[CR] ทริปที่ทุกคนร่ำร้องอยากกลับไปอีกครั้ง… Leh, Ladakh - The Land of Gompas, Tso, Himalaya and Ladakhi Spirit



นี่เป็นกระทู้แรกที่พวกเราร่วมกันเขียนเพื่อบอกให้โลกรู้ว่าพวกเรามีความสุขมากที่ครั้งนึงได้ไปสถานที่แห่งนี้และอยากแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทุกๆคน ถ้ามีคำถามที่เราตอบได้ก็ยินดีตอบค่ะ

………………………………………………………………………………………………….

“ไปอินเดียเหรอ?” ... “เตรียมยาดมรึยัง” “ดื่มแต่น้ำในขวดนะ” “เอาผ้าปิดจมูกด้วย” “ถ้าออกนอกเมืองใส่อันอันเลยเธอ” “อย่าลืมฉีดวัคซีนก่อนเดินทาง” “ต้องเอามาม่าไปเยอะๆ” “อ่ะ เอาผงเกลือแร่ไปด้วย” หรือหนักๆเลยคือ “ในโลกนี้ไม่มีที่อื่นให้เที่ยวแล้วเหรอน้อง” กับอีกหลายๆความห่วงใยที่ทุกคนรอบตัวมีให้ช่วงวางแผนการเดินทาง และเชื่อว่าคนที่จะไปเที่ยวอินเดียหลายๆคนคงได้รับคำถามและความห่วงใยคล้ายๆกัน

ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปอินเดียครั้งแรกของเรา และเราเลือกที่จะไปเลห์ลาดักห์ เพราะเราประทับใจ Bhutan ที่มีความสงบสุขแทรกอยู่ในอากาศ ประกอบกับได้เห็นรูปเลห์ลาดักห์จากเฟซบุ๊คของเพื่อน ทำให้สถานที่แห่งนี้อยู่ในเช็คลิสต์ของเรามาตลอด จากความกังวลในตอนต้นกลายเป็นความประทับใจไม่รู้ลืมในตอนท้ายที่สุดและคิดว่าจะกลับไปอีกแน่นอน สิ่งที่จะมาแชร์ในกระทู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ชอบเที่ยวสบายๆไม่ถึงขั้นแบกเป้ลุยมากแต่ก้อไม่ต้องตามกรุ๊ปทัวร์จนเสียความเป็นส่วนตัว

การเดินทางครั้งนี้ เพื่อนๆกับเราไปกันทั้งหมด 9 คน จองตั๋วเครื่องบินเอง ทำวีซ่าเองและเลือกพักที่โรงแรม Lha Ri Sa พร้อมกับให้โรงแรมจัดการเรื่องทัวร์ให้ เนื่องจากเพื่อนรุ่นน้องเคยไปพักมาก่อนและแนะนำต่อ เราเลยไม่ได้หา option อื่นเพิ่มเลย เพราะโดยส่วนตัวไม่ได้เป็นคนเที่ยวลุยมากและไม่ถนัดใช้ public transportation (มันแอบงง) พอมี reference ที่ดูรักสบายพอๆกับเราเลยต้องรีบตามเค้าไป อิอิ (เพื่อนๆขาลุยอาจจะไม่ได้รายละเอียดเรื่องการเตรียมตัวที่เลห์เท่าไหร่ เพราะมีคนจัดการให้ค่ะ)

เริ่มจากขั้นตอนแรก หลังจากที่เปรียบเทียบราคาตั๋วและเวลาไฟลท์แล้วทุกคนตกลงเลือก Jet Airways จากเวลาที่บินแบบไม่ต้องแวะค้างคืนหรือเปลี่ยนเทอร์มินอลที่เดลี มีไฟลท์ไปถึง Leh แบบไม่ต้องเปลี่ยนสายการบินให้ยุ่งยากและมีน้ำหนักกระเป๋าให้ 30 กก. ตลอดเส้นทาง ในครั้งนี้เพื่อนๆกับเราจองตั๋วเครื่องบินผ่านเอเจนต์ชื่อ Ambika Tour เพราะถ้าจองในเว็บราคาจะแกว่งๆ และจองตรงกับสายการบินก็ไม่ได้ราคากรุ๊ปอยู่ดี ค่าเสียหายสิริรวมคนละประมาณหมื่นเก้าพันบาท

ระหว่างนั้นก็เริ่มต้นคุยกับโรงแรมเรื่องจองที่พักและสถานที่ที่จะไป พอได้รายละเอียดเค้าโครงครบถ้วนก็เริ่มขั้นตอนขอวีซ่า (วีซ่ามีอายุ 6 เดือนนับจากวันที่ขอ ใช้เวลาขอประมาณ 1 อาทิตย์ เพราะฉะนั้นควรกะระยะเวลาในการขอให้พอดีไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไปค่ะ)
พวกเราเดินทางเดือนสิงหาคม ไปทำวีซ่าตั้งแต่ประมาณมิถุนายน ซึ่งจัดเป็นช่วงที่ดี เพราะเป็นหน้าร้อนและคนไปขอวีซ่าไปอินเดียค่อนข้างน้อย  เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องไปซ้ำหรือจ่ายตังค์กรอกเอกสารใหม่ แนะนำตามขั้นตอนนี้เลยค่ะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

มาถึงการจัดทริป โรงแรม Lha Ri Sa จัดการให้เราทั้งหมด โดยที่ติดต่อกันผ่านอีเมล์ตั้งแต่เดือนมีนาคม เดิมทีโรงแรมเสนอโปรแกรมเที่ยวในเมือง Alchi และ Pangong Lake แต่เราขอเพิ่ม Nubra Valley อีกโปรแกรมเพราะเคยเห็นรูปทะเลทรายสีเทาและอูฐตัวโตๆแล้วอยากไป ซึ่ง Mr. Tashi Motub Kau (เพื่อนๆกับเราเรียกว่าทาชิ) ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทกับพนักงานที่นั่นจัดการเปลี่ยนแปลงให้ตามคำขอเรียบร้อย โปรแกรมที่โรงแรมจัดให้รวมอาหารเช้าและอาหารเย็น และเดินทางโดยรถ Innova  2 คัน สำหรับ 9 คน มีคนขับรถทำหน้าที่ไกด์เล่าเรื่องราวต่างๆระหว่างเดินทาง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


สถานที่ใน Ladahk เพื่อเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆวางแผนเที่ยว

ก่อนเดินทาง พวกเราก็เตรียมตัวกันปกติคือเสื้อผ้าตามสภาพอากาศ เนื่องจากเราไปช่วงเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นหน้าร้อน อุณหภูมิจะไม่หนาวโหดมาก เอา light jacket กับผ้าพันคอสำหรับวันปกติ พร้อมกับเสื้อหนาวอุ่นๆเตรียมพร้อมสำหรับทะเลสาบPangong นอกจากเรื่องเสื้อผ้าแล้ว สิ่งที่แนะนำให้เตรียมไปด้วยคือ มาม่ารสต้มยำกุ้ง (รสนี้เท่านั้น เพราะไปถึงที่นั่นแล้วร่างกายจะโหยหาการซดน้ำต้มยำกุ้งร้อนๆแบบสุดๆ) ขนมนมเนยต่างๆ (เผื่อไม่ชอบอาหารที่นั่น) และที่ขาดไม่ได้เลยคือทิชชู่เปียก (มันให้ผลทางด้านจิตใจทุกครั้งที่ได้เช็ดมือก่อนทำอะไรซักอย่าง) ลูกอมเผื่อเมารถ ครีมกันแดดและแว่นกันแดดก็เป็นสิ่งจำเป็นเพราะที่นั่นใกล้แดดอุ่นเว่อร์มาก (พอไม่มีแดดเลยหนาวเว่อร์) ครีมบำรุงหน้า ผิว ผม มือ และเล็บ (เอาแบบชุ่มๆเพราะทุกอย่างแห้งไว เล็บฉีก จมูกเลือดออก ปากลอก มือเป็นขุย เกิดขึ้นได้หากไม่ moisturized อย่างพอเพียง) ผ้าปิดจมูกและน้ำเกลือล้างจมูก เพราะที่นั่นฝุ่นเยอะมาก ร่มเผื่อฝนตก พวกของกินต่างๆ ที่เตรียมไป นอกจากจะไว้กินกันเองแล้ว ยังสามารถเอาไว้แจกจ่ายให้เด็กๆ รวมทั้งคนงานที่เราได้เจอระหว่างทางด้วย เด็กๆที่นู่นน่ารักมาก ส่วนคนงานก็น่าสงสารมาก ต้องเอาค้อนมานั่งทุบหินที่ละก้อน (ดูแล้วก็ทำให้เราเลิกเบื่องานที่เราทำไปได้สักพักนึง 5555) หรือถ้าใครมีแพลนจะเดินทางไปเที่ยวหลายวันและจะต้องผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ต่าง ก็สามารถนำพวกเครื่องเขียนไปให้เด็กๆ ได้ด้วยจ้า

เริ่มเดินทางวันแรก เครื่องออกจากสุวรรณภูมิประมาณสามทุ่มและถึงที่อินเดียประมาณเที่ยงคืน ทุกคนก็รอที่สนามบินเพื่อจับไฟลท์เช้าตอนตีห้ากว่าๆไปที่เลห์ต่อ  ขาไปเจ้าหน้าที่สายการบินแจ้งว่าเราต้องไปรับกระเป๋าที่เดลีแล้วเอาไปเช็คอินที่ transfer counter อีกครั้งก่อนไปลาดักห์ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับกระเป๋าครบไม่มีปัญหา การตรวจตราและตรวจกระเป๋าที่สนามบินเดลีค่อนข้างเข้มงวดดี





ก่อนถึงสนามบินเลห์ ถ้ามองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเจอวิวที่สุดยอดมากๆ ได้ยินเสียงคนในเครื่องบินฮือฮากับวิว จนเราเองก็อดร้องโอ้โหออกมาไม่ได้ (เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้นี่นา)




มาถึงเลห์ ก็มีเจ้าหน้าที่โรงแรมมารับที่สนามบิน เลห์เป็นเมืองเล็กๆ คล้ายกับทิเบตและประเทศแถบหิมาลัยมากกว่าอินเดียที่เราเคยเห็นในสารคดี  ผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนหน้าแนวทิเบต บางคนออกแนวมองโกล บางคนออกแนวฝรั่งอารยัน หรือมีบ้างที่หน้าตาออกไปทางอินเดีย โดยรวมคือมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ค่อนข้างสูง แต่ที่ประทับใจมากคือวิวภูเขาสูงใหญ่ที่เห็นได้ชัดแม้ว่าจะอยู่ในเมือง หิมาลัยยิ่งใหญ่สมกับเป็น The Roof of The World จริงๆ





ชื่อสินค้า:   Leh, Ladakh อินเดีย, India
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่