on the way LEH, LADAKH

on the way
LEH, LADAKH


*

*

เพราะนี่คือเรื่องราวระหว่างทางจาก เลห์ ลาดักห์

ก่อนจะไปพบเจอเรื่องราวระหว่างทางนั้น เราขอเริ่มที่การเดินทางและการเตรียมตัวของเราก่อนนะครับ
สิ่งที่เราคิดว่าทุกคนควรรู้ไว้ก่อนไปเลห์นะครับ


1.ที่ตั้ง เมืองเลห์นั้นตั้งอยู่บนความสูง 3,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ย ที่ขอพูดถึงเรื่องที่ตั้งเนื่องจากสิ่งที่จะตามมาและเป็นปัญหาสำหรับชาวลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างพวกเราก็คือสิ่งที่เรียกว่า “high altitude sickness” เพราะความทรมานจากเจ้าโรคนี้อาจทำให้ทั้งทริปของคุณไม่สนุกเลยนะ ที่เราเจอมากับตัวก็คือ อาการเวียนหัวหนักมาก และ ไม่สามารถทำตัวตั้งฉากกับพื้นโลกได้เลย ต้องนอนไปหนึ่งวันเต็มก็จะกลับมาเป็นปกติ ทำให้เราอด city tour ในเมืองเลห์ ไปเลย

*วิธีรับมือก็คือ ให้ทานยา Acetazolamide (diamox) ก่อนเดินทางสัก 1-2 วันครับ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยาด้วยนะครับ*

และเรื่องของที่ตั้งนั้นยังไม่สำคัญแค่เท่านี้ครับ เพราะด้วยความที่อยู่แถบหิมาลัยทำให้ ผู้คน และ วัฒนธรรมของเมืองเลห์นั้นค่อนไปทางทิเบตมากกว่าอินเดียทางตอนกลางและทางล่าง และผู้คนที่นี่ก็ยังน่ารักและรู้สึกอุ่นใจในการปฏิสัมพันธ์มากกว่าพี่แขกในเมืองเดลีครับ

2. ตั๋วเครื่องบิน เราเดินทางโดยสายการบิน Air India โดยต้องแวะต่อเครื่องที่ เดลี (DEL) เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ ด้วยไฟลท์ AI333 ตอนเช้า ไปถึง เดลี ประมาณเที่ยง มีเวลาในการต่อเครื่องประมาณ 17 ชั่วโมง เราเลยตัดสินใจไปเที่ยวในเมือง และนอนพัก ก่อนจะมาขึ้นเครื่องไฟลท์ AI445 ตอนตี 5 เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเลห์  (IXL) ระหว่างบินจากเดลีไปยังเมืองเลห์นี่ขอบอกเลยครับว่าห้ามเผลอหลับไปเชียวเพราะเราจะได้เจอกับแนวเทือกเขาหิมาลัยทอดตัวอยู่เบื้องล่าง นับเป็นอีกหนึ่งไฟลท์ที่สวยงามมากจริงๆ ครับ ส่วนตอนกลับเราเดินทางไฟลท์ AI446 ตอนเช้า จากเลห์ ตรงนี้คนที่มีกระเป๋าโหลดใต้เครื่องหลังจากที่ check-in และผ่านขึ้นตอนตรวจคนเข้าเมืองขาออกเรียบร้อยแล้วต้องไปชี้กระเป๋าเพื่อยืนยันก่อนที่เขาจะโหลดกระเป๋าเราสู่ใต้เครื่องด้วยนะครับ ถึง เดลีประมาณช่วงสายๆ จากนั้นก็รอต่อเครื่องกลับไทย ไฟลท์ AI332 เวลาประมาณบ่ายโมง ตรงนี้ต้องไปรับสัมภาระที่โหลดไว้แล้วก็ขึ้นไป check-in และโหลดกระเป๋าใหม่นะครับ (สนามบินอินเดียค่อนข้างเคร่งมาก คนที่ไม่เดินทางไม่ม่สิทธิ์เข้าไปในอาคารผู้โดยสารนะครับ)

ปล. Flight Attendant ของสายการบินนี้ดูแข็งแรงและปกป้องเราได้แน่ๆ และอาหารบนเครื่องอร่อยที่สุดแล้วในเมืองแขก

3. ที่พักและการเดินทางใน Ladakh เราพักที่ Siala guesthouse และให้ที่พักจัดการเรื่องรถและคนขับรถให้เลย ไม่ต้องออกไปเดินหาในเมืองอีก

4. อาหารการกิน สำหรับคนที่กินยากเราแนะนำเลยว่าให้พกมาม่ากระป๋องไปเลย จะช่วยคุณได้เยอะมาก เพราะเราแทบเอาตัวไม่รอดเช่นกัน อาหารจะจืดชืดและมันมาก เนื้อสัตว์ก็มีค่อนข้างมีกลิ่น ถ้าคนที่กินยากก็ต้องเตรียมตัวหน่อยนะครับ

5. Visa ไปอินเดียต้องขอวีซ่านะครับ รายละเอียดตามกระทู้นี้ไปเลยครับ อัพเดตสุด (ขออนุญาตคุณเจ้าของกระทู้ด้วยครับ) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

6. ค่าใช้จ่าย เราจะแยกรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้นะครับ
- ตั๋วเครื่องบิน  13,480
- ค่าที่พักและเช่ารถตลอดทริป  ประมาณ 2x,xxx (เราไปกัน 4 คนหารกันแล้วเหลือประมาณ 5,xxx)
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เราแลกเงินไปประมาณ 8,000 บาท ซึ่งเหลือ เพราะแทบจะไม่ได้ใช้จ่ายอะไรเลย มาหมดตอนที่ซื้อ Himalaya ที่สนามบิน

*

เมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้วก็ไปพบกับเรื่องราวระหว่างทางได้เลยครับ

ที่เรียกว่าระหว่างทางเพราะรูปในกระทู้นี้แทบจะทั้งหมดมาจากวิวระหว่างทางแทบทั้งสิ้น ทริปนี้เราออกนอกเมืองเลห์ สองครั้ง นั่นคือ Pangong Tso และ Nubra Vally และที่สำคัญนะครับการเดินทางไปสองที่นี้ต้องขอ Permit พิเศษ มีแค่วีซ่าอินเดียครับไม่ได้นะครับ ซึ่งเรื่องนี้เจ้าของเกสต์เฮาส์ก็จัดการตามระเบียบ ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลยครับ

*

“slow, is good for you”


พึงจำประโยคนี้ให้ขึ้นใจตลอดการเดินทางที่ลาดัคห์นะครับ ไม่งั้นเราจะพลาดอะไรไปหลายอย่างมาก

*

วิวจาก flight AI 445

*


ทันทีที่เดินทางถึง Kushok Bakula Rimpochee Airport (IXL) พี่ทหารก็จะมาตอนรับเราทันที น่าอบอุ่นใจมาก

*

*

*

หลังจากที่เข้าที่พักเรียบร้อยวันแรกเรานอนทั้งวันเพราะอาการ high altitude sickness ตอนที่ตื่นมาครั้งแรกเรารู้สึกว่าเราไหว เลยจะออกไป city tour กับพี่ๆ แต่แล้วอาจเป็นเพราะเรารีบเดินลงมาจากที่พักทำให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก ป้าเจ้าของเกสเฮาส์เลยบอกกับเราว่า ที่เมืองเลห์เนี่ยควรจำประโยค "slow, is good for you" ไว้ให้ดี อารมณ์ว่าอย่าถึงซ่านะหนู เดี๊ยวอาการจะกำเริบอีก

*

หลังจากที่ได้พักหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ พี่ๆ ร่วมทริปได้จัดการเรื่องเอกสารให้เราเรียบร้อย และพร้อมเดินทางไป ทะเลสาบ Pangong Tso กัน

*

*

*


*

กว่าจะเดินทางมาถึงทะเลสาบ Pangong Tso นั้นยอมรับเลยครับว่าเป็นทางที่โหดมากและสวยมากเช่นกัน เราแทบจะไม่ได้เผลอหลับเลยทีเดียว เพราะวิวสองข้างทางจะเปลี่ยนไปเรื่อยตามความโค้งของถนนที่ลัดเลาะภูเขาไป และในที่สุดเราก็ถึงจุดหมาย

*


*

ตัวทะเลสาบนั้นมีลักษณะแคบและยาว ทำให้กินพื้นที่ทั้งในจีนและอินเดีย แต่ไม่แน่ใจว่าในจีนเรียกด้วยชื่อเดียวกันหรือเปล่า สำหรับฝั่งอินเดีย เรามาได้ไกลสุดเพียงเท่านี้

*

*


และคืนที่พักที่ Pangong Tso นั้นมีความพิเศษ เพราะเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง เราดีใจมากที่ได้เห็นพระจันทร์ดวงโตขนาดนั้นจนลืมความหนาว กับ ประโยคเด็ดของป้า ทำให้ตอนเวลาอาหารค่ำอาการเวียนหัวและพยุงตัวไม่ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง บวกกับอาหารที่ไม่ถูกปากเราเอาเสียเลย แต่ต้องร่วมทานเพื่อรักษามารยาท จนในที่สุดเราก็ทนไม่ไหวขอตัวเข้านอนก่อน และทันทีที่ลุกขึ้นเราก็ร่วงลงไปกันพื้นเลยครับ ตอนนั้นความรู้สึกคือไม่กลัวเลอะแล้วฉันจะนอน พี่ๆ เลยช่วยกันประคองออกมา เราเหมือนจะพยุงตัวเองได้นึดนึง แต่ทันทีที่ออกมาจากกระโจมและโดนลมหนาวปะทะหน้าคราวนี้เราร่วงลงไปเลยครับเห็นดาวจริงๆ (ท้องฟ้ายังคงสวยมาก) เราได้ยินทุกคนพยายามเรียกเรา และพี่ร่วมทริปก็เริ่มเป็นกังวลแล้ว (ถึงตอนนี้ยังรู้สึกผิดมากที่ทำให้กังวลนะครับ) สรุปคือคืนนั้นลูกชายของคนขับรถวิ่งไปตามหมอและเอาออกซิเจนกระป๋องมาให้ และย้ายเราไปนอนให้ออกซิเจนต่อที่ศูนย์พยาบาลของทะเลสาบ ไม่งั้นคงไม่ได้กลับมานั่งเล่าแบบนี้แน่ๆ

*


*

*

*

*

*


*

หลังจากกลับมาก Pangong Tso ยอมรับเลยครับว่าเราอ่วมมากและก็ไม่ค่อยตื่นเต้นกับวิวเขาใดๆ แล้ว บวกกับอาการคิดถึงบ้านด้วย (น่าแปลกมากเพราะไปญี่ปุ่นเป็นอาทิตย์ไม่เคยบ่น ฮ่าๆ) เราพักกันที่ในเมืองเลห์หนึ่งคืนก่อนจะออกเดินทางไป Nubra Valley ในเช้าวันรุ่งขึ้น

วิวระหว่างทางไป Nubra Valley ค่อนข้างหลากหลายกว่าทางไป Pangong Tso นะครับ มีทั้งแม่น้ำทะเลทราย และ ภูเขา ที่สำคัญเราเจอหิมะแรก (ในชีวิต) ที่นี่ด้วยครับ และที่ถือว่าสำคัญอีกอย่างก็คือ ระหว่างทางเราจะต้องผ่านถนนที่ติดอันดับถนนที่สูงที่สุดในโลกด้วยนะครับ นั่นก็คือ Khadungla Pass นั่นเอง

*

*

*

*

ตอนขาไปนั้นอากาศไม่เอื้ออำนวยเลยครับแต่ก็ถือว่าโชคดีที่เจอหิมะบนยอด Khadungla เลยทำให้ไม่เสียเที่ยวเท่าไหร่ ระหว่างทางไปก็จะเห็นลมที่พัดเอาทรายจากทะเลทรายขึ้นวนไป ดูน่ากลัวมากครับ แต่พอเลยช่วงเช้ามา ช่วงบ่ายบรรยากาศก็ดีขึ้นครับ เริ่มมีแสงแดดขึ้นมา

*


*


*

*

สุดท้าย

สิ่งที่อยากจะฝากสำหรับคนที่ไปเลห์นะครับ

- ผู้คนที่นั่นน่ารัก ไม่เหมือนแขกอินเดียที่ทุกคนคิดนะครับ

- คนที่จะไปที่นี่นอกจากจะต้องเตรียมจิตใจให้พร้อมแล้วก็ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมด้วยนะ

- ถ้าหากเป็นคนกินยากควรพกของกินไปจากบ้านด้วย

- “Slow,is good for you” จำประโยคนี้ให้ขึ้นใจครับ

- รูปทั้งหมดมาจาก Ricoh GR ยกเว้นรูปสุดท้ายที่มาจาก Contax T2

- หากพี่ๆ ที่ร่วมทริปได้อ่านก็ขอขอบคุณพี่ๆ มากนะครับที่ช่วยให้อีกหนึ่งความฝันของน้องเป็นจริง ^^

และสุดท้าย เที่ยวให้สนุกนะครับ อย่าลืมว่าเที่ยวยังไงก็ได้ให้ถูกใจเราที่สุด ไม่ต้องยึดตามคนอื่นว่าให้มากครับ หากตรงไหนที่ร่างกายไม่ไหวก็หยุดพักไม่ควรฝืน หากมีเหตุขัดข้องด้วยเหตุการณ์ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนก็ลองปรับและหาทางออกที่ดีที่สุดนะครับ โชคดีครับ

*

ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาถึงตอนนี้

*


*


*

ขอลาไปด้วยรูปของลูกชายคนขับรถที่ช่วยชีวิตเราไว้นะครับ

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่