ท่านที่เคารพรักครับ ความทรงจำชั่ววูบในตอนที่คุณพบคนแปลกหน้าซักคน แต่คุณกลับรู้สึกเหมือนคุณรู้จักเขามาทั้งชีวิต
หรือรู้สึกเหมือนจดจำสถานที่นั้นได้ แม้ว่าคุณไม่เคยไปที่นั่นเลยซักครั้ง ความรู้สึกนี้คือการสัมผัสด้วยจิตปัจจุบัน
แต่ถ้าจริงๆ แล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดน่าพิศวงนี้ เป็นคำเตือนที่ถูกส่งมาจากอดีต หรือเป็นเงื่อนงำไปสู่อนาคต ที่ยังไม่เกิดขึ้นล่ะ..?
ความรู้สึกนี้ ไม่ว่าเราจะเรียกว่าอย่างไร เดจาวู ชะตากรรม วาสนา วิบากกรรม พรหมลิขิต บุพเพสันนิวาส
หรือแม้แต่เรียกว่า วิถีชีวิต ก็แล้วแต่
แต่มันก็คือโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ เพราะนั่นมันหมายถึงว่า เรากำลัง “ รอ “ อะไรสักอย่าง ที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
ซึ่งข้าพเจ้าเคยเขียนเอาไว้แล้วว่า โศกนาฏกรรม อย่างหนึ่งของ มนุษยชาติ นั่นคือ นอกจากเรามี " รัก " แล้ว มนุษย์ยัง มี " ร้าง "
แต่ที่หนักกว่านั้น ก็คือ ระหว่างที่จดๆจ้องๆ ว่าจะรักๆ หรือ ว่าจะร้างนั้น
โศกนาฏกรรม ของมนุษย์คือ ยังมี " รอ "
ซึ่งใครบางคน อาจจะเคยรอ ใครบางคน ให้เรียน จบ ซึ่งใครบางคน อาจจะเคยรอใครบางคน ด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้า
ที่ยกมาบอกว่า " รอเราหน่อยนะ ...."
แต่สุดท้าย ก็เลิกรอ.....
จริงอยู่ที่ว่า ชะตากรรมของมนุษย์นั้น น้อยคนนักที่จะปฏิเสธได้ หนึ่งในนั้นก็คือ การพบ และ พราก
การพลัดพราก จากกันนั้นเป็นความทุกข์ยิ่งนัก แต่ยังมีความทุกข์เทวษอย่างหนึ่ง ซึ่งทุกข์หนักยิ่งขึ้นไปอีก
นั่นคือความทุกข์ที่ต้องพลัดพราก จากคนที่เรารัก โดยที่ไม่ทันได้เอ่ยแม้แต่คำร่ำลา ต่อกัน
ชีวิตคนเรานั้น ต่างก็เหมือนเม็ดทรายมากมายตามชายหาด ที่รอคลื่นแห่งชีวิตถาโถม โหมสาดซัดมา พัดพาเราทั้งหลาย
ให้แยกย้ายกระจัดกระจายกันไป
แยกย้ายไปตามชะตากรรมของแต่ละคน หรือไปตามยถากรรม ของแต่ละคน และหากมีวาสนา คนเราต้องได้กลับมาพบกันอีก
ที่ผ่านมา มีหนังมีละคร มีชีวิตจริงมากมาย ที่ทำให้เราเห็นถึงสัจธรรมข้อนี้ แม้รู้ทั้งรู้ว่า พบเพื่อพราก แต่ก็ยังอยากจะพบกันอีก
สำหรับคนต่อคนแล้ว ระหว่างหมอนไม้ของชายชาลา ระหว่าง รูปถ่ายเก่าๆสักใบ หรือใบคว่ำตาย หงายเป็น ที่สอดไว้ในหนังสือสักเล่ม
หรือแม้แต่ กลีบกุหลาบกรอบแห้ง ที่เก็บไว้หลายปี
กลีบกุหลาบยังอยู่ แต่คนเล่า ?
ซึ่งหากพูดตามสำนวนกำลังภายในของท่านโกวเล้งก็ต้องพูดว่า
หากมีวาสนายังไงก็ต้องได้พบพาน แต่หากสิ้นไร้ซึ่งวาสนาแล้ว เหยียบย่ำตามหาจนรองเท้าสึก ก็ไม่มีวันพบเจอ
ทานที่เคารพรักครับ เคยมีสุภาษิตจีน บทหนึ่งพูดเอาไว้ว่า น้อยนักที่คนเราจะคบกัน จนผมขาว
แต่ข้าพเจ้าแย้งว่า นั่นเป็นเรื่องของกาลเวลา การคบหาที่จริงใจ ต่างหากเล่า ที่ยิ่งใหญ่
แม้จะเพียงเจอกัน รู้จักกัน ด้วยช่วงเวลาเพียงสั้นๆ แล้วต้องจากกัน ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง และความจำเป็นทางสังคม
ระหว่างคนต่อคนแล้ว คนเราจะจดจำกันไปได้นานสักเพียงใด นานสักเท่าไหร่กันนะ
หนึ่งปี สองปี สามปี สี่ปี ห้าปี หรือเป็นสิบๆปี
แต่บ่อยครั้ง ที่เพียงวันสองวัน คนเราก็ " ลืม " กันไปหมดแล้ว อะไรนะ ที่ทำให้คนเรา ต่าง ลืมกันไปได้ง่ายดายเช่นนี้
................................
ข้าพเจ้าจบบทความนี้ เมื่อสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ได้ทักมา ในวิกาลของคืนหนึ่ง หลังจากที่ข้าพเจ้าพึ่งตากผ้าเสร็จ
เมื่อสามสี่วันก่อนว่า ให้ข้าพเจ้าเขียนบทกลอนให้หน่อย เพราะเธอจะนำไปประกอบเนื้อหาให้กำลังใจท่านคุณหมอเลี๊ยบ
ซึ่งพอผ่านมา ข้าพเจ้าก็ส่งบทกลอนไปให้เธอ ตามที่รับปากไว้ และเช้าของวันนี้เธอก็ส่งคลิปวิดีโอ มาให้ข้าพเจ้าดู
เมื่อดูภาพเคลื่อนไหว และเสียงเพลงประกอบ อันเป็นบทเพลง " แสงดาว แห่งศรัทธา "
ก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่ลำคอ มันเต็มตื้นไปหมด
ข้าพเจ้า เขียนบทกลอนนั้นว่า
" สืบวงศ์ลี "
สืบตำนานกันมา อย่างกล้าหาญ
ปณิธานสานต่อ ตามวิถี
เพื่อประชา ธิปไตย ไทยต้องมี
สืบคุณงามความดี เพื่อแผ่นดิน
แม้ป่าเขาลำเนาไพร ก็เคยผ่าน
อุทิศตนเพื่อบ้าน เมืองทั้งสิ้น
ใช่มุ่งหวังอำนาจมา เพื่อหากิน
อดอยากตามท้องถิ่น เพื่อทำงาน
เราไม่ได้พลัดพราก จากไปไหน
กำแพงอิฐแม้ใหญ่ โตไพศาล
แต่ใช่จะคุมขังอุดมการณ์
สืบตำนาน สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
..............................................
ขอน้อมคารวะ ทุกๆท่านครับ
อาร์ต
ขุนเขาแห่ง จิตวิญญาณ
หรือรู้สึกเหมือนจดจำสถานที่นั้นได้ แม้ว่าคุณไม่เคยไปที่นั่นเลยซักครั้ง ความรู้สึกนี้คือการสัมผัสด้วยจิตปัจจุบัน
แต่ถ้าจริงๆ แล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดน่าพิศวงนี้ เป็นคำเตือนที่ถูกส่งมาจากอดีต หรือเป็นเงื่อนงำไปสู่อนาคต ที่ยังไม่เกิดขึ้นล่ะ..?
ความรู้สึกนี้ ไม่ว่าเราจะเรียกว่าอย่างไร เดจาวู ชะตากรรม วาสนา วิบากกรรม พรหมลิขิต บุพเพสันนิวาส
หรือแม้แต่เรียกว่า วิถีชีวิต ก็แล้วแต่
แต่มันก็คือโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ เพราะนั่นมันหมายถึงว่า เรากำลัง “ รอ “ อะไรสักอย่าง ที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
ซึ่งข้าพเจ้าเคยเขียนเอาไว้แล้วว่า โศกนาฏกรรม อย่างหนึ่งของ มนุษยชาติ นั่นคือ นอกจากเรามี " รัก " แล้ว มนุษย์ยัง มี " ร้าง "
แต่ที่หนักกว่านั้น ก็คือ ระหว่างที่จดๆจ้องๆ ว่าจะรักๆ หรือ ว่าจะร้างนั้น
โศกนาฏกรรม ของมนุษย์คือ ยังมี " รอ "
ซึ่งใครบางคน อาจจะเคยรอ ใครบางคน ให้เรียน จบ ซึ่งใครบางคน อาจจะเคยรอใครบางคน ด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้า
ที่ยกมาบอกว่า " รอเราหน่อยนะ ...."
แต่สุดท้าย ก็เลิกรอ.....
จริงอยู่ที่ว่า ชะตากรรมของมนุษย์นั้น น้อยคนนักที่จะปฏิเสธได้ หนึ่งในนั้นก็คือ การพบ และ พราก
การพลัดพราก จากกันนั้นเป็นความทุกข์ยิ่งนัก แต่ยังมีความทุกข์เทวษอย่างหนึ่ง ซึ่งทุกข์หนักยิ่งขึ้นไปอีก
นั่นคือความทุกข์ที่ต้องพลัดพราก จากคนที่เรารัก โดยที่ไม่ทันได้เอ่ยแม้แต่คำร่ำลา ต่อกัน
ชีวิตคนเรานั้น ต่างก็เหมือนเม็ดทรายมากมายตามชายหาด ที่รอคลื่นแห่งชีวิตถาโถม โหมสาดซัดมา พัดพาเราทั้งหลาย
ให้แยกย้ายกระจัดกระจายกันไป
แยกย้ายไปตามชะตากรรมของแต่ละคน หรือไปตามยถากรรม ของแต่ละคน และหากมีวาสนา คนเราต้องได้กลับมาพบกันอีก
ที่ผ่านมา มีหนังมีละคร มีชีวิตจริงมากมาย ที่ทำให้เราเห็นถึงสัจธรรมข้อนี้ แม้รู้ทั้งรู้ว่า พบเพื่อพราก แต่ก็ยังอยากจะพบกันอีก
สำหรับคนต่อคนแล้ว ระหว่างหมอนไม้ของชายชาลา ระหว่าง รูปถ่ายเก่าๆสักใบ หรือใบคว่ำตาย หงายเป็น ที่สอดไว้ในหนังสือสักเล่ม
หรือแม้แต่ กลีบกุหลาบกรอบแห้ง ที่เก็บไว้หลายปี
กลีบกุหลาบยังอยู่ แต่คนเล่า ?
ซึ่งหากพูดตามสำนวนกำลังภายในของท่านโกวเล้งก็ต้องพูดว่า
หากมีวาสนายังไงก็ต้องได้พบพาน แต่หากสิ้นไร้ซึ่งวาสนาแล้ว เหยียบย่ำตามหาจนรองเท้าสึก ก็ไม่มีวันพบเจอ
ทานที่เคารพรักครับ เคยมีสุภาษิตจีน บทหนึ่งพูดเอาไว้ว่า น้อยนักที่คนเราจะคบกัน จนผมขาว
แต่ข้าพเจ้าแย้งว่า นั่นเป็นเรื่องของกาลเวลา การคบหาที่จริงใจ ต่างหากเล่า ที่ยิ่งใหญ่
แม้จะเพียงเจอกัน รู้จักกัน ด้วยช่วงเวลาเพียงสั้นๆ แล้วต้องจากกัน ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง และความจำเป็นทางสังคม
ระหว่างคนต่อคนแล้ว คนเราจะจดจำกันไปได้นานสักเพียงใด นานสักเท่าไหร่กันนะ
หนึ่งปี สองปี สามปี สี่ปี ห้าปี หรือเป็นสิบๆปี
แต่บ่อยครั้ง ที่เพียงวันสองวัน คนเราก็ " ลืม " กันไปหมดแล้ว อะไรนะ ที่ทำให้คนเรา ต่าง ลืมกันไปได้ง่ายดายเช่นนี้
................................
ข้าพเจ้าจบบทความนี้ เมื่อสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ได้ทักมา ในวิกาลของคืนหนึ่ง หลังจากที่ข้าพเจ้าพึ่งตากผ้าเสร็จ
เมื่อสามสี่วันก่อนว่า ให้ข้าพเจ้าเขียนบทกลอนให้หน่อย เพราะเธอจะนำไปประกอบเนื้อหาให้กำลังใจท่านคุณหมอเลี๊ยบ
ซึ่งพอผ่านมา ข้าพเจ้าก็ส่งบทกลอนไปให้เธอ ตามที่รับปากไว้ และเช้าของวันนี้เธอก็ส่งคลิปวิดีโอ มาให้ข้าพเจ้าดู
เมื่อดูภาพเคลื่อนไหว และเสียงเพลงประกอบ อันเป็นบทเพลง " แสงดาว แห่งศรัทธา "
ก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่ลำคอ มันเต็มตื้นไปหมด
ข้าพเจ้า เขียนบทกลอนนั้นว่า
" สืบวงศ์ลี "
สืบตำนานกันมา อย่างกล้าหาญ
ปณิธานสานต่อ ตามวิถี
เพื่อประชา ธิปไตย ไทยต้องมี
สืบคุณงามความดี เพื่อแผ่นดิน
แม้ป่าเขาลำเนาไพร ก็เคยผ่าน
อุทิศตนเพื่อบ้าน เมืองทั้งสิ้น
ใช่มุ่งหวังอำนาจมา เพื่อหากิน
อดอยากตามท้องถิ่น เพื่อทำงาน
เราไม่ได้พลัดพราก จากไปไหน
กำแพงอิฐแม้ใหญ่ โตไพศาล
แต่ใช่จะคุมขังอุดมการณ์
สืบตำนาน สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
..............................................
ขอน้อมคารวะ ทุกๆท่านครับ
อาร์ต