบที่ผมสบายใจและพูดได้เต็มปากว่าจะรักษาในปัญหาที่ผมเป็นได้ ...
ขออนุญาตแทรกเล่าเปรียบเทียบให้ฟังว่าสายตาปกติกับสายตาของคนที่มีปัญหาเลนส์ตาเคลื่อนเป็นยังไงครับ ... คุณลองจินตนาการว่าสิ่งที่คุณเห็นทุกอย่างในโลกนี้ โครงสร้าง รูปร่าง ขนาด สี พื้นผิว ทุกอย่างเหมือนคนสายตาปกติครับ แต่ทุกอย่างมีความเข้มของสีที่ต่ำลง แดงที่ผมเห็นกับแดงที่คนสายตาปกติเห็นจะแตกต่างกัน ของที่พวกคุณมองเห็นจะเป็นสีที่แดงสดกว่าผม นั้นแปลว่าถ้าเป็นตัวอักษรเล็กๆที่เป็นสีดำ ผมจะเห็นมันจางมาก มากๆจนเกือบจะกลืนไปกับสภาพพื้นผิวของที่มันรองอยู่ที่มีสีเยอะกว่า .... แสงไฟที่คุณเห็นทั่วไป ไม่ว่าจะหลอดไฟในบ้าน หลอดไฟตามท้องถนน หลอดไฟจากหน้ารถ แสงไฟจากทีวี มันจะมีละอองออร่าแสงกระจายออกมารอบตัวมันมากขึ้น กระจายออกมาในรัศมีมากกว่าจนทำให้ถ้ามีอะไรอยู่ข้างๆตัวกำเนิดไปนั้น มันจะกลืนหายไปเลยครับ ...
ผมอยู่และใช้ชีวิตกับสายตาแบบนี้มาตลอดจนอายุเกือบ 30 ปีครับ และแน่นอนเพื่อให้สมกับความเป็นไซมอน ผมใช้ชีวิตห่ามๆตามเดิม ในขณะที่สายตาผมห่วยยำๆขนาดนั้น ผมก็ยังขับรถปกติเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพื่อนทุกคนที่นั่งรถที่ผมขับ ทุกคนพูดเป็นคำเดียวว่า "นี่มันมัจุราชขับรถชัดๆ" แต่เรื่องที่โชคดีที่เกิดขึ้นกับผมคือ ผมไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่ประสบอุบัติเหตุในการขับรถโดยมีบุคคลมาเกี่ยวข้องครับ ไม่เคยเลย ผมนึกย้อนไปถึงภาพเก่าๆและพูดได้คำเดียวว่า "ผมมันโชคดีมากๆ"
ก่อนหน้าที่ผมทำการผ่าตัดแก้ปัญหาในเรื่องของกระจกตา ผมเคยขับรถแบบรถพังเละแบบที่ว่าไม่ต้องซ่อมรถ ขายซากเหอะทั้งหมดจำนวน 2 คันครึ่งครับ ที่บอกอีกครึ่งคันเพราะคันนั้นชนแล้วซ่อม ชนแล้วซ่อมน่าจะประมาณ 7-8 รอบจนขายทิ้งถูกๆตอนหลัง ... ส่วนใหญ่ที่ผมจะไปมีเรื่องด้วยก็จะเป็นพวกก้อนแบริเออร์ คอนกรีตที่อยู่บนถนนครับ เพราะผมมองมันไม่เห็น สีมันกลืนไปกับพื้นถนนจนผมไม่รู้ว่ามันมีอยู่บนถนน มีอยู่ครั้งนึงชนเจ้าแบริเออร์ คอนกรีตน้ำหนัก 1 ตันกระเด็นไประยะไกลประมาณ 50 เมตร รถที่ผมขับยุบและย่นเป็นหนอนรถด่วนเลยครับ ดีที่ไม่กระเด็นไปโดนรถใครหรือมีใครรับเคราะห์ต่อจากผม หลายคนคงมีคำถามว่าได้ใบขับขี่ยังไง? ผมผ่านทุกด่านครับ มีด่านทดสอบตาบอดสีนี่แหละที่ลำบากหน่อย เวลาสอบ .. เจ้าหน้าที่เค้าจะใช้วิธีเอาปากกาจิ้มที่ตารางสียิบๆดวงเล็กๆ ผมก็แกล้งบอกว่าพี่เอาปากกาบังแบบนั้นจะเห็นได้ไง และก็เดินไปใกล้ๆชี้ให้เค้าดูว่านี่สีแดง นี่สีเขียว เจ้าหน้าที่ก็เลยไม่ว่าอะไรและปล่อยผ่านครับ (อย่าไปว่าเจ้าหน้าที่นะครับ ว่าในความเจ้าเล่ห์ของผมแทน) และสุดท้ายมีอีกครั้ง ที่ผมรถคว่ำเฉยๆด้วยสาเหตุเพราะยางรถระเบิดตอนขับรถทางไกลไปต่างจังหวัดซึ่งมีคุณแม่นั่งไปด้วย (ไม่เกี่ยวเพราะสายตาเลย) ผมโกรธมากๆเพราะในรถไม่ใช่แค่ผมตัวคนเดียว แต่มีแม่และพี่สาว รถก็เพิ่งถอยป้ายแดงออกมาได้สามวัน ผมไม่โทษใคร แต่ผมโทษในสายตาผมเอง ผมโทษว่าถ้าเราตาดีเราอาจจะมองเห็นอะไรบนถนนที่มันทำอันตรายเราได้ ผสมกับที่เพิ่งโมโหกับการทำพลาดเรื่องทำงานพิธีกรที่อ่านชื่อท่านประธานและบุคคลสำคัญมากมายผิดหลายต่อหลายคน มันเป็นแผลในใจและนั้นผมจึงตัดสินใจไปตามหาหมออีกรอบ ผมตัดสินใจแล้วว่าถึงเจอหมอที่ไม่ชัดเจนในคำตอบผมก็จะลองเสี่ยงทำ ผมพร้อมที่จะเสี่ยงในอารมณ์ตอนนั้น
ในสมัยก่อนไม่ได้มีข้อมูลความรู้ทางอินเตอร์เนตเยอะแยะมากมายแบบนี้นะครับ แต่ผมดันโชคดีอีกตามเคยที่วันนั้นเหลือบตาไปเห็นพาดหัวข่าวว่าพระเอกลิเกประสบอุบัติเหตุเศษกระจกกระเด็นเข้าตา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพี่ไชยา มิตรชัย แต่หาข้อมูลแล้วปรากฎว่าไม่ใช่พี่เค้าที่โดนเศษกระจกแต่โดนลวดเกี่ยว ผมก็งงๆจนทุกวันนี้ว่าตกลงไปเห็นใครที่ลงข่าวกันแน่ 555
หลังจากได้ข่าวเรื่องคุณหมอท่านนี้ ผมเลยรีบพุ่งตัวไปปรึกษาแกด้วยความหวังว่า เอาน่ะ !!! ตรวจครั้งสุดท้ายกับคำตอบแย่ๆมาก็ประมาณ 4-5 ปี มันน่าจะมีคำตอบอะไรใหม่ๆและดีๆให้เราบ้าง และมันก็จริงครับ ... ก่อนจะได้ไปเจอคุณหมอก็จะมีการตรวจสอบเรื่องพื้นฐานเบื้องต้นต่างๆตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการวัดสายตาด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ (ที่ให้มองบอลลูนสีแดง) แน่นอนครับ เครื่อง Error ไม่สามารถวัดสายตาฉันได้ ไปตรวจแบบใส่แว่นตาที่เปลี่ยนกระจกได้ก็เหมือนเดิมครับ ค่าที่วัดได้ตัวเลขแย่กว่าเดิมที่ผมเคยจำได้ น่าจะประมาณ -1400 ผสมเอียงอีก และแน่นอนครับ มันก็ไม่ได้ชัดมากมาย แค่ช่วยได้ระดับนึง จนสุดท้ายก็ได้เข้าไปพบคุณหมอจริงๆครับ ... คุณหมอชื่อพญ.กัลยาณี โรจนาภรณ์ อ้างอิง : http://www.rutningimbel.com/news_30.html หลังจากที่หมอส่องๆในตา ให้หยอดยาขยายม่านตา ส่องๆอีกสองรอบ แล้วก็ถามผมว่าเป็นมาร์แฟน ซินโดรมใช่ไหม? ไม่ต้องห่วงนะ หมอจัดการได้ แล้วหลังจากนั้นหมอก็เริ่มอธิบายโดยหยิบลูกตาจำลองขึ้นมาเพื่อประกอบการอธิบายครับว่าที่ผมมีปัญหาเพราะอะไร คุณหมอเล่าให้ฟังว่า ผลของมาร์แฟนนั้นส่งผลให้อวัยวะบางชิ้นบางส่วนนั้นยาวผิดรูป ในกรณีของผมคือเอ็นที่ขึงเลนส์แก้วตาซึ่งแทนที่จะมีความยาวทั้งสองฝั่งที่เท่ากัน แต่ปรากฎว่ายาวไม่เท่ากัน จึงทำให้เลนส์ตาไม่อยู่ตรงกลางพอดีกับรูรับภาพตรงกลางที่ตาดำ เมื่อภาพที่เข้ามาผ่านไปที่เลนส์ตาด้านหลังที่ไม่ตรงตำแหน่ง ภาพจึงมีความผิดปกติและเป็นสาเหตุที่สายตาแย่ตามที่ผมเป็น วิธีแก้คือ ต้องทำการผ่าตัดโดยทำการเปิดช่องเข้าไปในลูกตาและตัดเอาเลนส์ตาออก จากนั้นจะทำการนำเลนส์แก้วตาเทียมมาแปะบริเวณด้านหน้าลูกตาแทน ..... ว้าวววววววววววว ฟังแล้วมันช่าง Amazing จริงๆครับ คำถามแรกคือ คุณหมอเคยทำไหมครับ? ผมได้รับคำตอบกลับมาว่า "เคยค่ะ แต่ไม่ใช่คนไข้ที่เป็นปัญหามาร์แฟนโดยตรง แต่เป็นคนไข้ที่ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีการนี้ และส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และหมอสามารถที่จะกำหนดได้เลยว่าหลังจากนี้คุณจะมีสายตาสั้นและยาวเท่าไหนตามขนาดของเลนส์ที่แปะไปที่หน้าลูกตาของคนไข้ ... จากคำตอบของคุณหมอผมตกลงและตัดสินใจนัดคุณหมอทำการผ่าตัดเลยครับ มีแค่ข้อกังวลข้อเดียวที่ผมคิดซึ่งเป็นคำถามมาจากคุณหมอคือ ต้องการให้วางยาสลบไหม? คุณหมอบอกว่ามันไม่ต่างกันเท่าไหร่เพราะเวลาผ่าต้องฉีดยาชาซึ่งคนไข้จะมองอะไรไม่ค่อยชัดเวลาทำการผ่าตัดแต่ก็ยังเห็นแต่เบลอๆ (คิดในใจสรุปว่ามันเห็นหรือไม่เห็นตอนมีดกรีดตานะ แต่ช่างมัน เซฟเงินไปหลายหมื่น ไม่ต้องวางยาสลบละกัน)
การเตรียมตัวก็เหมือนการผ่าตัดทั่วไป (แต่นี่คือครั้งแรกของผม) คือห้ามทานน้ำทานข้าวก่อนทำการผ่าตัด 8-12 ชม. ผมเดินทางไปถึงโรงพยาบาลรัตนินตอนเช้าครับ ตามเวลานัด จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าห้องผ่าตัด สิ่งแรกที่รู้สึกตอนอยู่ในห้องผ่าตัดคือ มันจะหนาวไปไหน? เค้ามีมาตราฐานเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยทุกเรื่องแต่ทางการแพทย์ลืมคิดเรื่องระดับอุณหภูมิในห้องผ่ารึป่าวนะ หนาวมาก ... จากนั้นคุณหมอมาถึง ผู้ช่วยหมอก็เอายาอะไรสักอย่างมาให้อมไว้ใต้ลิ้น บอกเป็นยาคลายเครียดครับ ผมถามชื่อยาแต่ที่จำได้ คำตอบชื่อเป็นยาแนวยานอนหลับ เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าเข้าใจผิดรึป่าว ... หลังจากนั้นก็เป็นกระบวนการฉีดยาชาครับ เท่าที่เห็นแบบเบลอๆ ขนาดเข็มใหญ่พอสมควร พอยาที่ฉีดเข้าไปจะปวดๆและหน่วงๆที่ลูกตา เราจะรู้สึกว่ามันหนักๆและภาพก็ค่อยๆเบลอๆ สเตปต่อไปคือการถ่างลูกตาครับ คุณหมอจะมีเครื่องมือถ่างเปลือกตาเราและหลังจากนั้นผมก็มองอะไรไม่เห็นละ นอกจากเป็นเหมือนวุ้นๆใสๆเคลื่อนไปมาๆ
ผมออกจากห้องผ่าตัดและเข้าห้องพักฟื้นครับ จากนั้นหลับอย่างเดียว ตื่นมาทานข้าวทานยาหยอดยาลดความดันลูกตาแล้วก็หลับ ตื่นมาหัวค่ำทานข้าวทานยาหยอดยาลดความดันลูกตาแล้วก็หลับ ตื่นมาตอนเช้าวันถัดไปก็เริ่มลืมตามองได้ลางๆเบลอๆเพราะตายังเปิดไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ คุณหมอเข้ามาพบและบอกว่าผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ หลังจากนี้สักสองอาทิตย์ค่อยทำการผ่าอีกข้าง เหตุผลที่ทำทีละข้างเพราะหากเกิดเหตุเกินความคาดหมายจะได้เหลืออีกข้างครับ แต่หลังจากที่ผมผ่าตัดเสร็จ เริ่มใช้สายตาข้างใหม่ของผมได้ สิ่งที่ผมเจอและรู้สึกคือ ผมปวดหัวมากๆครับ ผมเดาได้เป็นเพราะข้างนึงค่อยๆโคตรชัด อีกข้างนึงโคตรเบลอ มึนหัวมาก เลยตัดสินใจบอกคุณหมอว่าผ่าอีกข้างเลยครับ ไม่ต้องรอสองอาทิตย์ เพราะเจอมาแล้ว รู้แล้วว่าเป็นไงตอนผ่า ไม่กลัวแล้วครับ เด็กๆมากเรื่องนี้ ... สรุปหลังจากที่ทำการผ่าวันแรก ผ่านมาวันที่สี่ผ่าอีกข้างเลยครับ แล้วนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของสีสันในชีวิตผมครับ