***เดินป่า 2 วัน เขาหลวงประจวบคีรีขันธ์ กับราคา หารกันแค่คนละ 990 บาท***
ขึ้นชื่อว่าเขาหลวง หลายๆคนคงเคยได้ยินมาบ้างแล้ว
และอาจจะคุ้นหูกับ เขาหลวงสุโขทัย เขาหลวงนครศรีธรรมราช
แต่รู้มั้ยครับ ว่านอกจากเขาหลวงสุโขทัยกับเขาหลวงนครศรีธรรมราชแล้ว
ยังมี "เขาหลวงประจวบคีรีขันธ์" ที่เปิดให้นักเดินทางอย่างเราขึ้นไปพิชิตยอดเขาเหมือนกัน
ขอออกตัวก่อนเลยว่าเราเป็นคนชอบเที่ยวแนวเดินป่าอยู่แล้ว หลายๆที่ ที่ไปเดินมาก็ให้ความแตกต่างกันไป
และให้ความประทับใจต่างกัน
ครั้งนี้เรามาแบ่งปันประสบการณ์เดินป่าที่เขาหลวงประจวบฯ
เผื่อใครๆสนใจอยากรวมแก้งค์ไปชมทะเลมุมสูงจากยอดเขา หรือชมดาวยามค่ำคืนกัน
ก็ไปกันได้ไม่ยากครับ ขอแค่มีกำลังกายและกำลังใจพอ ฮ่าๆ
เขาหลวงประจวบฯ อยู่ใน อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์
เป็นภูเขาที่ติดกับชายแดนประเทศพม่า ความสูงของยอดเขาอยู่ที่ประมาณ 1,250 เมตรจากระดับน้ำทะเลเป็นจุดสูงสุดของ อช.น้ำตกห้วยยาง
ระยะทางเดินป่าเขาหลวงประจวบฯ จะเดินประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะถึงแคมป์พักแรมของเรา หรือเรียกกันว่า ผา 2
จากจุดนี้จะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า พร้อมวิวทะเลของ จ.ประจวบฯ
และผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ สลับด้วยสายหมอกที่พัดมาจากฝั่งพม่าเป็นระยะๆ
และเมื่อตกกลางคืน เราจะเห็นวิวของดาว 3 โลก ตามที่ล่ำลือกันมาว่าสวยนักหนา
(สำหรับผู้สนใจไปเดินป่าที่เขาหลวงประจวบฯ ต้องติดต่อกับอุทยานล่วงหน้านะ ซึ่งเราได้ให้ข้อมูลและเบอร์โทรฯติดต่อเอาไว้ท้ายสุด)
เอาละ งั้นมาเริ่มเดินทางไปกับเรากันเถอะ
ทริปนี้เราเดินทางกันวันที่ 9,10,11 กันยายน 2559 ครับ
(ออกเดินทางจาก กทม กลางคืนวันที่ 9 ถึง อช.น้ำตกห้วยยางเช้าวันที่ 10 เริ่มเดินป่า นอน1คืน และกลับกทมวันที่ 11)
เราเดินทางกัน 11 คน หลังจากที่เราจองวันเดินป่ากับทางอุทยานแล้ว เราก็จัดการเหมารถตู้ 1 คัน
ราคาค่าเหมารถตู้จะอยู่ที่วันละ 1,800 บาท (น้ำมันเราเติมเอง)
ส่วนอาหารการกินเราก็ทำกันเอง แบกของเอง เพราะในทีมเดินป่า เรากับเพื่อนมีอุปกรณ์เดินป่าครบ ทั้งเต้นท์ เปล และเครื่องครัว
การเดินป่าในที่อื่นๆ อาจไม่ใช่เรื่องยาก หากเราไม่อยากแบกสัมภาระเอง เราก็สามารถจ้างลูกหาบได้
แต่สำหรับเขาหลวงประจวบฯแล้ว เราจะทำแบบนั้นไม่ได้!!
เพราะที่นี่ไม่มีลูกหาบจ่ะ!!! ทุกคนต้องแบกของเองทั้งหมด ไกลแค่ไหน เหนื่อยแค่ไหน แบกไป อย่าบ่น!! ฮ่าๆ
ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่นำทางให้เรา เพราะทางเดินไม่ค่อยชัด เป็นป่าทึบ และติดชายแดนพม่า
ฉะนั้น ก่อนเลือกไปเดินป่าที่นี่ ต้องติดต่ออุทยานล่วงหน้านะ
ทริปของเราออกเดินทางจาก กทม เวลาเที่ยงคืนวันศุกร์ ทุกคนจัดของขึ้นรถตู้แล้วมุงหน้าสู่ อช.น้ำตกห้วยยาง
นั่งรถมาเรื่อยๆ ประมาณตี 5 เราก็แวะซื้อของส่วนกลาง (ผัก ของสด) ที่ตลาดใน อ.เมือง จ.ประจวบฯ
ซื้อของเสร็จ ก็เข้าไปที่อุทยาน รอจนกว่าจะถึง 8.30 น. เพราะ เจ้าหน้าที่ที่นำทางเราจะมาเวลานั้น

ระหว่างรอพี่เจ้าหน้าที่ เราก็จัดการกับสัมภาระ แบ่งของส่วนกลางกระจายลงกระเป่าสมาชิกทุกคน
เรามากัน 11 คน และมาเจอเพื่อนร่วมทางอีก 2 คนที่เขาจองขึ้นเขาหลวงเหมือนกัน
เราเลยรวมกลุ่มเป็นทีมเดียวกัน และทริปนี้มีเจ้าหน้าที่นำทาง 2 คนครับ พี่เขาใจดีมาก
เมื่อได้เวลาเราก็เริ่มเดิน

เราจะเดินไปทางน้ำตกห้วยยาง ถึงประมาณชั้นที่ 4 หรือ 5 นี่แหละ เราก็จะแยกขึ้นเขา เข้าป่าไป
พี่เจ้าหน้ากำชับให้เดินอยู่ในเส้นทาง ห้ามเดินออกนอกเส้นทางเป็นอันขาด
เพราะตรงนี้เป็นป่าที่อยู่แนวชายแดน หากไม่เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ ก็อาจเสี่ยงต่อการพลัดหลงได้

ตอนนี้ยังอยู่ในส่วนของน้ำตกห้วยยาง

สังเกตที่ขาของพวกเรา "นี่ไม่ใช่แฟชั่นนี่คือถุงกันทาก!!"

ช่วงนี้ไม่ค่อยมีน้ำครับ เราแวะถ่ายรูปกันแปปนึง ก่อนที่จะเดินตัดเข้าป่าไป

แต่มีปลาเยอะแยะเลยแหละ

ของจริงมาแล้วครับ ขึ้นเป้ เริ่มเดิน!!

ทางค่อนข้างชัน เพราะฉะนั้น น้ำในขวด สำคัญมาก
(ถึงแม้ครึ่งทางจะมีน้ำให้เติมก็เถอะ ยังไงซะ ทางชันขนาดนี้ ก็เปลืองน้ำอยู่ดี)
เราเริ่มเดินเรื่อยๆ ป่าก็เริ่มทึบขึ้น ทางก็ไม่ค่อยชัด ต้องเดินทางเจ้าหน้าที่ตลอดและห้ามออกนอกเส้นทาง
ตอนแรกๆทุกคนที่เอากล้องถ่ายรูปไป ก็หยิบกล้องถ่ายโน้นนี่ตลอดเวลา
พอเดินมาสักพักเท่านั้นแหละ เริ่มเก็บกล้องถ่ายรูปเข้ากระเป๋าทีละคน ฮ่าๆ

เดินมาเรื่อยๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้ระยะทาง ว่าเดินมากี่กิโลแล้ว
ก็จะเจอแหล่งน้ำ ให้เรากรอกใส่ขวด ล้างหน้า พักเหนื่อย ก่อนที่จะลุยต่อ

ที่เห็นถุงเท้าบอลนี่ก็ไม่ใช่แฟชั่นครับ เราเอามาใช้แทนถุงกันทาก
ได้รับคำเตือนมา ว่าที่นี่มีทากเยอะ เราก็คิดตลอดทางว่าเราจะเจอมั้ยน๊าาา อิอิ

ก้มหน้าเดินเท้าต่อไป 6 กิโลเอง ฮ่าๆ (เหนื่อยไม่เบา)

เดินไปเรื่อยๆ ก็ถ่ายรูปบ้าง ไม่ได้ถ่ายบ้าง เพราะทุกคนเริ่มเหนื่อยกันหมดแล้ว

เราชอบบรรยากาศของป่า อุดมสมบูรณ์ดี

เจออะไรระหว่างทาง ก็ถ่ายเก็บไว้ครับ
แต่ที่คาดไม่ถึง คือเจอนกตัวนึง ตัวใหญ่ๆ บินข้ามหัวเราไป ใกล้มากๆ และไวมากๆ
พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า นกตัวนั้นคือ "นกอินทรีหางขาว"
(ถึงแม้เราเดินป่าแล้วจะเจอนก แต่ตัวเรา ไม่นกนะ!!)

ความงามของธรรมชาติเหล่านี้ เหมาะที่จะอยู่ในที่ของเขานะครับ
เราไปเดินป่า ไปเที่ยวชม ก็ขอให้ช่วยกันรักษาความงามเอาไว้ให้คงอยู่ต่อไปนะครับ

บางอย่างก็ถ่ายๆมา แต่ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร
เดินกันเหนื่อยๆ ก็แวะพักก่อนครับ พี่เจ้าหน้าที่ใจดี รอให้เราพักสัก 5 นาที แล้วเดินต่อ
เดินต่อไปเรื่อยๆ เริ่มไม่ค่อยอยากถ่ายรูปละครับ เหนื่อยเหลือเกิน
ผ่านไปหลายชั่วโมง เราก็มาถึงจุดที่เรยกว่า ผา 1
จากตรงนี้จะมองเห็นวิวทะเลแล้วครับ เรากำลังอยู่บนเขาที่กั้นหว่างไทย-พม่า
เราแวะถ่ายรูปและชมวิวกันพักใหญ่ เพราะอีกไม่ไกลก็ถึง ผา 2 ที่เป็นที่พักของเราแล้ว
เราพอมีเวลาให้กินลม ชมธรรมชาติอยู่บ้าง
จากผา 1 มองไปจะเห็นผา 2 และนั่นแหละครับ บริเวณที่พักเรา

ตรงที่เห็นเป็นผาหิน แถวๆนั้นแหละครับ ผา2 จุดกางเต้นท์ของเรา
ถ่ายรูปเสร็จก็ออกเดินต่อครับ
ระหว่างผา 1 กับ ผา 2 จะมีลำธารเล็กๆให้กรอกและเอาไปทำอาหารได้

พี่เจ้าหน้าที่ช่วยเราแบกน้ำไปผา 2
เมื่อถึง ผา 2 เราทุกคนก็จัดการกางเต้นท์ ผูกเปล ทำแคมป์ส่วนกลางกัน

เราแบกเต้นท์หลังใหญ่มา บอกเลยว่า เหนื่อยมาก
อันนี้เปลพี่เจ้าหน้าที่
หลังจากทำที่นอนเสร็จ ก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า
ใครอยากอาบน้ำก็เดินไปอาบได้ที่ระหว่างทางจากผา 1 มา ผา 2

ส่วนใครที่ไม่อาบน้ำ ก็จัดการตากผ้าซะ เพราะเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเหงื่อ

และก็ถ่ายรูป กินบรรยากาศกลางป่า
และที่ขาดไม่ได้คือ เช็คหน่อยสิ มีทากรึเปล่า?
แล้วเราก็พบว่า...

เหล่าทากทั้งหลาย ได้ลิ้มรสเลือดของเราไปแล้ว
ฮ่าๆ เรื่องธรรมดาครับ เข้าป่าก็เจอบ้าง อย่าไปกังวล
เสร็จจากการเปลี่ยนเสื้อผ้า เราก็ทำครัวกันครับ
พี่เจ้าหน้าที่ช่วยเราทุกอย่างเลย

ต้มน้ำร้อนไว้ทำกับข้าวบ้าง กินชากาแฟบ้าง
อาหารพร้อมเสริฟ หน้าตาประมาณนี้

น่ากินมาก และอร่อยด้วย ฮ่าๆ ทำเองชมเอง
อิ่มท้องกับมื้อเย็นกันแล้ว เราก็ไปนอนตีพุงที่หน้าผา ชมวิวทะล รับลม กอดสายหมอก
เดี่ยวจะมาต่อนะครับ รอติดตามตอนต่อไปในคอมเม้นท์ด้านล้างนะ ^^
[CR][SR] เดินป่า 2 วัน เขาหลวงประจวบคีรีขันธ์ กับราคา หารกันแค่คนละ 990 บาท
ขึ้นชื่อว่าเขาหลวง หลายๆคนคงเคยได้ยินมาบ้างแล้ว
และอาจจะคุ้นหูกับ เขาหลวงสุโขทัย เขาหลวงนครศรีธรรมราช
แต่รู้มั้ยครับ ว่านอกจากเขาหลวงสุโขทัยกับเขาหลวงนครศรีธรรมราชแล้ว
ยังมี "เขาหลวงประจวบคีรีขันธ์" ที่เปิดให้นักเดินทางอย่างเราขึ้นไปพิชิตยอดเขาเหมือนกัน
ขอออกตัวก่อนเลยว่าเราเป็นคนชอบเที่ยวแนวเดินป่าอยู่แล้ว หลายๆที่ ที่ไปเดินมาก็ให้ความแตกต่างกันไป
และให้ความประทับใจต่างกัน
ครั้งนี้เรามาแบ่งปันประสบการณ์เดินป่าที่เขาหลวงประจวบฯ
เผื่อใครๆสนใจอยากรวมแก้งค์ไปชมทะเลมุมสูงจากยอดเขา หรือชมดาวยามค่ำคืนกัน
ก็ไปกันได้ไม่ยากครับ ขอแค่มีกำลังกายและกำลังใจพอ ฮ่าๆ
เขาหลวงประจวบฯ อยู่ใน อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์
เป็นภูเขาที่ติดกับชายแดนประเทศพม่า ความสูงของยอดเขาอยู่ที่ประมาณ 1,250 เมตรจากระดับน้ำทะเลเป็นจุดสูงสุดของ อช.น้ำตกห้วยยาง
ระยะทางเดินป่าเขาหลวงประจวบฯ จะเดินประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะถึงแคมป์พักแรมของเรา หรือเรียกกันว่า ผา 2
จากจุดนี้จะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า พร้อมวิวทะเลของ จ.ประจวบฯ
และผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ สลับด้วยสายหมอกที่พัดมาจากฝั่งพม่าเป็นระยะๆ
และเมื่อตกกลางคืน เราจะเห็นวิวของดาว 3 โลก ตามที่ล่ำลือกันมาว่าสวยนักหนา
(สำหรับผู้สนใจไปเดินป่าที่เขาหลวงประจวบฯ ต้องติดต่อกับอุทยานล่วงหน้านะ ซึ่งเราได้ให้ข้อมูลและเบอร์โทรฯติดต่อเอาไว้ท้ายสุด)
เอาละ งั้นมาเริ่มเดินทางไปกับเรากันเถอะ
ทริปนี้เราเดินทางกันวันที่ 9,10,11 กันยายน 2559 ครับ
(ออกเดินทางจาก กทม กลางคืนวันที่ 9 ถึง อช.น้ำตกห้วยยางเช้าวันที่ 10 เริ่มเดินป่า นอน1คืน และกลับกทมวันที่ 11)
เราเดินทางกัน 11 คน หลังจากที่เราจองวันเดินป่ากับทางอุทยานแล้ว เราก็จัดการเหมารถตู้ 1 คัน
ราคาค่าเหมารถตู้จะอยู่ที่วันละ 1,800 บาท (น้ำมันเราเติมเอง)
ส่วนอาหารการกินเราก็ทำกันเอง แบกของเอง เพราะในทีมเดินป่า เรากับเพื่อนมีอุปกรณ์เดินป่าครบ ทั้งเต้นท์ เปล และเครื่องครัว
การเดินป่าในที่อื่นๆ อาจไม่ใช่เรื่องยาก หากเราไม่อยากแบกสัมภาระเอง เราก็สามารถจ้างลูกหาบได้
แต่สำหรับเขาหลวงประจวบฯแล้ว เราจะทำแบบนั้นไม่ได้!!
เพราะที่นี่ไม่มีลูกหาบจ่ะ!!! ทุกคนต้องแบกของเองทั้งหมด ไกลแค่ไหน เหนื่อยแค่ไหน แบกไป อย่าบ่น!! ฮ่าๆ
ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่นำทางให้เรา เพราะทางเดินไม่ค่อยชัด เป็นป่าทึบ และติดชายแดนพม่า
ฉะนั้น ก่อนเลือกไปเดินป่าที่นี่ ต้องติดต่ออุทยานล่วงหน้านะ
ทริปของเราออกเดินทางจาก กทม เวลาเที่ยงคืนวันศุกร์ ทุกคนจัดของขึ้นรถตู้แล้วมุงหน้าสู่ อช.น้ำตกห้วยยาง
นั่งรถมาเรื่อยๆ ประมาณตี 5 เราก็แวะซื้อของส่วนกลาง (ผัก ของสด) ที่ตลาดใน อ.เมือง จ.ประจวบฯ
ซื้อของเสร็จ ก็เข้าไปที่อุทยาน รอจนกว่าจะถึง 8.30 น. เพราะ เจ้าหน้าที่ที่นำทางเราจะมาเวลานั้น
ระหว่างรอพี่เจ้าหน้าที่ เราก็จัดการกับสัมภาระ แบ่งของส่วนกลางกระจายลงกระเป่าสมาชิกทุกคน
เรามากัน 11 คน และมาเจอเพื่อนร่วมทางอีก 2 คนที่เขาจองขึ้นเขาหลวงเหมือนกัน
เราเลยรวมกลุ่มเป็นทีมเดียวกัน และทริปนี้มีเจ้าหน้าที่นำทาง 2 คนครับ พี่เขาใจดีมาก
เมื่อได้เวลาเราก็เริ่มเดิน
เราจะเดินไปทางน้ำตกห้วยยาง ถึงประมาณชั้นที่ 4 หรือ 5 นี่แหละ เราก็จะแยกขึ้นเขา เข้าป่าไป
พี่เจ้าหน้ากำชับให้เดินอยู่ในเส้นทาง ห้ามเดินออกนอกเส้นทางเป็นอันขาด
เพราะตรงนี้เป็นป่าที่อยู่แนวชายแดน หากไม่เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ ก็อาจเสี่ยงต่อการพลัดหลงได้
ตอนนี้ยังอยู่ในส่วนของน้ำตกห้วยยาง
สังเกตที่ขาของพวกเรา "นี่ไม่ใช่แฟชั่นนี่คือถุงกันทาก!!"
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีน้ำครับ เราแวะถ่ายรูปกันแปปนึง ก่อนที่จะเดินตัดเข้าป่าไป
แต่มีปลาเยอะแยะเลยแหละ
ของจริงมาแล้วครับ ขึ้นเป้ เริ่มเดิน!!
ทางค่อนข้างชัน เพราะฉะนั้น น้ำในขวด สำคัญมาก
(ถึงแม้ครึ่งทางจะมีน้ำให้เติมก็เถอะ ยังไงซะ ทางชันขนาดนี้ ก็เปลืองน้ำอยู่ดี)
เราเริ่มเดินเรื่อยๆ ป่าก็เริ่มทึบขึ้น ทางก็ไม่ค่อยชัด ต้องเดินทางเจ้าหน้าที่ตลอดและห้ามออกนอกเส้นทาง
ตอนแรกๆทุกคนที่เอากล้องถ่ายรูปไป ก็หยิบกล้องถ่ายโน้นนี่ตลอดเวลา
พอเดินมาสักพักเท่านั้นแหละ เริ่มเก็บกล้องถ่ายรูปเข้ากระเป๋าทีละคน ฮ่าๆ
เดินมาเรื่อยๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้ระยะทาง ว่าเดินมากี่กิโลแล้ว
ก็จะเจอแหล่งน้ำ ให้เรากรอกใส่ขวด ล้างหน้า พักเหนื่อย ก่อนที่จะลุยต่อ
ที่เห็นถุงเท้าบอลนี่ก็ไม่ใช่แฟชั่นครับ เราเอามาใช้แทนถุงกันทาก
ได้รับคำเตือนมา ว่าที่นี่มีทากเยอะ เราก็คิดตลอดทางว่าเราจะเจอมั้ยน๊าาา อิอิ
ก้มหน้าเดินเท้าต่อไป 6 กิโลเอง ฮ่าๆ (เหนื่อยไม่เบา)
เดินไปเรื่อยๆ ก็ถ่ายรูปบ้าง ไม่ได้ถ่ายบ้าง เพราะทุกคนเริ่มเหนื่อยกันหมดแล้ว
เราชอบบรรยากาศของป่า อุดมสมบูรณ์ดี
เจออะไรระหว่างทาง ก็ถ่ายเก็บไว้ครับ
แต่ที่คาดไม่ถึง คือเจอนกตัวนึง ตัวใหญ่ๆ บินข้ามหัวเราไป ใกล้มากๆ และไวมากๆ
พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า นกตัวนั้นคือ "นกอินทรีหางขาว"
(ถึงแม้เราเดินป่าแล้วจะเจอนก แต่ตัวเรา ไม่นกนะ!!)
ความงามของธรรมชาติเหล่านี้ เหมาะที่จะอยู่ในที่ของเขานะครับ
เราไปเดินป่า ไปเที่ยวชม ก็ขอให้ช่วยกันรักษาความงามเอาไว้ให้คงอยู่ต่อไปนะครับ
บางอย่างก็ถ่ายๆมา แต่ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร
เดินกันเหนื่อยๆ ก็แวะพักก่อนครับ พี่เจ้าหน้าที่ใจดี รอให้เราพักสัก 5 นาที แล้วเดินต่อ
เดินต่อไปเรื่อยๆ เริ่มไม่ค่อยอยากถ่ายรูปละครับ เหนื่อยเหลือเกิน
ผ่านไปหลายชั่วโมง เราก็มาถึงจุดที่เรยกว่า ผา 1
จากตรงนี้จะมองเห็นวิวทะเลแล้วครับ เรากำลังอยู่บนเขาที่กั้นหว่างไทย-พม่า
เราแวะถ่ายรูปและชมวิวกันพักใหญ่ เพราะอีกไม่ไกลก็ถึง ผา 2 ที่เป็นที่พักของเราแล้ว
เราพอมีเวลาให้กินลม ชมธรรมชาติอยู่บ้าง
จากผา 1 มองไปจะเห็นผา 2 และนั่นแหละครับ บริเวณที่พักเรา
ตรงที่เห็นเป็นผาหิน แถวๆนั้นแหละครับ ผา2 จุดกางเต้นท์ของเรา
ถ่ายรูปเสร็จก็ออกเดินต่อครับ
ระหว่างผา 1 กับ ผา 2 จะมีลำธารเล็กๆให้กรอกและเอาไปทำอาหารได้
พี่เจ้าหน้าที่ช่วยเราแบกน้ำไปผา 2
เมื่อถึง ผา 2 เราทุกคนก็จัดการกางเต้นท์ ผูกเปล ทำแคมป์ส่วนกลางกัน
เราแบกเต้นท์หลังใหญ่มา บอกเลยว่า เหนื่อยมาก
อันนี้เปลพี่เจ้าหน้าที่
หลังจากทำที่นอนเสร็จ ก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า
ใครอยากอาบน้ำก็เดินไปอาบได้ที่ระหว่างทางจากผา 1 มา ผา 2
ส่วนใครที่ไม่อาบน้ำ ก็จัดการตากผ้าซะ เพราะเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเหงื่อ
และก็ถ่ายรูป กินบรรยากาศกลางป่า
และที่ขาดไม่ได้คือ เช็คหน่อยสิ มีทากรึเปล่า?
แล้วเราก็พบว่า...
เหล่าทากทั้งหลาย ได้ลิ้มรสเลือดของเราไปแล้ว
ฮ่าๆ เรื่องธรรมดาครับ เข้าป่าก็เจอบ้าง อย่าไปกังวล
เสร็จจากการเปลี่ยนเสื้อผ้า เราก็ทำครัวกันครับ
พี่เจ้าหน้าที่ช่วยเราทุกอย่างเลย
ต้มน้ำร้อนไว้ทำกับข้าวบ้าง กินชากาแฟบ้าง
อาหารพร้อมเสริฟ หน้าตาประมาณนี้
น่ากินมาก และอร่อยด้วย ฮ่าๆ ทำเองชมเอง
อิ่มท้องกับมื้อเย็นกันแล้ว เราก็ไปนอนตีพุงที่หน้าผา ชมวิวทะล รับลม กอดสายหมอก
เดี่ยวจะมาต่อนะครับ รอติดตามตอนต่อไปในคอมเม้นท์ด้านล้างนะ ^^
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว