[CR] เวียนนา จาก stopover สู่เมืองที่ตกหลุมรัก

การเดินทางครั้งนี้เริ่มจากกรุงเทพฯไปเบอร์ลินที่ประเทศเยอรมันนี จริงๆเริ่มแรกจะเป็นทริปการทำงานเหมือนทุกครั้ง แต่ไหนๆแล้วเห็นว่าขากลับจะเป็น Austrian Airline (ปกติแล้วบริษัทก็จะบิน THAI หรือ Star Aliiance) แล้ว via Vienna ผมก็เลย make the most of it ด้วยการชวนภรรยาและลูกไปด้วย แต่สรุปมีพี่กับน้องสาวร่วมแจมไปอีก เปลี่ยนแผนนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็เป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ดีสำหรับพวกเรา

Day 1 - ยุโรปครั้งแรกด้วยกัน

หลังจากที่เสร็จงานที่กรุงเบอร์ลิน ผมและทีมก็ได้นั่งเครื่องมาเปลี่ยนที่กรุงเวียนนา ต่างกันที่ทีมงานขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯกันต่อเลย ส่วนผมก็เปลี่ยนมานั่ง Vienna Airport Line เข้าเมืองไปหาครอบครัวที่มาถึงกันก่อนแล้วตอนเช้า ทีแรกเข้าใจว่าอยากจะเดินเล่นกันก่อน แต่เนื่องจากว่าเครื่องที่พวกเค้านั่งมาเกิดดีเลย์ไปหลายชั่วโมง มาถึงก็อดหลับอดนอนกัน เลยไม่ได้ไปไหนเท่าไหร่ตามแผน นอนกันแต่หัววันเลยทีเดียว ผมมาถึงโรงแรม Metro One ที่ Westbahnhof ก็ประมาณสี่ทุ่มครับ หลับกันหมด แต่ยังดีที่ยังเข้าห้องได้ คืนแรกก็พักกันก่อนแค่นี้

ที่เลือก Metro One ที่ Westbahnhof (สถานีตะวันตก) ก็เพราะสามารถนั่งรถจากนามบินตรงมาลงที่หน้าโรงแรมได้เลย เพราะอยู่ติดกับสถานีเลย ขากลับก็สามารถขึ้นรถไปสนามบินจากตรงนี้ได้เ่ลย แล้วก็ราคาไม่แพงครับ รอบๆก็มีร้านอาหารแล้วก็ซุปเปอร์มาร์เก็ตครบครัน สะดวกครับ

รุ่งขึ้นตื่นกันแต่เช้าเพราะยังปรับตัวกันไม่ค่อยได้ แต่ผมนี่อยู่มาหลายวันแล้ว เวลาในร่างกายเริ่มเปลี่ยนเป็นโซนยุโรปครับ ก่อนเดินทางน้องผมตัดสินใจซื้อตั๋ว Vienna Pass แบบวันเดียวเพราะคิดว่าหากสามารถไปได้หลายๆที่ก็จะคุ้ม วันนี้เราไปกันที่ Schloss Schönbrunn ครับ

เรานั่งรถไฟใต้ดินจาก Westbahnhof ไปลงที่ Schonbrunn เราไปถึงกันประมาณแปดโมงครึ่ง เพิ่งเปิดให้เข้าเลย ไปถึงคนยังไม่เยอะ กรุ๊ปทัวร์ยังไม่ลงครับ มีโอกาสถ่ายรูปสวนสวยๆแบบคนน้อยๆได้เลย เช้าๆอากาศดีเดินเล่นกันสบายครับ ช่วงกันยายนที่เดินทางมาจริงๆเริ่มเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้วแต่เอาเข้าจริงๆสายๆนี่แดดแรงครับ แนะนำให้เตรียมครีมกันแดดกันอย่าให้ขาด เราไม่ได้เข้าไปชมในพระราชวังทันทีครับ คิดว่าไปเดินถ่ายรูปในสวนด้านหลังก่อนแล้วก็เดินขึ้นเขาไปถ่ายรูปกันต่อบนเนินเขาหลังพระราชวัง สายๆค่อยลงมาดูก็ได้เพราะไม่งั้นเดี๋ยวขึ้นเขาไปตอนสายจะร้อนเกินไป




บนเขาเราสามารถเห็นเมืองเวียนนาได้ในระดับนึงครับ หลังจากที่ได้รูปกันสมใจก็เดินกลับลงมา แต่ก็ต้องมาสะดุดกับสวนสัตร์ของวังครับ พอดีลูกชายอายุสี่ขวบไปด้วย ก็แน่นอนครับ อยากเข้าไปดู ใช้เวลาในนั้นประมาณชั่วโมงนึงครับ เดินอ้อมกลับมาอีกด้านจะกลับไปเข้าดูในวัง แต่เริ่มเห็นแล้วครับว่าคนเริ่มเยอะขึ้นแล้ว อาจต้องใช้เวลา ตอนนี้ลูกชายผมเริ่มง่วงแล้วครับ ผมเลยอาสาพาไปหาที่นั่ง หาขนมให้กิน ประกอบกับผมเองก็เริ่มหิวเพราะก็เที่ยงพอดี ก็เลยมานั่งที่ Café Restaurant Residenz แต่สุดท้ายครอบครัวผมก็ไม่ได้เข้าไปดูในนิทรรศการนวังเกี่ยวกับ Franz Joseph ครับเพราะต้องรอเป็นรอบ แล้วเราก็มีอีกหลายที่ที่อยากไป สรุปก็มานั่งทานข้าวเที่ยงด้วยกันเลย อันนี้อยู่นอกโปรแกรมครับ แต่ข้อดีของการมาเที่ยวกันเองก็คือปรับเปลี่ยนได้แล้วก็ไม่ต้องเร่งเรื่องเวลามากเกินไป เดินเยอะหน่อยแต่ผมว่าสนุกดีครับ มื้อนั้นเราก็ได้ลอง Schnitzel ไส้กรอกเยอรมัน ซึ่งรสชาติถือว่าใช้ได้ครับ ส่วนเรื่องราคาก็ต้องทำใจนะครับ

หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อย เราก็เริ่มเดินทางกันต่อ ครั้งนี้เราขึ้น รถ Hop On Hop Off ที่รวมอยู่ในราคาของ Vienna Pass แล้ว มุ่งหน้าสู่ Belvedere Museum

แน่นอนครับหนึ่งในภาพที่ใครๆที่ไปต้องมองหาก็คือภาพ The Kiss ของจิตรกรผู้เลื่องชื่อ Gustav Klimt ผมเองก็ไม่ได้อินอะไรมากมายกับภาพศิลปะครับ แต่สมัยที่เรียนอยู่ที่สิงคโปร์เมื่อนานมาแล้วชอบดูรูปภาพของจิตรกรดังสมัยก่อน ก็เลยเคยผ่านตามาบ้าง แต่ระหว่างทางบนรถบัส ลูกชายผมคงสบายเมื่อมีลมโกรก ก็เลยได้หลับเก็บพลังไปบ้าง ตื่นขึ้นมาก็อารมณ์ดีขึ้นบ้างครับ ที่ Belvedere Museum เหมือนกับหลายที่ในเมืองนี้ จะไม่อณุญาติให้นำกระเป๋าเข้าไปหรือถ่ายภาพได้ครับ แต่ที่นี่จะมีล็อคเกอร์ชั้นล่างให้เราเก็บสัมภาระต่างๆ ซึ่งก็สะดวกดีครับ ล็อคเกอร์ที่นี่เราสามารถใส่เหรียญหนึ่งหรือสองยูโรก็ได้ครับ หลังจากใช้งาน ไปไขกุญแจ เราก็จะได้เหรียญคืนมา ก็ยืนเก้ๆกังๆกันพักนึงครับ พอดีมีฝรั่งเดินมาเอาของข้างๆก็เลยถามดู ไม่งั้นคงจะล็อคกุญแจไม่ได้

และเนื่องจากว่าผมอยากดูผลงานของ Gustav Klimt มาก น้องผมก็เลยคิดว่าซื้อ Vienna Pass ไปเลยเพราะตอนที่ซื้อนั้นเค้ารวมบัตรเข้าไว้ด้วยแล้ว ก็ถือว่าคุ้ม (สำหรับผม) ครับ

ระหว่างทางที่เดินดูรอบๆเป็นห้องๆ มีอีกภาพนึงที่ผมชอบมากครับ นั่นก็คือภาพสีนำ้มันของนโปเลียนขี่ม้า ซึ่งผมเคยผ่านตามาบ้าง เป็นภาพที่หลายๆคนก็รู้สึกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพราะเป็นภาพดังที่ได้มีโอกาสไปอยู่บนหนังสือหลายๆเล่มครับ ผมจ้องมองภาพนี้อยู่พักนึง รู้สึกว่ามันเหมือนมากๆ เหมือนว่ามีชีวิตเลยจริงๆ เลื่อมใสในความสามารถของ Jacques-Louis David จริงๆครับ

เรื่องงานศิลปะนี่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลยครับว่าชอบแบบไหน ผมคิดว่างานศิลปะก็มีทางของแต่ละคน คือไม่ใช่ทุกชิ้นงานจะ “โดน” เราครับ งานที่เราชอบก็มีที่ไม่ชอบก็อาจจะเยอะ ลองให้โอกาสไปลองเดินดู หาแรงบังดาลใจให้ตัวเองครับ เราอาจจะเจอ “ทาง” ที่ใช่สำหรับเราก็ได้

แดดช่วงบ่ายๆสายๆก็ยังคงแรงได้ใจอยู่ นี่ขนาดเกือบจะสี่โมงแล้ว เราก็ขึ้น Hop On Hop Off ต่อครับ จะไปกันที่ St.Stephen’s Cathedral ซึ่งก็จะเป็นแหล่งช้อปปิ้งและยังมีสถานที่สำคัญๆที่เราจะไปกันอีก หลังจากที่ขึ้นรถบัส เราสามารถเลือกที่นั่งได้ตามสบายครับ แต่แนะนำว่าให้ข้างข้างบน เพราะจะได้เห็นวิวรอบๆ แล้วก็มีลมพัดเข้ามาให้สบายหน่อย อีกอย่างที่ผมประทับใจก็คือเราสามารถเอาหูฟังคู่ใหม่ที่เค้าวางไว้ในถาดด้านล่างแล้วเสียบช่อง เลือกภาษาการบรรยายระหว่างเรานั่งรถได้ ตอนนี้ยังไม่มีภาษาไทยนะครับ

*สำหรับ Vienna Pass จะสามารถขึ้น Hop On Hop Off บัสคันสีเหลืองเท่านั้นนะครับ

ลงรถที่หน้า Vienna State Opera ปุ๊ปก็เจอกลุ่มคนขายตั๋วโอเปร่าเร่เข้ามาหากันเลยทีเดียว เค้าก็จะเข้ามานำเสนอตั๋วของการแสดงวันนั้นๆครับหากมีเวลาแล้วไม่มีเด็กมาด้วยก็อาจจะเข้าไปลองดูบ้างเหมือนกัน อันนี้เผื่อไว้สำหรับคนที่เดินทางมาพร้อมเด็กเล็กครับ อาจต้องมีโปรแกรมสำรองเผื่อไว้ด้วย

เดินมาทางด้านหลังของ State Opera เราก็จะเจอ Sacher Hotel แล้วก็ Sacher Cafe ที่มีเค้กชอคโกแลตอันเลื่องชื่อ ไหนๆก็มาถึงแล้วครับ ก็ลองสักหน่อย เราสั่งมาลองสองอย่างตามแนะนำ ส่วนผมก็ขอกาแฟดำตามชอบครับ เที่ยวยุโรปหากมากันหลายคนแล้วสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มไม่ครบคนเค้าก็จะถามยํ้าครับว่าแค่นี้เหรอ อีกอย่างคือคนที่นี่ไม่ค่อยดื่มกาแฟเย็นกันนะครับ


หลังจากได้ลองเค้กกันเรียบร้อยเราก็เดินกันต่อครับ เดินตามถนนคนเดินไปเรื่อยๆก็จะเห็นวิหารสูงอยู่ตรงหน้า หาไม่ยากครับ หากใครเป็นขาช้อปก็คงสนุกกันเลยครับ มีร้านแบรนด์เนมให้เลือกมากมาย คนเดินเยอะมากขนาดเราไปกันวันธรรมดา สำหรับเวียนนา ร้านค้าจะปิดวันอาทิตย์ครับ หากต้องการซื้อของก็จัดวันให้ดีจะได้ไม่ผิดหวัง


หลังจากได้เข้าไปชมความอลังการของวิหาร เราก็เดินกันต่อไปที่ Hofburg ระหว่างทางจะผ่านรูปปั้น Pestsäule ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมในเมืองของเวียนนา ที่เป็นสัญลักษณ์เด่นสง่าอยู่กลางทางเดินเลย และเราสังเกตจะเห็นว่าคนยุโรปจะชอบนั่งร้านอาหารหรือร้านกาแฟริมถนนแล้วหันหน้าออก มองผู้คนเดินไปเดินมา พูดคุยกัน ชิลมากๆ

เมื่อมาถึงที่ Hofburg เราตัดสินใจเช่ารถม้า นั่งชมรอบๆ อันนี้มาจากความต้องการของลูกชายเลยครับ ราคาก็ไม่ถูกครับ แต่ผมคิดว่าอยากให้เค้าได้ประสบการณ์ในการเดินทางอย่างเต็มที่ก็เลยตกลง

ตรงตรอกตรงข้ามกับทางเข้า Hofburg จะมีร้าน Demel อยู่ ซึ่งถือว่าเป็นร้านคาเฟ่ดังอีกหนึ่งร้านในเวียนนาครับ ขนมด้านในดูน่าทาน แต่สำหรับลูกชายผมก็ขอไอศครีมมาดับร้อนครับ สั่งเองเลย "Can I have strawberry, please?")

หลังจากนั้น เราก็เดินกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนตัดสินใจกลับที่พัก เนื่องจากว่าสันรุ่งขึ้น เราจะออกเดินทางกันเช้าหน่อย เช่ารถ ขับไป Hallstatt ครับ

ก่อนหน้านี้ได้ยินหลายคนบอกว่าจริงๆเวียนนาไม่ค่อยมีอะไรวันสองวันก็เที่ยวครบ แต่ถ้าถามผม ผมคิดว่าคงต้องหลายวันกว่านั้นครับหากจะเที่ยวและชมเมืองจริงๆ เพราะ หนึ่ง เมืองนี้สวยมาก สองมีที่เที่ยวสำคัญๆหลายแห่งที่บางแห่งถ่ายรูปตอนกลางคืนจะสวย เวียนนา ผมยังอยากกลับมาอีกครับ

และนี่ก็คือวันแรกของเราเต็มๆที่เวียนนาครับ แล้วมาติดตามเรื่องราวการเดินทางกันต่อที่ Hallstatt เร็วๆนี้ครับ

ในส่วนของ Highlights I & II สามารถอ่านได้ตาม link ครับ
http://pantip.com/topic/35609423
http://pantip.com/topic/35610748
ชื่อสินค้า:   เวียนนา - Vienna
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่