เป็นกระทู้แรกของผมในพันทิปนะครับ ถึงกับสมัครเพื่อมาลงเรื่องนี้เลยทีเดียว 5555555555
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ ดีไม่ดีอย่างไรแนะนำติชมกันได้ตามสบายเลยครับ ^^
บันทึกความทรงจำ สาธุ...ก่อนชีวิตจะสิ้น ขอดิ้นไปวังเวียง โอมเพี้ยง เอ้า ถึงหลวงพระบางเลย
ตอนที่ 1 ขอตั้งชื่อตอนว่า "Daydreamer"
"อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ" ถรุย ไม่ใช่พลอยชมพูจะได้มาครวญเพลงปลิวให้หนวกหูตัวเอง แต่มีเรื่องติดค้างในใจมากมายดุจดั่งเนื้อเพลงเหลือเกิน เล่าให้ใครฟังก็ไม่สาแก่ใจ ความรู้สึกข้างในยังคงคุกกรุ่นดุจไฟในกองลาวาใต้ภูเขาไฟฟูจิ ครั้นจะไปลงในเฟสก็ไม่เคยโพสต์อะไรกับเขาสักที จึงขอมาบ่นในพันทิปนี่แล้วกัน
เนื้อเรื่องข้างล่างที่จะกล่าวจากนี้ไป หากท่านผู้อ่านคิดว่ายาวไปก็เลื่อนผ่านไปเสีย แต่หากใครอยากจะร่วมดื่มด่ำกับบรรยากาศความบ้าระห่ำของผมก็ตามมา เหมือนที่อาจารย์ยิ่งศักดิ์ไม่เคยกล่าวไว้แต่ผมกล่าวเองว่า อ่านได้ก็อ่าน อ่านไม่ได้แม่...ก็แค่เลื่อนผ่านไป รำคาญใจก็ปิดทิ้งซะ เพราะมันคือการ บ่น บ่น บ่น และรวบรวมเอาความทรงจำอันเลือนลางของผมมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านได้สัมผัสความระห่ำผ่านตัวอักษร และหากใครมีใจอยากจะไปในที่ที่ผมเคยไปก็ถือว่าอ่านรีวิวไว้ เพื่อเป็นความรู้ก็แล้วกัน
มันคือรีวิวที่เหมือนไม่ใช่รีวิว ถือว่าเป็นการบันทึกความทรงจำก็แล้วกันกับการเดินทางสุดระห่ำที่สุดในชีวิตของผมที่ผมจะจดจำไปจนวันตาย
เวิ่นเว้อมาเยอะเหลือเกินหลายท่านคงจะคิด "ไอ้สั.... เล่าซะทีเถอะ" ครับ เล่าก็ได้
............"ไป บักหล้า เข้าเมืองไปทำพาสปอร์ต"
คำพูดที่เย็นตั้งแต่เส้นผมลงไปจรดเล็บขบ ที่ผมได้ยินตั้งแต่เช้าตรู่ของวันหนึ่งระหว่างที่ผมกำลังรดน้ำอยู่ในสวนกล้วยไม้ พร้อมกับฟังเพลงซึ้งๆของพี่บี พีระพัฒน์ "เอาจริงเหรอวะ"คือคำที่ผมคิดในหัวสมอง
ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆสักคำให้ลึกซึ้ง ผมเต้นผางกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ทันที รีบขี่กลับบ้านไปเตรียมเอกสารอย่างเร่งด่วน ชั่วโมงต่อมาผมกับคุณลุงขับรถเข้าเมืองทันใด
เสร็จสรรพครบถ้วนกระบวนความ ต้องรออีก7วันพาสปอร์ตถึงจะถูกส่งถึงบ้าน ระหว่างทางผมถามคุณลุงจากใจว่า จะพาไปจริงเหรอ คำตอบเย็นๆที่ทำให้ผมเย็นจนถึงส้นเท้าอีกครั้งว่า "เผื่อเรามีโอกาสได้ไปไง ทำไว้ก่อน"
.
.
.
............พิโธ่พิถังกะละมังช้อน ต้มกันจนเปื่อยเสียแล้ว
ท่านผู้อ่านคงจะงง อะไรเป็นยังไงมายังไง ผมต้องขอเล่าย้อนไปเมื่อคืนหนึ่งของเกือบ 3 เดือนก่อน ระหว่างผมนั่งร่วมวงเหล้าร่ำน้ำโค้กร่วมกับญาติผู้ใหญ่หลายๆท่านที่ผมทำได้เพียงนั่งมองพวกท่านกระดกเบียร์อั๊กๆเข้าสู่ลำคอ ขณะที่ผมมองตาปริบๆได้แต่จิ้มน้ำแข็งลงแก้วน้ำโค้กของตัวเอง แน่นอนผู้ใหญ่คุยกัน ย่อมเป็นเรื่องอดีตที่ผ่านมา และมีบทสนทนาหนึ่งที่พวกท่านเล่าถึงประสบการณ์เที่ยวของตนเอง และคุณลุงของผมก็เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวที่ประเทศลาว ซึ่งผมก็นั่งฟังอย่างสนใจพลางคิดว่าสักวันหนึ่งผมต้องไปเหยียบที่นั่นให้ได้ ไม่รู้ด้วยความเมาจะเอาจริงหรือพูดเล่น แต่คุณลุงท่านได้หล่นวาจาบอกผมไว้ว่า "เดี๋ยวคุณลุงจะพาบักหล้าไป" (อนึ่ง บักหล้าคือคำที่คุณลุงใช้เรียกผม แปลว่าหลานชายคนเดียว) ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายคงจะเพราะแค่ความเมากระมัง ผมก็เพียงได้แต่วาดฝันเล็กๆในใจของผม แล้วคืนนั้นก็ผ่านพ้นไป........
..........จนเช้าวันรุ่งขึ้นที่ไปทำพาสปอร์ตนั่นเอง
ผมกลับไปเรียนที่มหาลัยด้วยความฝันลมๆแล้งๆ ทั้งสัปดาห์ผมใช้เวลามั่วแต่อ่านรีวิวในพันทิปเที่ยววังเวียง-หลวงพระบาง ประหนึ่งได้ไปเที่ยวด้วยตนเอง จดทุกสถานที่ทุกเส้นทาง ปริ้นแผนที่ออกมาดู หาข้อมูลทุกอย่าง ทุกร้านอาหารที่อร่อย ทุกเส้นทางเดิน ประหนึ่ง CIA กำลังตามหาตัวเจสันบอร์น ด้วยความฝันลมๆแล้งๆว่า อาจจะเป็นปีหรือ2ปีนี้ ที่ผมอาจจะได้ไปที่นั้น พาสปอร์ตที่ถูกส่งไปถึงบ้านแล้วเรียบร้อย รู้สึกสัปดาห์นั้นจะมีวันหยุดทำให้ผมได้กลับบ้านตั้งแต่วันอังคาร
..........เมื่อมาถึงบ้านผมก็กุลีกุจอรีบไปดูพาสปอร์ตอันแรกในชีวิตของตัวเองทันที เออ เท่ไม่เบาแฮะ กรูมีพาสปอร์ตแล้วนี่หว่า แล้วคืนนั้นก็ผ่านพ้นไป......
.
.
.
........เช้าวันรุ่งขึ้นที่เป็นวันพุธนั้นเอง ทุกอย่างสงบสุขในสวนกล้วยไม้ที่มีแต่เสียงน้ำจากปั้มฉีดและเสียงเพลงของพี่บีนั้นเอง ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งแทรกลอดเข้ามา เป็นคำพูดที่ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจนต้องถามย้ำให้พูดอีกครั้ง "จัดกระเป๋าหรือยังล่ะ เราไปวันศุกร์นี้นะ" เย็นตั้งแต่เส้นผมจรดพื้นแม็กม่าใต้ผิวโลกที่รองใต้ส้นเท้าผมอยู่ "ตัวเงินตัวทองอะไรวะ" เป็นห้วงคำพูดที่ดังในสมองของผม ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้งก็ได้รับคำตอบว่า "ศุกร์นี้เราสองคน ไปวังเวียงกัน"
..........นาทีนั้นผมเหมือนเขียดตะปาดตัวน้อยที่อยู่ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์หลายพันเอเคอร์ นอนอยู่พื้นหญ้านิ่มๆและมีลมเย็นๆพัดผ่านมาท่ามกลางอากาศที่สดชื่น พลางถามตัวเองว่า เกิดตัวเงินตัวทองอะไรขึ้นวะ กรูกำลังจะได้ไปจริงๆใช่ไหม
เท้าความสักนิด เผื่อท่านผู้อ่านที่กรุณาอ่านมาถึงตรงนี้จะสงสัยว่า

งจะดีใจเฮียอะไรนักหนาวะ ก็เพราะว่า หลังจากงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติปี 2006 ผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนไกลๆอีกเลย 10ปีมาแล้วที่ผมไม่ได้เที่ยวไกลขนาดนี้ แถมยังได้ไปในที่ที่เขาว่ากันว่าเป็น The Lost Paradise ซะด้วย ผมได้แต่นอนตาเยิ้มประดุจดั่งปุ๊นๆมา 10 หลุมได้
"รอข้าก่อนวังเวียง ข้ากำลังจะไป"
.
.
.
.
To be continued
[CR] บันทึกความทรงจำ สาธุ...ก่อนชีวิตจะสิ้น ขอดิ้นไปวังเวียง โอมเพี้ยง เอ้า ถึงหลวงพระบางเลย
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ ดีไม่ดีอย่างไรแนะนำติชมกันได้ตามสบายเลยครับ ^^
บันทึกความทรงจำ สาธุ...ก่อนชีวิตจะสิ้น ขอดิ้นไปวังเวียง โอมเพี้ยง เอ้า ถึงหลวงพระบางเลย
ตอนที่ 1 ขอตั้งชื่อตอนว่า "Daydreamer"
"อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ" ถรุย ไม่ใช่พลอยชมพูจะได้มาครวญเพลงปลิวให้หนวกหูตัวเอง แต่มีเรื่องติดค้างในใจมากมายดุจดั่งเนื้อเพลงเหลือเกิน เล่าให้ใครฟังก็ไม่สาแก่ใจ ความรู้สึกข้างในยังคงคุกกรุ่นดุจไฟในกองลาวาใต้ภูเขาไฟฟูจิ ครั้นจะไปลงในเฟสก็ไม่เคยโพสต์อะไรกับเขาสักที จึงขอมาบ่นในพันทิปนี่แล้วกัน
เนื้อเรื่องข้างล่างที่จะกล่าวจากนี้ไป หากท่านผู้อ่านคิดว่ายาวไปก็เลื่อนผ่านไปเสีย แต่หากใครอยากจะร่วมดื่มด่ำกับบรรยากาศความบ้าระห่ำของผมก็ตามมา เหมือนที่อาจารย์ยิ่งศักดิ์ไม่เคยกล่าวไว้แต่ผมกล่าวเองว่า อ่านได้ก็อ่าน อ่านไม่ได้แม่...ก็แค่เลื่อนผ่านไป รำคาญใจก็ปิดทิ้งซะ เพราะมันคือการ บ่น บ่น บ่น และรวบรวมเอาความทรงจำอันเลือนลางของผมมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านได้สัมผัสความระห่ำผ่านตัวอักษร และหากใครมีใจอยากจะไปในที่ที่ผมเคยไปก็ถือว่าอ่านรีวิวไว้ เพื่อเป็นความรู้ก็แล้วกัน
มันคือรีวิวที่เหมือนไม่ใช่รีวิว ถือว่าเป็นการบันทึกความทรงจำก็แล้วกันกับการเดินทางสุดระห่ำที่สุดในชีวิตของผมที่ผมจะจดจำไปจนวันตาย
เวิ่นเว้อมาเยอะเหลือเกินหลายท่านคงจะคิด "ไอ้สั.... เล่าซะทีเถอะ" ครับ เล่าก็ได้
............"ไป บักหล้า เข้าเมืองไปทำพาสปอร์ต"
คำพูดที่เย็นตั้งแต่เส้นผมลงไปจรดเล็บขบ ที่ผมได้ยินตั้งแต่เช้าตรู่ของวันหนึ่งระหว่างที่ผมกำลังรดน้ำอยู่ในสวนกล้วยไม้ พร้อมกับฟังเพลงซึ้งๆของพี่บี พีระพัฒน์ "เอาจริงเหรอวะ"คือคำที่ผมคิดในหัวสมอง
ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆสักคำให้ลึกซึ้ง ผมเต้นผางกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ทันที รีบขี่กลับบ้านไปเตรียมเอกสารอย่างเร่งด่วน ชั่วโมงต่อมาผมกับคุณลุงขับรถเข้าเมืองทันใด
เสร็จสรรพครบถ้วนกระบวนความ ต้องรออีก7วันพาสปอร์ตถึงจะถูกส่งถึงบ้าน ระหว่างทางผมถามคุณลุงจากใจว่า จะพาไปจริงเหรอ คำตอบเย็นๆที่ทำให้ผมเย็นจนถึงส้นเท้าอีกครั้งว่า "เผื่อเรามีโอกาสได้ไปไง ทำไว้ก่อน"
.
.
.
............พิโธ่พิถังกะละมังช้อน ต้มกันจนเปื่อยเสียแล้ว
ท่านผู้อ่านคงจะงง อะไรเป็นยังไงมายังไง ผมต้องขอเล่าย้อนไปเมื่อคืนหนึ่งของเกือบ 3 เดือนก่อน ระหว่างผมนั่งร่วมวงเหล้าร่ำน้ำโค้กร่วมกับญาติผู้ใหญ่หลายๆท่านที่ผมทำได้เพียงนั่งมองพวกท่านกระดกเบียร์อั๊กๆเข้าสู่ลำคอ ขณะที่ผมมองตาปริบๆได้แต่จิ้มน้ำแข็งลงแก้วน้ำโค้กของตัวเอง แน่นอนผู้ใหญ่คุยกัน ย่อมเป็นเรื่องอดีตที่ผ่านมา และมีบทสนทนาหนึ่งที่พวกท่านเล่าถึงประสบการณ์เที่ยวของตนเอง และคุณลุงของผมก็เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวที่ประเทศลาว ซึ่งผมก็นั่งฟังอย่างสนใจพลางคิดว่าสักวันหนึ่งผมต้องไปเหยียบที่นั่นให้ได้ ไม่รู้ด้วยความเมาจะเอาจริงหรือพูดเล่น แต่คุณลุงท่านได้หล่นวาจาบอกผมไว้ว่า "เดี๋ยวคุณลุงจะพาบักหล้าไป" (อนึ่ง บักหล้าคือคำที่คุณลุงใช้เรียกผม แปลว่าหลานชายคนเดียว) ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายคงจะเพราะแค่ความเมากระมัง ผมก็เพียงได้แต่วาดฝันเล็กๆในใจของผม แล้วคืนนั้นก็ผ่านพ้นไป........
..........จนเช้าวันรุ่งขึ้นที่ไปทำพาสปอร์ตนั่นเอง
ผมกลับไปเรียนที่มหาลัยด้วยความฝันลมๆแล้งๆ ทั้งสัปดาห์ผมใช้เวลามั่วแต่อ่านรีวิวในพันทิปเที่ยววังเวียง-หลวงพระบาง ประหนึ่งได้ไปเที่ยวด้วยตนเอง จดทุกสถานที่ทุกเส้นทาง ปริ้นแผนที่ออกมาดู หาข้อมูลทุกอย่าง ทุกร้านอาหารที่อร่อย ทุกเส้นทางเดิน ประหนึ่ง CIA กำลังตามหาตัวเจสันบอร์น ด้วยความฝันลมๆแล้งๆว่า อาจจะเป็นปีหรือ2ปีนี้ ที่ผมอาจจะได้ไปที่นั้น พาสปอร์ตที่ถูกส่งไปถึงบ้านแล้วเรียบร้อย รู้สึกสัปดาห์นั้นจะมีวันหยุดทำให้ผมได้กลับบ้านตั้งแต่วันอังคาร
..........เมื่อมาถึงบ้านผมก็กุลีกุจอรีบไปดูพาสปอร์ตอันแรกในชีวิตของตัวเองทันที เออ เท่ไม่เบาแฮะ กรูมีพาสปอร์ตแล้วนี่หว่า แล้วคืนนั้นก็ผ่านพ้นไป......
.
.
.
........เช้าวันรุ่งขึ้นที่เป็นวันพุธนั้นเอง ทุกอย่างสงบสุขในสวนกล้วยไม้ที่มีแต่เสียงน้ำจากปั้มฉีดและเสียงเพลงของพี่บีนั้นเอง ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งแทรกลอดเข้ามา เป็นคำพูดที่ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจนต้องถามย้ำให้พูดอีกครั้ง "จัดกระเป๋าหรือยังล่ะ เราไปวันศุกร์นี้นะ" เย็นตั้งแต่เส้นผมจรดพื้นแม็กม่าใต้ผิวโลกที่รองใต้ส้นเท้าผมอยู่ "ตัวเงินตัวทองอะไรวะ" เป็นห้วงคำพูดที่ดังในสมองของผม ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้งก็ได้รับคำตอบว่า "ศุกร์นี้เราสองคน ไปวังเวียงกัน"
..........นาทีนั้นผมเหมือนเขียดตะปาดตัวน้อยที่อยู่ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์หลายพันเอเคอร์ นอนอยู่พื้นหญ้านิ่มๆและมีลมเย็นๆพัดผ่านมาท่ามกลางอากาศที่สดชื่น พลางถามตัวเองว่า เกิดตัวเงินตัวทองอะไรขึ้นวะ กรูกำลังจะได้ไปจริงๆใช่ไหม
เท้าความสักนิด เผื่อท่านผู้อ่านที่กรุณาอ่านมาถึงตรงนี้จะสงสัยว่า
"รอข้าก่อนวังเวียง ข้ากำลังจะไป"
.
.
.
.
To be continued