บันทึกสั้น : เรื่องประหลาดของแฟรงก์และซาวาดอร์ (FRANK AND SALVADOR)



1
ผู้มาเยือน


แฟรงก์กำลังยืนอยู่บนระเบียงห้องสมุด

    เด็กหนุ่มมองปลายรองเท้าหนังของตนที่ตัดกับพื้นหินอ่อน ก่อนจะเหลือบมองไปยังหอนาฬิกาที่อยู่ตั้งตระหง่านอยู่ภายนอก มองเผินๆแล้ว มันดูเก่าแก่มากกว่าตัวอาคารหลักที่อยู่เบื้องหลังมันเสียด้วยซ้ำ

มันเป็นเวลานานแล้ว ที่เขายืนอยู่ตรงนี้ -- อาจจะหนึ่งชั่วโมง หรือสองชั่วโมง -- ที่เขายืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนคนสติไม่เต็ม

    แฟรงก์ถอนหายใจ -- หรือเขาจะสติไม่เต็มจริงๆ

    จะมีเด็กหนุ่มในวัยเดียวกันกับเขาสักกี่คนที่เลือกหมกตัวอยู่ในห้องสมุดเก่าแก่ของโรงเรียนมากกว่าไปเล่นกีฬากับคนอื่นในสนาม หรือออกไปสังสรรค์กันที่ร้านไอศกรีมตรงหัวมุมถนน -- และมันไม่ใช่เพียงสองสามเดือน -- แต่เป็นตลอดชีวิตสิบแปดปีของเขา บางทีปัญหาอาจจะมาจากตัวของเขาเอง ที่ทำให้คนอื่นเข้าถึงยาก

    ไม่จริงเสียหน่อย -- อีกเสียงหนึ่งค้านขึ้นมา -- เรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เขาเป็น  มันเกิดขึ้นเพราะเหตุผล อื่น ต่างหาก

    เสียงประตูเปิดออก

แฟรงก์มองลงไปยังโถงอาคารชั้นล่าง -- หากแต่ประตูใหญ่ด้านหน้าก็ยังคงปิดสนิท ไม่มีร่างของผู้คนปรากฎตรงนั้น -- สายตาของเขาเหลือบมองลงไปยังโต๊ะอันว่างเปล่าของชั้นล่าง -- มันไม่มีใครเลย นอกจากมิสซิสโดเบรย์ บรรณารักษ์ของห้องสมุด ที่กำลังผล็อยหลับคาเก้าอี้ตนเอง

    ในตอนนั้นเองที่แฟรงก์ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาตามบันไดหินอ่อน

    เขาเหลียวหันไปมองตามเสียง -- ใครบางคนกำลังขึ้นบันไดมายังระเบียงชั้นสองแห่งนี้ -- เสียงฝีเท้านั้นดังขึ้นทุกที -- จนกระทั่งในที่สุด ร่างๆหนึ่งก็ปรากฎขึ้นตรงปลายบันได

    เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง สวมสูทสีดำเนื้อดี และมีไม้เท้าหัวเพชรในมือข้างหนึ่ง ทั่วทั้งใบหน้าของเขาดูซีดมากกว่าจะขาว -- ซีดจนแทบจะสะท้อนแสงได้ในความมืดสลัวบนชั้นระเบียงแห่งนี้ -- ชายคนนั้นเหลือบมองมายังแฟรงก์ด้วยดวงตาสีเขียวเข้ม รอยยิ้มอันแปลกพิกลปรากฎขึ้นที่มุมปาก

    “สวัสดี” ชายคนนั้นเอ่ยทัก “ขอนั่งด้วยคนได้ไหม”

    แฟรงก์เกือบจะปฎิเสธอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกบางอย่างที่กำลังตะโกนออกมาจากส่วนลึกในใจ

    “เชิญครับ”

    แต่ทว่าชายคนนั้นไม่ได้นั่งลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองกระดาษ และหมึกปากกาของแฟรงก์  เขาทำเพียงยืนมองไปตามชั้นหนังสือ

    “หนังสือพวกนี้เก่าแก่มาก” เขาว่า

    “ครับ บางเล่มเก่าพอๆกับห้องสมุดแห่งนี้ทีเดียว -- มันมีมานานแล้ว -- นานกว่าตัวโรงเรียนเสียอีก”

    “ใช่” ชายคนนั้นพยักหน้า “มันฟังดูแปลก ที่โรงเรียนแห่งนี้ก่อตั้งตามหลังห้องสมุดถึงสี่สิบปี แต่มันก็ไม่ได้ผิดอะไร ถ้าจะว่ากันตามความจริงแล้ว”

    แฟรงก์พบว่าตนเองไม่มีความเห็นแก่เรื่องนี้

    ยิ่งไม่เข้าไปกว่าเดิม เมื่อพบว่าชายตรงหน้า มีอะไรบางอย่างที่เขาคุ้นเคยเสียเหลือเกิน

    เรือนผมสีดำสนิท ดวงตาสีเขียว ไม้เท้าหัวเพชร และบุคลิกท่าทางทั้งหมด มันทำให้เขานึกถึงอะไรบางอย่าง --

    “ทำไมถึงมาอยู่บนนี้คนเดียวล่ะ” เสียงทุ้มลึกเอ่ยถาม

    แฟรงก์นิ่งหาคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง “ผมมาทำธุระอะไรนิดหน่อย --”

    “นิดหน่อยหรือ” อีกฝ่ายทวนคำตอบ พร้อมกับปลายตามองไปทางโต๊ะ “ขอประทานโทษด้วยเถอะพ่อหนุ่ม ถ้าหากฉันพูดอะไรให้รู้สึกเหมือนเธอกำลังถูกล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัว แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเข้ามาในห้องสมุดแห่งนี้  เธอเข้ามาที่นี่ทุกวัน กางกระดาษลงบนโต๊ะ เปิดขวดน้ำหมึก และอ่าน เขียน อ่าน เขียน แล้วก็อ่าน เขียน -- เธอทำอย่างนั้นอยู่ทุกวัน เหมือนกับมันเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งของเธอไปแล้ว -- เว้นเสียแต่มันเป็นวันที่เธอติดธุระอะไรบางอย่างข้างนอกจริงๆ --”

    แฟรงก์มองอีกฝ่ายนิ่ง  

    “คุณรู้ได้อย่างไร”

    “ฉันเห็นเธออยู่ตลอดเวลา”

    “คุณตามดูผมหรือ”

    คำถามนั่นทำให้ชายแปลกหน้าหัวเราะออกมา

    “เปล่าเลย -- แฟรงก์--”  เขาเรียกชื่ออย่างช้าๆ “เธอต่างหาก ที่ตามดูฉันอยู่ตลอดเวลา”

    มันเป็นประโยคราบเรียบที่ทำให้แฟรงก์ถึงกับหยุดหายใจ -- ความเงียบอันน่าพิศวงเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งร่างของเขา -- ดวงตาของแฟรงก์เบิกกว้างเล็กน้อย ริมฝีปากเผยอขึ้น พร้อมกับส่งเสียงตะกุกตะกักออกมา

    “เป็นไปไม่ได้--” แฟรงก์กระซิบ สัณชาตญาณทำให้เขามองไปยังกองหนังสือบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว แล้วเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฎตรงสันหนังสือแล้ว เขาถึงอึ้งตะลึง  “คุณคือ--ซาวาดอร์ เอ.จูเนียร์--นักเขียนผู้มีชื่อเสียงที่สุดในยุค --”

แฟรงก์มองดูชายตรงหน้า -- ความทรงจำบางอย่างฉายเข้ามาในความคิดของเขาเป็นฉากๆ

“--ในยุค 60 --”

เป็นไปไม่ได้ ซาวาดอร์ เอ.จูเนียร์ ในตำนาน กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา -- ซาวาดอร์ เอ.จูเนียร์ ที่เขาชื่นชมเทิดทูนผลงานมาตั้งแต่จำความได้ -- เจ้าของหนังสือที่เขาตามอ่านทุกเล่ม และผู้แต่งทุกความนัยน์ในประโยคที่เขาพยายามทำความเข้าใจครั้งแล้วครั้งเล่าในแต่ละหน้า --

แต่ --

“ฉันตายไปแล้ว” อีกฝ่ายยอมรับ ราวกับอ่านความคิดของเด็กหนุ่มได้ “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะสูญหายไป จริงไหม”

แฟรงก์พยักหน้า

ในสมองไม่ได้เข้าใจหรือรับรู้ถึงความเป็นจริงใดๆทั้งสิ้น -- แต่ใช่ -- เขากำลังพยักหน้า

ซาวาดอร์ เอ.จูเนียร์ หยิบกองกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา กวาดตามองไปทั่ว พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า

“เธอทำงานหนักมานาน” เขาพูดขณะไล่ดูกระดาษทีละแผ่น บางแผ่นถูกขีดทิ้งแล้วเริ่มต้นเขียนใหม่ บางแผ่นเขียนเค้าโครงเรื่อง ก่อนจะถูกขีดทิ้งอีกเช่นเดียวกัน “นายไม่ยอมปล่อยให้เรื่องที่เขียนมีจุดบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง ตัวละครที่เดินเรื่อง หรือความหมายที่จะสื่อ -- ฉันเห็นนายแก้ไขครั้งแล้วครั้งเล่า ปรับปรุงมันอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า -- เป็นปีๆ”

แฟรงก์พยักหน้าอีกครั้ง ในใจหวนนึกไปถึงความพยายามที่ผ่านมา

ซาวาดอร์วางกระดาษแผ่นหนึ่งลง แล้วพูดต่อว่า

“มีหลายสิ่งที่ฉันรับได้ในฐานะนักเขียน -- หนึ่งในนั้นคือความจริงที่ว่า ไม่ว่าฉันจะทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากเพียงใดในแต่ละหน้ากระดาษ ในแต่ละผลงาน ในแต่ละคืนที่อดหลับอดนอน และในแต่ละคืนที่ต้องมีปากเสียงกับภรรยาเพราะโหมงานหนัก -- สุดท้ายแล้วนั้น ความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ความเหนื่อยยากของฉัน -- ไม่มีใครเห็นว่าฉันต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ในตลอดการสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาจากสมอง -- เพราะเมื่อพ้นออกจากโลกใบนั้นแล้ว มันคือโลกภายนอกแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ไม่มีนักอ่านคนไหนจะยอมรับผลงานของนักเขียนคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลเรียบง่ายว่าเขาเหนื่อยยากลำบากปางตายกว่าจะมีหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เปล่าเลย -- พวกเราจะได้รับการยอมรับได้ ก็ต่อเมื่อความนัยน์ที่เราต้องการสื่อนั้น สามารถส่งผ่านไปถึงพวกเขาได้สำเร็จ --
แต่นั่นเป็นสิ่งที่ฉันยอมรับได้ เพราะนักอ่านที่ทรงคุณค่านั้น ย่อมคู่ควรกับผลงานที่จริงใจและซื่อตรงตามความรู้สึก ไม่ว่ามันจะเป็นความเบิกบานหรือความทุกข์ก็ตามที -- ฉันยอมรับมันได้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว ผลงานของฉันจะคู่ควรแก่พวกเขาหรือไม่”  

เขาหยุดนิ่งไปเล็กน้อย ใบหน้าดูเหมือนมีเงามืดปรากฎขึ้นในพริบตา

“แต่มีบางอย่างที่ฉันรับไม่ได้ -- รับไม่ได้ชนิดที่ว่ารู้สึกสะอิดสะเอียนเหมือนกำลังมองซากศพแมลง -- หนึ่งในนั้นคือการที่มองเห็นผลงานของคนอื่นปรากฎอยู่ในผลงานของฉัน -- บนคำพูดของฉัน -- บนอารมณ์ความรู้สึกของฉัน  สำหรับฉันแล้ว มันไม่ได้เป็นแค่การดูหมิ่น แต่มันเป็นทั้งการทำลายและการเหยียดหยามศักดิ์ศรีของฉัน -- และแฟรงก์ มันคือทั้งหมดที่นายได้ทำลงไป”

แฟรงก์มองไปยังกระดาษที่อยู่ในมือของซาวาดอร์ ก่อนจะสบตาอีกฝ่าย

ซาวาดอร์ในเวลานี้ดูน่ากลัวเหมือนเงามืดที่คืบคลานออกมาจากส่วนลึกของห้องสมุดอันเก่าแก่ -- เป็นเงามืดที่เย็นยะเยือกน่าเกรงขาม -- มันไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนปิศาจที่พร้อมทำลายทุกสิ่งรอบกาย แต่แฟรงก์ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่พร้อมจะกระแทกร่างเขาได้ทุกเมื่อ

แต่แล้วเงามืดนั้นก็หายวับไปจากดวงตาของซาวาดอร์

เขายิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับโยนกองกระดาษลงไปจากระเบียง ปล่อยให้มันปลิวว่อนเหมือนนกไปทั่วทั้งโถงอาคาร

แฟรงก์วิ่งมาเกาะขอบระเบียง มองดูกระดาษที่ปลิวร่วงหล่นไปทีละแผ่น -- มิสซิสโดเบรยด์ยังคงหลับสนิท -- เขาสูดลมหายใจเข้าลึก หมุนตัวมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

“ผมขอโทษ” เขากระซิบบอก น้ำเสียงเหมือนเด็กที่กำลังสารภาพบาป “ผมไม่ได้ตั้งใจ -- ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ -- ที่จะเขียนงานลอกเลียนแบบคุณ  ผมชื่นชมคุณมาก ชื่นชมผลงานทุกเรื่องที่เป็นของคุณ มันทำให้ผมอยากจะเป็นอย่างคุณ -- ผมอยากจะเป็นนักเขียนให้ได้เหมือนคุณ -- นั่นคือทั้งหมดที่ผมคิดจริงๆ”
ซาวาดอร์มองอีกฝ่าย ไม่ได้พูดอะไรเมื่อเด็กหนุ่มหลบสายตามองพื้น อึดใจต่อมา เขาก็พูดออกมาว่า “ฉันจะเชื่อเธอ” ซาวาดอร์เลื่อนเก้าอี้ออกมา พร้อมกับนั่งลงอย่างช้าๆ มือทั้งสองวางลงบนหัวไม้เท้า

“ฉันจะเชื่อคำพูดของเธอ ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะลอกเลียนแบบผลงานของฉันไปเป็นของเธอ”

แฟรงก์กลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว

“แต่--” ซาวาดอร์เลื่อนกระดาษที่ว่างเปล่าบนโต๊ะไปทางเด็กหนุ่ม “เธอต้องเขียนเรื่องใหม่ขึ้นมา -- เป็นเรื่องที่เธอต้องใช้ความสามารถจริงๆของเธอ -- เขียนเรื่องที่อยู่ในใจของเธอออกมาให้ได้ ด้วยความคิดอ่านและมันสมองของเธอเอง -- ไม่ได้ผ่านสิ่งที่ฉันคิด หรือสิ่งที่ฉันเห็น  นายไม่มีสิทธิ์จับต้องอะไรในสิ่งที่เป็นของฉันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือความนัยน์ของมัน ไม่แม้แต่ยืมเอาไปเป็นต้นแบบ -- แล้วเมื่อไหร่ที่เธอสามารถสร้างโลกของเธอขึ้นมาได้ เมื่อนั้นโลกของฉันจะยกโทษให้เธอ”

แล้วในเมื่อโลกของซาวาดอร์นั้นสำคัญต่อโลกของแฟรงก์กว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด แฟรงก์จึงนั่งลงบนโต๊ะตัวนั้น จับปลายปากกา จุ่มน้ำหมึก แล้วลงมือเขียนแทบจะในทันที

นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่หัวสมองของเขาไม่ได้โลดแล่นขนาดนี้ นานเท่าไหร่แล้วที่หูของเขาได้เคยได้ยินเสียงเงียบที่สงบนิ่ง

ช่างมันปะไร -- แฟรงก์นึก -- ในเมื่อเขาพบมันทั้งสองในตอนนี้ ณ ขณะนี้แล้ว

-- ในตอนเดียวกันกับที่ซาวาดอร์กำลังนั่งมองเขาเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มแรกในชีวิต
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่