Sully - ผมทำดีที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถทำได้แล้ว (Spoil)

อีกหนึ่งในหนังที่เรารอชมในปีนี้ ตั้งแต่อ่านพร็อตเรื่อง เราสนใจหนังเรื่องนี้มากๆ และพอได้ดูตัวอย่างหนังเมื่อไม่นานมานี้เอง ก็ยิ่งทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นไปอีก แค่หนังตัวอย่างก็ดูมีประเด็นที่น่าสนใจแล้ว และพอดูหนังเรื่องนี้จบ เราชอบหนังเรื่องนี้มากเลยครับ

เราไม่ได้เป็นแฟนหนังของปู่ Clint Eastwood เคยดูหนังของเค้ามาแค่ 3 เรื่องเอง คือ Mystic River, Million Dollar Baby และ American Sniper แต่ว่าผมก็ชอบทั้ง 3 เรื่องที่ได้ดูนะ โดยเฉพาะ Mystic River ที่เราเก็บเข้า List หนังที่เราชอบมาก เราว่าปู่ Clint เก่งในการกำกับการแสดงดราม่าการสื่ออารมณ์ด้านในที่หนักๆ แต่ต้องพยายามเก็บไว้ แสดงออกมาภายนอกให้น้อยที่สุด และเราชอบที่หนังของเค้ามันไม่ซับซ้อน หนังดูง่าย แค่กลับมีความลึกในด้านอารมณ์ และเราชอบหนังสไตล์นี้มากๆ

สำหรับ Sully ทำเอาเราแปลกใจมากๆ เพราะหนังเล่าเรื่องชีวประวัติของ Sully โดยมีฉากและเรื่องราวอยู่น้อยมากๆ แต่กลับเล่าได้สนุกสุดๆ เป็นหนังดราม่าที่ทำให้เราลุ้นไปกับเรื่องได้ตลอดจริงๆ

การเล่าเรื่อง มีการตัดสลับลำดับเวลาไปมาอยู่ตลอด แต่ทำได้ชัดเจนนะ ทำให้ไม่งงในเรื่องลำดับเวลา และการลำดับภาพแบบนี้ เราว่าโคตรเจ๋งเลย ในบางฉากที่เหตุการณ์ซ้ำๆกัน แต่ในแต่ละจังหวะที่เล่า มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน และที่มันเจ๋งคือ มันสื่อสารได้ดีในแต่ละช่วง ทำให้แม้เราจะดูซีนเดิมๆซ้ำๆกัน แต่เรากลับไม่รู้สึกว่ามันซ้ำเดิม และที่สำคัญอารมณ์ที่เราได้รับในแต่ละครั้ง ก็แตกต่างกันไปอีกด้วย

แม้ Tom Hanks จะเป็นดาราชื่อดัง แต่ผมยังไม่เคยได้ดูผลงานของเค้าที่ผมประทับใจเลย (เค้าคงมีผลงานดีๆเยอะ แต่ผมอาจจะไม่มีโอกาสดูเรื่องนั้น) พอมาถึงเรื่อง Sully เราชอบการแสดงของเค้านะ ผมว่าตัวละคร Sully เล่นไม่ง่ายนะ เป็นตัวละครที่ต้องพยายามเก็บอารมณ์บางอย่างไว้ตลอดเวลา และกับตัวละครที่เพิ่งผ่านการเฉียดตายมาหมาดๆ มันไม่มีทางจะมีสภาพจิตใจเป็นปกติได้ ยิ่งกว่านั้น แทนที่จะมีแต่คนยกย่องเค้า ในการช่วยชีวิตคน 155 ชีวิตได้สำเร็จ กลับมีสำนักข่าวบางสำนัก รวมไปถึง NTSB (National Transportation Safety Board) "หน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยจากการคมนาคม" ที่มองว่าสิ่งที่เค้าทำมันอันตราย มันมีทางเลือกอื่นที่กัปตันควรต้องทำและเป็นทางที่อันตรายน้อยกว่า แต่ Sully กลับเลือกทางที่อันตรายกว่า มันแสดงไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่ดูแล้วเราเชื่อว่าเค้าคือ Sully จริงๆ

และนักแสดงอย่าง Aaron Eckhart ในบทบาทของ Jeff Skiles คู่หูนักบินของ Sully ก็แสดงได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ฉากที่เค้าออกมาเดินคุยกับ Sully ในเมืองตอนกลางคืน เค้าเล่นได้ดีมาก รวมไปถึงฉากช่วงท้ายในตอนถูกสอบสวน เค้าแสดงได้ดีจริงๆ

และนักแสดงที่ผมอยากพูดถึงอีกคน คือ Laura Linney เรารู้จักเค้าครั้งแรกจากเรื่อง Mystic River และเรื่องนั้นเธอแสดงดีมากๆ พอมาถึง Sully เราก็ยังรู้สึกแบบเดิมกับเธอ ซึ่งเรื่องนี้เธอมีแค่ซีนคุยโทรศัพท์กับ Sully แทบทั้งเรื่อง แต่กลับแสดงได้ดีสุดๆ สีหน้าแววตาเธอสื่อสารได้ดีมากๆ ตอนที่เธอเป็นห่วง Sully เรารับรู้ได้ หรือแม้แต่ตอนที่เธอกังวลถึงเรื่องการเงินของครอบครัว เธอก็เล่นได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ตอนนี้ เราเก็บเธอเข้ารายชื่อนักแสดงที่เราชื่นชอบไปละ

จะเป็นอย่างไร ถ้าเราต้องตัดสินใจในสภาวะคับขัน ฉุกเฉิน โดนมีเวลาตัดสินใจเพียงแค่น้อยนิด และการตัดสินใจนั้นของเรา มันอาจจะมีคนอีกหลายคน ที่จะได้รับผลกระทบนี้

Sully กัปตันนักบินของสายการบิน US Airways ที่ทำงานเป็นกัปตันมานานถึง 40 ปี เค้าต้องเจอกับอุบัติเหตุในการบิน ในเที่ยวบิน Cactus 1549 เมื่อเครื่องบินเทคออฟได้ไม่นานนัก แล้วเจอฝูงนกจำนวนมากเข้ามาปะทะ ทำให้เครื่องยนต์มีปัญหา บินต่อไปอีกไม่ได้ Sully ต้องตัดสินใจในสภาวะฉุกเฉินนี้ มีทางเลือกในการลงจอดฉุกเฉินที่สนามบิน 2 แห่ง คือ บินกลับไปจอดที่สนามบิน LaGuardia หรือบินไปจอดที่สนามบิน Teterboro แต่เค้ากลับตัดสินใจ ไม่เลือก 2 ทางนั้น และเลือกที่จะลงจอดบนแม่น้ำ Hudson แทน

เรารู้สึกเห็นใจ Sully นะ กับชีวิตการทำงานเป็นกัปตันขับเครื่องบินมา 40 ปี สุดท้ายกำลังจะถูกตัดสินในช่วงเวลาการทำงานแค่ 208 วินาที มันเป็นการยืนยันได้อย่างดีเลยว่า แม้เราจะเคยทำผลงานมาไว้ดีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าปัจจุบันเราผิดพลาด เราทำได้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน เราก็อาจจะลำบากได้ เพราะทุกอย่างถูกตัดสินด้วยปัจจุบันทั้งนั้น เราคิดว่าสิ่งนี้ สอนให้เราอย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะถ้าเราหยุดเมื่อไหร่ เราก็มีโอกาสจะทำได้ไม่ดีเท่าเดิม และอดีตที่หอมหวาน มันอาจจะช่วยเราไม่ได้อีกเลย...นี่คือความจริงที่เจ็บปวดมาก

บางครั้งมันก็ยากที่จะตัดสินว่า การตัดสินใจในครั้งนี้มันถูกหรือผิด แน่นอนว่า ถ้ายึดจากหลักการและการคำนวนของคอมพิวเตอร์ จะถือว่า Sully ตัดสินใจผิดพลาด แต่สิ่งที่คอมพิวเตอร์ แตกต่างจากมนุษย์คือ คอมพิวเตอร์มันไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า จิตใจ ไง มันเลยตัดสินใจอะไรได้ทันที จากเรื่องเดียวกันนี้ มันมีหลายมุมที่เราจะมอง มองจากหลักการ กับ ผลลัพท์ ก็ได้คำตอบที่แตกต่างกันละ เหมือนที่เจ้าหน้าที่สอบสวนของ NTSB พูดว่าเหตุการณ์นี้ คือ "เครื่องบินตกลงในแม่น้ำ Hudson" แต่ Sully แย้งว่า "มันคือการลงจอดบนแม่น้ำ Hudson" ต่างหาก มองต่างมุมจริงๆ

“No matter what happens, fly the airplane.”
ประโยคนี้ คือสิ่งที่ Sully จำได้ขึ้นใจตั้งแต่ตอนที่เค้าเริ่มฝึกขับเครื่องบิน เค้ายึดสิ่งนี้มาตลอด เรายอมรับว่าในช่วงที่เกิดปัญหาแบบฉุกเฉิน ไม่ใช่ทุกคนแน่ๆจะควบคุมสติได้ดี และตัดสินใจในช่วงระยะเวลาสั้นๆได้ดี เราคิดว่า Sully ตัดสินใจจากประสบการณ์และสัญชาตญาณ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าผลลัพท์ออกมาอีกแบบ คนจะพูดถึง Sully ว่าอย่างไรบ้าง แต่ยังไงก็ตาม เรารู้สึกว่า ไมว่าอะไรจะเกิดขึ้น Sully ก็แค่พยายามทำหน้าที่ของเค้าให้ดีที่สุดแค่นั้นเอง "Just fly the airplane"

เราชอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Sully ในเรื่องนี้ เราชอบอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเค้า มันยากมากในการควบคุมตัวเองให้เป็นปกติ การที่เพิ่งประสบกับเรื่องราวเฉียดตาย แต่กลับถูกมองว่าทำงานบกพร่อง การได้รับทั้งคำชมและการถูกตั้งข้อสงสัยในเวลาเดียวกัน มันทำให้รู้สึกสับสนไปหมดจนถึงกับเกิดภาพหลอนในหลายครั้ง มันไม่ง่ายในการที่จะผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปให้ได้ แต่พอตอนจบที่เราได้เห็นรอยยิ้มของ Sully ตัวจริงแล้ว เราก็รู้สึกสบายใจ บางครั้งก่อนที่เราจะมีรอยยิ้มแบบนี้ได้ เราคงต้องยอมอดทนผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมากๆไปให้ได้ก่อน

หนังมีแฝงแก๊กตลกที่ผมฮามากๆ ช่วงท้ายเรื่องเจ้าหน้าที่สอบสวนของ NTSB ถาม Jeff ว่า "มีอะไรไหมที่คุณอยากทำให้มันแตกต่างจากที่เกิดขึ้น" Jeff ตอบกลับไปว่า "มีครับ ผมอยากให้เหตุการณ์มันเกิดเดือนกรกฎาคม" ซึ่งมันคือฤดูร้อนของนิวยอร์ค แต่เหตุการณ์จริงมันเกิดเดือนมกราคม ซึ่งหนาวมากๆ

ในการทำงานทุกอย่าง ประเด็นคู่หูก็เป็นสิ่งสำคัญนะ สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้เลยคือ Jeff Skiles คู่หูของ Sully เค้ามีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน และอยู่เคียงข้างกันตลอดในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมเชื่อว่า ถ้าเราทำงานกันเป็นทีม เชื่อใจ ไว้ใจกัน และคอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน จะช่วยให้งานทุกอย่างออกมาดีแน่นอน เราชอบซีนที่ทั้งคู่เดินคุยกันตอนที่ขอตัวออกมาพักเบรค หลังจากฟังเสียงที่บันทึกไว้บนเครื่องบิน ซึ่งฉากนี้ เราน้ำตาซึมเลย

หากในสังคมเรามีคนแบบ Sully เยอะๆก็คงดี เราชอบที่เค้ารับผิดชอบต่อหน้าที่ของเค้าอย่างซื่อสัตย์ เค้าไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เค้าทำไป มันจะได้อะไรตอบแทนกลับมา เค้าไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ ไม่ได้อยากมีชื่อเสียงอะไรทั้งนั้น
“I don’t feel like a hero”
“I’m just a man who was doing his job.”
เค้าบอกว่า เค้าไม่ได้รู้สึกว่าเค้าเป็นฮีโร่ใดๆทั้งนั้น เค้าเป็นแค่คนที่ทำหน้าที่ของตัวเองเท่านั้นเอง

นอกจากเค้าจะไม่รับเครดิตอะไรแล้ว เค้ายังให้เกียรติกับคนอื่นๆอีกด้วย
“We did this together. We were a team. We did our job.”
เค้าบอกว่า การที่เครื่องบินลงจอดบนแม่น้ำ Hudson ได้นั้น มันไม่ใช่ผลงานของเค้าคนเดียว เค้าบอกว่า ทั้งเค้า คู่หูของเค้า ลูกเรือทุกคน รวมไปถึงผู้โดยสารทั้งหมดต่างช่วยกันทำสิ่งนี้ให้มันเกิดขึ้น พวกเค้าทั้งหมดคือทีมเดียวกัน เราแอบน้ำตาซึมเลยฉากนี้ Sully คุณแมร่งโคตรเท่ห์เลยว่ะ

ฉากธรรมดาๆในช่วงที่ Sully กำลังจะหนีออกจากเครื่องบินเป็นคนสุดท้าย เค้าเดินเข้าไปเช็คในห้องผู้โดยสาร เพื่อดูให้แน่ใจว่า ไม่ใครผู้โดยสารคนใดติดค้างอยู่ในเครื่องอีกแล้ว เรารู้สึกประทับใจมากๆ จะเห็นว่าเค้าเดินเช็คแล้ว และก็ยังเหมือนไม่แน่ใจ เดินกลับไปเช็คดูอีกที เรารับรู้ได้ว่าเค้าเป็นห่วงผู้โดยสารและลูกเรือของเค้าอย่างบริสุทธิ์ใจ ผมว่านี่แหละ มืออาชีพของจริง

เราชอบตอนจบฉากที่ภรรยาของ Sully ตัวจริงพูดกับผู้โดยสารในเที่ยวบิน Cactus 1549 ประมาณว่า ขอบคุณสำหรับจดหมายอวยพรที่ส่งมาให้ เค้าเป็นคนอ่านเปิดอ่านทุกฉบับ แม้เป็นซีนสั้นๆ แต่เราโคตรรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในซีนนี้เลย มันอบอุ่นมากๆ เราเห็นแววตาของ Sully ภรรยาของเค้า และผู้โดยสารทั้งหมด เรารู้สึกว่า พวกเค้าคือครอบครัวเดียวกัน คือทีมเดียวกันจริงๆ

แม้ทั้งเรื่อง เราจะเห็นว่า Sully ต้องเจอเหตุการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นตลอดทั้งเรื่องคือ เค้ามีใครคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆเค้าตลอด แม้ว่าตลอดทั้งเรื่องเค้าจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยก็ตาม ใครคนนั้นก็คือ Lorraine ภรรยาของ Sully ที่อยู่เคียงข้าง Sully ผ่านการพูดคุยทางโทรศัพท์ตลอดทั้งเรื่อง ฉากที่ Sully ขึ้นเรือมาได้ สิ่งแรกที่เค้าทำคือ โทรบอกภรรยาของเค้าให้เปิดดูทีวี เพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น เราโคตรซึ้งเลยฉากนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ตาม มันจะมีอีกคนที่เรายังนึกถึงเค้าอยู่เสมอ และเมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย เค้าคนนั้นจะเป็นคนแรกที่เรานึกถึงแน่นอน

เราชอบประโยคที่ Sully คุยกับภรรยาทางโทรศัพท์ในวันที่ Sully รู้สึกสับสน ท้อแท้ และต้องการกำลังใจจากใครซักคน
Sully : "I want you to know I did the best I could."
Lorraine : "Of course you did. You saved everyone."
แค่ประโยคตอบกลับจากภรรยาของเค้า เพื่อยืนยันสิ่งที่ Sully ทำนั้น มันคือสิ่งที่เค้าทำได้ดีที่สุดเท่าที่เค้าจะสามารถทำได้แล้ว เราเชื่อว่า เพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับ Sully

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่