นี่เป็นกระทู้แรกที่พวกเราร่วมกันเขียนเพื่อบอกให้โลกรู้ว่าพวกเรามีความสุขมากที่ครั้งนึงได้ไปสถานที่แห่งนี้และอยากแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทุกๆคน ถ้ามีคำถามที่เราตอบได้ก็ยินดีตอบค่ะ
………………………………………………………………………………………………….
“ไปอินเดียเหรอ?” ... “เตรียมยาดมรึยัง” “ดื่มแต่น้ำในขวดนะ” “เอาผ้าปิดจมูกด้วย” “ถ้าออกนอกเมืองใส่อันอันเลยเธอ” “อย่าลืมฉีดวัคซีนก่อนเดินทาง” “ต้องเอามาม่าไปเยอะๆ” “อ่ะ เอาผงเกลือแร่ไปด้วย” หรือหนักๆเลยคือ “ในโลกนี้ไม่มีที่อื่นให้เที่ยวแล้วเหรอน้อง” กับอีกหลายๆความห่วงใยที่ทุกคนรอบตัวมีให้ช่วงวางแผนการเดินทาง และเชื่อว่าคนที่จะไปเที่ยวอินเดียหลายๆคนคงได้รับคำถามและความห่วงใยคล้ายๆกัน
ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปอินเดียครั้งแรกของเรา และเราเลือกที่จะไปเลห์ลาดักห์ เพราะเราประทับใจ Bhutan ที่มีความสงบสุขแทรกอยู่ในอากาศ ประกอบกับได้เห็นรูปเลห์ลาดักห์จากเฟซบุ๊คของเพื่อน ทำให้สถานที่แห่งนี้อยู่ในเช็คลิสต์ของเรามาตลอด จากความกังวลในตอนต้นกลายเป็นความประทับใจไม่รู้ลืมในตอนท้ายที่สุดและคิดว่าจะกลับไปอีกแน่นอน สิ่งที่จะมาแชร์ในกระทู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ชอบเที่ยวสบายๆไม่ถึงขั้นแบกเป้ลุยมากแต่ก้อไม่ต้องตามกรุ๊ปทัวร์จนเสียความเป็นส่วนตัว
การเดินทางครั้งนี้ เพื่อนๆกับเราไปกันทั้งหมด 9 คน จองตั๋วเครื่องบินเอง ทำวีซ่าเองและเลือกพักที่โรงแรม Lha Ri Sa พร้อมกับให้โรงแรมจัดการเรื่องทัวร์ให้ เนื่องจากเพื่อนรุ่นน้องเคยไปพักมาก่อนและแนะนำต่อ เราเลยไม่ได้หา option อื่นเพิ่มเลย เพราะโดยส่วนตัวไม่ได้เป็นคนเที่ยวลุยมากและไม่ถนัดใช้ public transportation (มันแอบงง) พอมี reference ที่ดูรักสบายพอๆกับเราเลยต้องรีบตามเค้าไป อิอิ (เพื่อนๆขาลุยอาจจะไม่ได้รายละเอียดเรื่องการเตรียมตัวที่เลห์เท่าไหร่ เพราะมีคนจัดการให้ค่ะ)
เริ่มจากขั้นตอนแรก หลังจากที่เปรียบเทียบราคาตั๋วและเวลาไฟลท์แล้วทุกคนตกลงเลือก Jet Airways จากเวลาที่บินแบบไม่ต้องแวะค้างคืนหรือเปลี่ยนเทอร์มินอลที่เดลี มีไฟลท์ไปถึง Leh แบบไม่ต้องเปลี่ยนสายการบินให้ยุ่งยากและมีน้ำหนักกระเป๋าให้ 30 กก. ตลอดเส้นทาง ในครั้งนี้เพื่อนๆกับเราจองตั๋วเครื่องบินผ่านเอเจนต์ชื่อ Ambika Tour เพราะถ้าจองในเว็บราคาจะแกว่งๆ และจองตรงกับสายการบินก็ไม่ได้ราคากรุ๊ปอยู่ดี ค่าเสียหายสิริรวมคนละประมาณหมื่นเก้าพันบาท
ระหว่างนั้นก็เริ่มต้นคุยกับโรงแรมเรื่องจองที่พักและสถานที่ที่จะไป พอได้รายละเอียดเค้าโครงครบถ้วนก็เริ่มขั้นตอนขอวีซ่า (วีซ่ามีอายุ 6 เดือนนับจากวันที่ขอ ใช้เวลาขอประมาณ 1 อาทิตย์ เพราะฉะนั้นควรกะระยะเวลาในการขอให้พอดีไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไปค่ะ)
พวกเราเดินทางเดือนสิงหาคม ไปทำวีซ่าตั้งแต่ประมาณมิถุนายน ซึ่งจัดเป็นช่วงที่ดี เพราะเป็นหน้าร้อนและคนไปขอวีซ่าไปอินเดียค่อนข้างน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องไปซ้ำหรือจ่ายตังค์กรอกเอกสารใหม่ แนะนำตามขั้นตอนนี้เลยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เข้าไปกรอกเอกสารออนไลน์ ในลิงค์นี้ให้ครบ (เน้นว่ากรอกให้ครบทุกช่องจริงๆ แม้ในช่องที่ไม่มีดอกจัน เช่น สนามบินที่เข้าออกประเทศ งานที่ทำ และตำแหน่งงานในองค์กร ช่องไหนที่ไม่มีจริงๆ เช่น ไฝ ฝ้า ปานแดง ปานดำ ให้ใส่ไว้ว่า N/A)
https://indianvisaonline.gov.in/visa/info1.jsp
กรอกเรียบร้อยแล้วก็ print ออกมา พร้อมเตรียมเอกสารต่อไปนี้ เอาไปสถานทูต (อาคาร 253 ชั้น 22 ถนนอโศก ลงรถใต้ดินเพชรบุรีแล้วเดินไปถึง สะดวกไม่ต้องรอรถติดค่ะ)
- ฟอร์มที่พิมพ์เรียบร้อย (ห้ามกรอกด้วยลายมือ) เซ็นกำกับ 2 ตำแหน่ง คือใต้รูปถ่าย กับหน้าหลังสุด
- รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป (เน้นว่า 2 นิ้ว x 2 นิ้ว เท่านั้น ห้ามผิดไซส์ พื้นหลังสีขาว) ใบนึงแปะกาวมาในช่องบนใบสมัคร อีกใบใช้คลิปหนีบไว้ตรงมุมซ้ายด้านบน
- พาสปอร์ต (มีอายุมากกว่า 6 เดือนนับจากวันเดินทาง และหน้าว่าง มากกว่า 2 หน้า)
- สำเนาพาสปอร์ต 2 ชุด
- สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประชาชน 1 ชุด
- ตั๋วเครื่องบิน
- ใบจองโรงแรม
- รายละเอียดทัวร์คร่าวๆว่าไปไหนบ้าง (Itinerary)
- จดหมายเรื่อง permit เข้าเลห์ (มาเขียนที่สถานทูตได้ สถานทูตมีฟอร์มให้กรอก) สำหรับคนที่จะเตรียมมาเองสามารถทำเป็นจดหมายง่ายๆ โดยให้มีรายละเอียดตามนี้ค่ะ
o ลงวันที่ที่ขอวีซ่า
o attention to Consular Officer/ Embassy India, Bangkok
o Applicant name
o Contact number
o Subject (ขอ permit to restricted areas)
o Content (clarify ว่าเราจะเดินทางไปเลห์,ลาดักห์ รับรู้ว่ามีบางพื้นที่ที่เป็น restricted area จะต้องขอเพอร์มิต และจะรับผิดชอบขั้นตอนเหล่านั้นเมื่อเราถึง destination แล้ว) – ของเราโรงแรมที่เป็นคนจัดการเรื่องทัวร์ให้จัดการเรื่องเพอร์มิตให้ด้วย
o Applicant signature
- เงินสด 2080 บาท (รวมค่าส่ง EMS เรียบร้อย – มารับเองกับส่ง EMS ราคาเท่ากัน)
มาถึงการจัดทริป โรงแรม Lha Ri Sa จัดการให้เราทั้งหมด โดยที่ติดต่อกันผ่านอีเมล์ตั้งแต่เดือนมีนาคม เดิมทีโรงแรมเสนอโปรแกรมเที่ยวในเมือง Alchi และ Pangong Lake แต่เราขอเพิ่ม Nubra Valley อีกโปรแกรมเพราะเคยเห็นรูปทะเลทรายสีเทาและอูฐตัวโตๆแล้วอยากไป ซึ่ง Mr. Tashi Motub Kau (เพื่อนๆกับเราเรียกว่าทาชิ) ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทกับพนักงานที่นั่นจัดการเปลี่ยนแปลงให้ตามคำขอเรียบร้อย โปรแกรมที่โรงแรมจัดให้รวมอาหารเช้าและอาหารเย็น และเดินทางโดยรถ Innova 2 คัน สำหรับ 9 คน มีคนขับรถทำหน้าที่ไกด์เล่าเรื่องราวต่างๆระหว่างเดินทาง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพิ่มเติม: เรานับการเตรียมตัวเดินทางครั้งนี้เป็นบทเรียนที่มีค่ากับเรามากๆ เนื่องจากเราเป็นคนช่างนอยด์และละเอียดๆๆๆ (ย้ำว่าละเอียดมากๆ) เราเลยเขียนไปถามอะไรๆค่อนข้างเยอะและเมื่อไม่ได้คำตอบแบบทันใจก็มีโทรไปจิกที่โรงแรมบ้าง เพราะเรา stereotype คนอินเดียกลัวจะโดนแขกหลอก แต่ความจริงคือคนที่นี่ไม่เหมือนคนอินเดียที่เคยได้ยินมา ที่ลาดักห์ internet connection ค่อนข้างแย่ ช้าและติดๆดับๆ ทางรีสอร์ทเลยตอบช้า บางทีการเปิดใจรับความต่าง และรอความพร้อมของคนอื่นบ้าง มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรช้าลงมากมาย แถมการเรียนรู้ที่จะนึกถึงและเข้าใจคนอื่นว่าเค้าอยู่ในเงื่อนไขแบบไหน ก็ทำให้เราเปิดใจไว้ใจเขาได้และสามารถสัมผัสถึงมิตรภาพดีๆด้วยน้ำใสใจจริงที่คนที่นั่นมีให้ ที่จะเล่าต่อไประหว่างเดินทาง... ยังไปไม่ถึงเลห์ก็เป็นโรค Attitude Sickness (ทัศนคติอักเสบ) มาก่อนโรค Altitude Sickness (แพ้ความสูง) ซะแล้ว ... เอ้า..คิดซะว่า Good Vibes ที่เลห์น่าจะช่วยรักษาโรคทัศนคติอักเสบ ของเราได้ระดับนึง
สถานที่ใน Ladahk เพื่อเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆวางแผนเที่ยว
ก่อนเดินทาง พวกเราก็เตรียมตัวกันปกติคือเสื้อผ้าตามสภาพอากาศ เนื่องจากเราไปช่วงเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นหน้าร้อน อุณหภูมิจะไม่หนาวโหดมาก เอา light jacket กับผ้าพันคอสำหรับวันปกติ พร้อมกับเสื้อหนาวอุ่นๆเตรียมพร้อมสำหรับทะเลสาบPangong นอกจากเรื่องเสื้อผ้าแล้ว สิ่งที่แนะนำให้เตรียมไปด้วยคือ มาม่ารสต้มยำกุ้ง (รสนี้เท่านั้น เพราะไปถึงที่นั่นแล้วร่างกายจะโหยหาการซดน้ำต้มยำกุ้งร้อนๆแบบสุดๆ) ขนมนมเนยต่างๆ (เผื่อไม่ชอบอาหารที่นั่น) และที่ขาดไม่ได้เลยคือทิชชู่เปียก (มันให้ผลทางด้านจิตใจทุกครั้งที่ได้เช็ดมือก่อนทำอะไรซักอย่าง) ลูกอมเผื่อเมารถ ครีมกันแดดและแว่นกันแดดก็เป็นสิ่งจำเป็นเพราะที่นั่นใกล้แดดอุ่นเว่อร์มาก (พอไม่มีแดดเลยหนาวเว่อร์) ครีมบำรุงหน้า ผิว ผม มือ และเล็บ (เอาแบบชุ่มๆเพราะทุกอย่างแห้งไว เล็บฉีก จมูกเลือดออก ปากลอก มือเป็นขุย เกิดขึ้นได้หากไม่ moisturized อย่างพอเพียง) ผ้าปิดจมูกและน้ำเกลือล้างจมูก เพราะที่นั่นฝุ่นเยอะมาก ร่มเผื่อฝนตก พวกของกินต่างๆ ที่เตรียมไป นอกจากจะไว้กินกันเองแล้ว ยังสามารถเอาไว้แจกจ่ายให้เด็กๆ รวมทั้งคนงานที่เราได้เจอระหว่างทางด้วย เด็กๆที่นู่นน่ารักมาก ส่วนคนงานก็น่าสงสารมาก ต้องเอาค้อนมานั่งทุบหินที่ละก้อน (ดูแล้วก็ทำให้เราเลิกเบื่องานที่เราทำไปได้สักพักนึง 5555) หรือถ้าใครมีแพลนจะเดินทางไปเที่ยวหลายวันและจะต้องผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ต่าง ก็สามารถนำพวกเครื่องเขียนไปให้เด็กๆ ได้ด้วยจ้า
เริ่มเดินทางวันแรก เครื่องออกจากสุวรรณภูมิประมาณสามทุ่มและถึงที่อินเดียประมาณเที่ยงคืน ทุกคนก็รอที่สนามบินเพื่อจับไฟลท์เช้าตอนตีห้ากว่าๆไปที่เลห์ต่อ ขาไปเจ้าหน้าที่สายการบินแจ้งว่าเราต้องไปรับกระเป๋าที่เดลีแล้วเอาไปเช็คอินที่ transfer counter อีกครั้งก่อนไปลาดักห์ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับกระเป๋าครบไม่มีปัญหา การตรวจตราและตรวจกระเป๋าที่สนามบินเดลีค่อนข้างเข้มงวดดี
ก่อนถึงสนามบินเลห์ ถ้ามองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเจอวิวที่สุดยอดมากๆ ได้ยินเสียงคนในเครื่องบินฮือฮากับวิว จนเราเองก็อดร้องโอ้โหออกมาไม่ได้ (เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้นี่นา)
มาถึงเลห์ ก็มีเจ้าหน้าที่โรงแรมมารับที่สนามบิน เลห์เป็นเมืองเล็กๆ คล้ายกับทิเบตและประเทศแถบหิมาลัยมากกว่าอินเดียที่เราเคยเห็นในสารคดี ผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนหน้าแนวทิเบต บางคนออกแนวมองโกล บางคนออกแนวฝรั่งอารยัน หรือมีบ้างที่หน้าตาออกไปทางอินเดีย โดยรวมคือมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ค่อนข้างสูง แต่ที่ประทับใจมากคือวิวภูเขาสูงใหญ่ที่เห็นได้ชัดแม้ว่าจะอยู่ในเมือง หิมาลัยยิ่งใหญ่สมกับเป็น The Roof of The World จริงๆ
[CR] ทริปที่ทุกคนร่ำร้องอยากกลับไปอีกครั้ง… Leh, Ladakh - The Land of Gompas, Tso, Himalaya and Ladakhi Spirit
“ไปอินเดียเหรอ?” ... “เตรียมยาดมรึยัง” “ดื่มแต่น้ำในขวดนะ” “เอาผ้าปิดจมูกด้วย” “ถ้าออกนอกเมืองใส่อันอันเลยเธอ” “อย่าลืมฉีดวัคซีนก่อนเดินทาง” “ต้องเอามาม่าไปเยอะๆ” “อ่ะ เอาผงเกลือแร่ไปด้วย” หรือหนักๆเลยคือ “ในโลกนี้ไม่มีที่อื่นให้เที่ยวแล้วเหรอน้อง” กับอีกหลายๆความห่วงใยที่ทุกคนรอบตัวมีให้ช่วงวางแผนการเดินทาง และเชื่อว่าคนที่จะไปเที่ยวอินเดียหลายๆคนคงได้รับคำถามและความห่วงใยคล้ายๆกัน
ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปอินเดียครั้งแรกของเรา และเราเลือกที่จะไปเลห์ลาดักห์ เพราะเราประทับใจ Bhutan ที่มีความสงบสุขแทรกอยู่ในอากาศ ประกอบกับได้เห็นรูปเลห์ลาดักห์จากเฟซบุ๊คของเพื่อน ทำให้สถานที่แห่งนี้อยู่ในเช็คลิสต์ของเรามาตลอด จากความกังวลในตอนต้นกลายเป็นความประทับใจไม่รู้ลืมในตอนท้ายที่สุดและคิดว่าจะกลับไปอีกแน่นอน สิ่งที่จะมาแชร์ในกระทู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ชอบเที่ยวสบายๆไม่ถึงขั้นแบกเป้ลุยมากแต่ก้อไม่ต้องตามกรุ๊ปทัวร์จนเสียความเป็นส่วนตัว
การเดินทางครั้งนี้ เพื่อนๆกับเราไปกันทั้งหมด 9 คน จองตั๋วเครื่องบินเอง ทำวีซ่าเองและเลือกพักที่โรงแรม Lha Ri Sa พร้อมกับให้โรงแรมจัดการเรื่องทัวร์ให้ เนื่องจากเพื่อนรุ่นน้องเคยไปพักมาก่อนและแนะนำต่อ เราเลยไม่ได้หา option อื่นเพิ่มเลย เพราะโดยส่วนตัวไม่ได้เป็นคนเที่ยวลุยมากและไม่ถนัดใช้ public transportation (มันแอบงง) พอมี reference ที่ดูรักสบายพอๆกับเราเลยต้องรีบตามเค้าไป อิอิ (เพื่อนๆขาลุยอาจจะไม่ได้รายละเอียดเรื่องการเตรียมตัวที่เลห์เท่าไหร่ เพราะมีคนจัดการให้ค่ะ)
เริ่มจากขั้นตอนแรก หลังจากที่เปรียบเทียบราคาตั๋วและเวลาไฟลท์แล้วทุกคนตกลงเลือก Jet Airways จากเวลาที่บินแบบไม่ต้องแวะค้างคืนหรือเปลี่ยนเทอร์มินอลที่เดลี มีไฟลท์ไปถึง Leh แบบไม่ต้องเปลี่ยนสายการบินให้ยุ่งยากและมีน้ำหนักกระเป๋าให้ 30 กก. ตลอดเส้นทาง ในครั้งนี้เพื่อนๆกับเราจองตั๋วเครื่องบินผ่านเอเจนต์ชื่อ Ambika Tour เพราะถ้าจองในเว็บราคาจะแกว่งๆ และจองตรงกับสายการบินก็ไม่ได้ราคากรุ๊ปอยู่ดี ค่าเสียหายสิริรวมคนละประมาณหมื่นเก้าพันบาท
ระหว่างนั้นก็เริ่มต้นคุยกับโรงแรมเรื่องจองที่พักและสถานที่ที่จะไป พอได้รายละเอียดเค้าโครงครบถ้วนก็เริ่มขั้นตอนขอวีซ่า (วีซ่ามีอายุ 6 เดือนนับจากวันที่ขอ ใช้เวลาขอประมาณ 1 อาทิตย์ เพราะฉะนั้นควรกะระยะเวลาในการขอให้พอดีไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไปค่ะ)
พวกเราเดินทางเดือนสิงหาคม ไปทำวีซ่าตั้งแต่ประมาณมิถุนายน ซึ่งจัดเป็นช่วงที่ดี เพราะเป็นหน้าร้อนและคนไปขอวีซ่าไปอินเดียค่อนข้างน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องไปซ้ำหรือจ่ายตังค์กรอกเอกสารใหม่ แนะนำตามขั้นตอนนี้เลยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มาถึงการจัดทริป โรงแรม Lha Ri Sa จัดการให้เราทั้งหมด โดยที่ติดต่อกันผ่านอีเมล์ตั้งแต่เดือนมีนาคม เดิมทีโรงแรมเสนอโปรแกรมเที่ยวในเมือง Alchi และ Pangong Lake แต่เราขอเพิ่ม Nubra Valley อีกโปรแกรมเพราะเคยเห็นรูปทะเลทรายสีเทาและอูฐตัวโตๆแล้วอยากไป ซึ่ง Mr. Tashi Motub Kau (เพื่อนๆกับเราเรียกว่าทาชิ) ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทกับพนักงานที่นั่นจัดการเปลี่ยนแปลงให้ตามคำขอเรียบร้อย โปรแกรมที่โรงแรมจัดให้รวมอาหารเช้าและอาหารเย็น และเดินทางโดยรถ Innova 2 คัน สำหรับ 9 คน มีคนขับรถทำหน้าที่ไกด์เล่าเรื่องราวต่างๆระหว่างเดินทาง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สถานที่ใน Ladahk เพื่อเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆวางแผนเที่ยว
ก่อนเดินทาง พวกเราก็เตรียมตัวกันปกติคือเสื้อผ้าตามสภาพอากาศ เนื่องจากเราไปช่วงเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นหน้าร้อน อุณหภูมิจะไม่หนาวโหดมาก เอา light jacket กับผ้าพันคอสำหรับวันปกติ พร้อมกับเสื้อหนาวอุ่นๆเตรียมพร้อมสำหรับทะเลสาบPangong นอกจากเรื่องเสื้อผ้าแล้ว สิ่งที่แนะนำให้เตรียมไปด้วยคือ มาม่ารสต้มยำกุ้ง (รสนี้เท่านั้น เพราะไปถึงที่นั่นแล้วร่างกายจะโหยหาการซดน้ำต้มยำกุ้งร้อนๆแบบสุดๆ) ขนมนมเนยต่างๆ (เผื่อไม่ชอบอาหารที่นั่น) และที่ขาดไม่ได้เลยคือทิชชู่เปียก (มันให้ผลทางด้านจิตใจทุกครั้งที่ได้เช็ดมือก่อนทำอะไรซักอย่าง) ลูกอมเผื่อเมารถ ครีมกันแดดและแว่นกันแดดก็เป็นสิ่งจำเป็นเพราะที่นั่นใกล้แดดอุ่นเว่อร์มาก (พอไม่มีแดดเลยหนาวเว่อร์) ครีมบำรุงหน้า ผิว ผม มือ และเล็บ (เอาแบบชุ่มๆเพราะทุกอย่างแห้งไว เล็บฉีก จมูกเลือดออก ปากลอก มือเป็นขุย เกิดขึ้นได้หากไม่ moisturized อย่างพอเพียง) ผ้าปิดจมูกและน้ำเกลือล้างจมูก เพราะที่นั่นฝุ่นเยอะมาก ร่มเผื่อฝนตก พวกของกินต่างๆ ที่เตรียมไป นอกจากจะไว้กินกันเองแล้ว ยังสามารถเอาไว้แจกจ่ายให้เด็กๆ รวมทั้งคนงานที่เราได้เจอระหว่างทางด้วย เด็กๆที่นู่นน่ารักมาก ส่วนคนงานก็น่าสงสารมาก ต้องเอาค้อนมานั่งทุบหินที่ละก้อน (ดูแล้วก็ทำให้เราเลิกเบื่องานที่เราทำไปได้สักพักนึง 5555) หรือถ้าใครมีแพลนจะเดินทางไปเที่ยวหลายวันและจะต้องผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ต่าง ก็สามารถนำพวกเครื่องเขียนไปให้เด็กๆ ได้ด้วยจ้า
เริ่มเดินทางวันแรก เครื่องออกจากสุวรรณภูมิประมาณสามทุ่มและถึงที่อินเดียประมาณเที่ยงคืน ทุกคนก็รอที่สนามบินเพื่อจับไฟลท์เช้าตอนตีห้ากว่าๆไปที่เลห์ต่อ ขาไปเจ้าหน้าที่สายการบินแจ้งว่าเราต้องไปรับกระเป๋าที่เดลีแล้วเอาไปเช็คอินที่ transfer counter อีกครั้งก่อนไปลาดักห์ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับกระเป๋าครบไม่มีปัญหา การตรวจตราและตรวจกระเป๋าที่สนามบินเดลีค่อนข้างเข้มงวดดี
ก่อนถึงสนามบินเลห์ ถ้ามองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเจอวิวที่สุดยอดมากๆ ได้ยินเสียงคนในเครื่องบินฮือฮากับวิว จนเราเองก็อดร้องโอ้โหออกมาไม่ได้ (เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้นี่นา)
มาถึงเลห์ ก็มีเจ้าหน้าที่โรงแรมมารับที่สนามบิน เลห์เป็นเมืองเล็กๆ คล้ายกับทิเบตและประเทศแถบหิมาลัยมากกว่าอินเดียที่เราเคยเห็นในสารคดี ผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนหน้าแนวทิเบต บางคนออกแนวมองโกล บางคนออกแนวฝรั่งอารยัน หรือมีบ้างที่หน้าตาออกไปทางอินเดีย โดยรวมคือมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ค่อนข้างสูง แต่ที่ประทับใจมากคือวิวภูเขาสูงใหญ่ที่เห็นได้ชัดแม้ว่าจะอยู่ในเมือง หิมาลัยยิ่งใหญ่สมกับเป็น The Roof of The World จริงๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น