จากกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/35533229 ที่ชื่อกระทู้ว่า "ถามเพื่อนๆที่เป็นเด็กบ้านนอกหรือยากจน ครั้งแรกที่คุณสัมผัสกับคำว่า "หรูหรา" มันคือเหตุการณ์ใด"
จขกท.ก็ไปตอบมาด้วย โดยสิ่งที่ทำให้ จขกท. สัมผัสกับคำว่าหรูหรา มีอยู่สองอย่าง คือการได้ไปเรียนเทนนิส (ลูกพี่ลูกน้องชวนไป) ตอนนั้นเป็นช่วงที่คุณบอล ภราดร ศรีชาพันธุ์ กำลังฮอต และกีฬาเทนนิสเป็นที่อยากเล่นมากในหมู่เด็กๆ สำหรับเด็ก ตจว. ตอนนั้นมันดูห่างไกลมาก แต่พอมีคนชวน ได้จับแร็กเก็ต คือมันตื่นเต้นมาก ตีผิดๆถูกๆ (เป็นคนไม่เก่งกีฬามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว) จำได้ตอนเสิร์ฟ S ได้ครั้งแรก ฝนตกเลย 555
อีกอย่างที่ทำให้สัมผัสถึงคำว่าหรูหราคือ "การได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก" ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันการขึ้นเครื่องบินอาจทำได้ง่ายขึ้น ราคาถูกลงกว่าในสมัยก่อนมากแล้ว แต่สำหรับ จขกท. โอกาสเช่นนี้ไม่ได้หาง่ายๆ และถือเป็นเรื่องพิเศษมากๆ
(ต่อไปนี้อาจมีบางส่วนดูโอเวอร์ไปบ้าง แต่ก็นั่นแหละ โอกาสแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของบางสิ่งเลยไม่เหมือนกัน)
กรณีของ จขกท. นั้นได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ก็ไปต่างประเทศเลย ยังไม่เคยนั่งในประเทศ
โดยไปกับอาจารย์และเพื่อนๆ ไปดูงานที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ของประเทศเพื่อนบ้านชาติหนึ่งในอาเซียน
โดยในกรุ๊ปนั้น มี จขกท. กับเพื่อนอีกคน ที่ไม่เคยไปต่างประเทศ แต่ จขกท. เป็นคนเดียวในกรุ๊ปที่ไม่เคยแม้แต่นั่งเครื่องบินเลย (เพื่อนอีกคนเคยนั่งเครื่องบินไปต่างจังหวัดบ่อยๆ)
ความตื่นเต้นมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว สำหรับคนที่ไม่เคยเจออะไรที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน
ของ จขกท. ก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเริ่มตั้งแต่ไปทำพาสปอร์ตเลย โดยวันที่ทราบผลแล้วว่าได้รับคัดเลือกให้ไป ก็ดีใจมาก แต่ว่าหัวใจก็แทบหล่นไปที่ตาตุ่มเมื่ออาจารย์เขาให้เอาสำเนาพาสปอร์ตมาให้ เพราะในกรุ๊ปนั้น จขกท. เป็นคนเดียวที่ยังไม่มีพาสปอร์ต กลัวว่าจะไม่ได้ไป โชคดีที่ยังมีเวลาอยู่บ้าง แต่ไม่กี่วัน สัปดาห์ต่อมา ได้ไปขอพาสปอร์ตที่กรมการกงสุล ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ทำแบบด่วนพิเศษ ได้รับวันนั้นเลย เสียเงินไป 3000 บาท
ตื่นเต้นขนาดที่ว่า คืนก่อนทำพาสปอร์ตไม่นอนเลย กลัวจะตื่นสาย ตอนเช้าโบกแท็กซี่จากมหาวิทยาลัย (อยู่หอใน) ไป แล้วก็ใช้เวลาช่วงที่รอพาสปอร์ตนอนที่นั่นเลย
ดำเนินการเสร็จประมาณ 9 โมง รอจนได้ประมาณบ่าย 3 โมง
วินาทีที่ได้พาสปอร์ตอยู่ในมือ มือมันสั่นระริกเลย บรรจงใส่กระเป๋า ดูแล้วดูอีกว่ากระเป๋าไม่มีรอยขาดตรงไหน เพื่อที่มันจะได้ไม่หล่นกลางทาง กลัวว่ามันจะหาย ทำให้ไม่ได้ไป
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยก็จัดการถ่ายสำเนาส่งเรียบร้อย
ในวันเดินทาง
หนึ่งคืนก่อนเดินทาง ก็เหมือนกับวันทำพาสปอร์ต คือไม่กล้าแม้แต่จะนอน (ไฟลท์ตอนประมาณ 9 - 10 โมงเช้า) กลัวจะตื่นไม่ทัน โดยประมาณ ตีห้า ขึ้นรถแท็กซี่ที่เหมาไว้กับเพื่อน เดินทางจากมหาวิทยาลัยไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนั้นง่วงมากๆ แต่พอไปถึงก็หายง่วงไปได้ 60% เลย เพราะสนามบินใหญ่มาก ใหญ่กว่าที่เคยเห็นในทีวีซะอีก โชคดีที่ไปเป็นกรุ๊ป เลยไม่ได้อะไรมาก ใครทำอะไรก็ทำตามเขาไป สงสัยตรงไหนถาม ซึ่งเพื่อนๆก็ดีมาก ช่วยอธิบายได้ดีตลอดทางทั้งไปและกลับเลย
พอผ่านขั้นตอนเช็คอิน ตรวจกระเป๋าอะไรเสร็จแล้ว ก็มาที่เกท ระหว่างทางก็มีร้านรวงขายอาหารมากมาย แต่ จขกท. ไม่ได้กินอะไรเลย เพราะกลัวว่าจะไปผิดสำแดงบนเครื่อง เดี๋ยวมันจะยุ่ง 555 ก็เลยต้องทนหิวไปตลอด ในใจคิดว่าไม่เป็นไร ครั้งแรกลองไว้ก่อน แล้วต่อไปค่อยทำให้ได้มากขึ้นดีกว่า
เสร็จแล้วก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องบิน ลืมบอกไปว่าเครื่องบินเป็นสายการบินโลว์คอสท์ของต่างประเทศสายการบินหนึ่ง แต่บริการดีมาก เสียอย่างหนึ่งคือภาษาอังกฤษของพี่แอร์พูดเร็วมาก ฟังไม่รู้เรื่องเลย ก่อนเทคออฟเพื่อนให้เคี้ยวหมากฝรั่งกันหูอื้อด้วย
ขาไปไม่เท่าไหร่ สภาพอากาศการเดินทางราบรื่น ไปถึงจุดหมายตอนประมาณบ่ายกว่าๆ ได้ทานมื้อเช้าควบมื้อกลางวันที่นั่น
จากนั้นก็ไม่มีอะไร ไปดูสถานที่ต่างๆของมหาวิทยาลัย และของประเทศนั้น
ได้รู้ว่าภาษาอังกฤษของเราก็ใช้ได้พอสมควร พอเอาตัวรอดได้ ไม่ต้องใช้ภาษามือ
(ด้วยความที่อยากไป ตปท. มากจึงขวนขวายฝึกภาษาอังกฤษไว้ตั้งแต่เด็กๆ ประกอบกับที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนด้วย)
ขากลับมีเรื่องน่าระทึกเกิดขึ้น ทำให้ จขกท. รู้จักคำว่า "หลุมอากาศ" เป็นครั้งแรก ตกใจพอสมควร แต่ก็ไม่เท่าได้ยินเสียงกรี๊ดนิดๆจากพี่ตี๋คนหนึ่ง ซึ่งหล่อมาก (เป็นกรุ๊ปทัวร์คนจีน) คือแบบ.. 555
นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกของ จขกท.
เลยอยากถามความเห็นเพื่อนๆว่า นั่งเครื่องบินครั้งแรกนี่ (ทั้งบินในประเทศและต่างประเทศ) รู้สึกอย่างไรกันบ้าง
ของ จขกท. ที่เล่าให้ฟังนี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวจนปัจจุบันที่ได้นั่งเครื่องบิน เป้าหมายต่อไปคือจะเก็บเงินให้ได้มากๆ และจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวโดยขึ้นเครื่องบินบ้าง
ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน (ทั้งบินในไทย และบินไปต่างประเทศ) ของแต่ละคน เป็นอย่างไรบ้าง
จขกท.ก็ไปตอบมาด้วย โดยสิ่งที่ทำให้ จขกท. สัมผัสกับคำว่าหรูหรา มีอยู่สองอย่าง คือการได้ไปเรียนเทนนิส (ลูกพี่ลูกน้องชวนไป) ตอนนั้นเป็นช่วงที่คุณบอล ภราดร ศรีชาพันธุ์ กำลังฮอต และกีฬาเทนนิสเป็นที่อยากเล่นมากในหมู่เด็กๆ สำหรับเด็ก ตจว. ตอนนั้นมันดูห่างไกลมาก แต่พอมีคนชวน ได้จับแร็กเก็ต คือมันตื่นเต้นมาก ตีผิดๆถูกๆ (เป็นคนไม่เก่งกีฬามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว) จำได้ตอนเสิร์ฟ S ได้ครั้งแรก ฝนตกเลย 555
อีกอย่างที่ทำให้สัมผัสถึงคำว่าหรูหราคือ "การได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก" ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันการขึ้นเครื่องบินอาจทำได้ง่ายขึ้น ราคาถูกลงกว่าในสมัยก่อนมากแล้ว แต่สำหรับ จขกท. โอกาสเช่นนี้ไม่ได้หาง่ายๆ และถือเป็นเรื่องพิเศษมากๆ
(ต่อไปนี้อาจมีบางส่วนดูโอเวอร์ไปบ้าง แต่ก็นั่นแหละ โอกาสแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของบางสิ่งเลยไม่เหมือนกัน)
กรณีของ จขกท. นั้นได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ก็ไปต่างประเทศเลย ยังไม่เคยนั่งในประเทศ
โดยไปกับอาจารย์และเพื่อนๆ ไปดูงานที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ของประเทศเพื่อนบ้านชาติหนึ่งในอาเซียน
โดยในกรุ๊ปนั้น มี จขกท. กับเพื่อนอีกคน ที่ไม่เคยไปต่างประเทศ แต่ จขกท. เป็นคนเดียวในกรุ๊ปที่ไม่เคยแม้แต่นั่งเครื่องบินเลย (เพื่อนอีกคนเคยนั่งเครื่องบินไปต่างจังหวัดบ่อยๆ)
ความตื่นเต้นมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว สำหรับคนที่ไม่เคยเจออะไรที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน
ของ จขกท. ก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเริ่มตั้งแต่ไปทำพาสปอร์ตเลย โดยวันที่ทราบผลแล้วว่าได้รับคัดเลือกให้ไป ก็ดีใจมาก แต่ว่าหัวใจก็แทบหล่นไปที่ตาตุ่มเมื่ออาจารย์เขาให้เอาสำเนาพาสปอร์ตมาให้ เพราะในกรุ๊ปนั้น จขกท. เป็นคนเดียวที่ยังไม่มีพาสปอร์ต กลัวว่าจะไม่ได้ไป โชคดีที่ยังมีเวลาอยู่บ้าง แต่ไม่กี่วัน สัปดาห์ต่อมา ได้ไปขอพาสปอร์ตที่กรมการกงสุล ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ทำแบบด่วนพิเศษ ได้รับวันนั้นเลย เสียเงินไป 3000 บาท
ตื่นเต้นขนาดที่ว่า คืนก่อนทำพาสปอร์ตไม่นอนเลย กลัวจะตื่นสาย ตอนเช้าโบกแท็กซี่จากมหาวิทยาลัย (อยู่หอใน) ไป แล้วก็ใช้เวลาช่วงที่รอพาสปอร์ตนอนที่นั่นเลย
ดำเนินการเสร็จประมาณ 9 โมง รอจนได้ประมาณบ่าย 3 โมง
วินาทีที่ได้พาสปอร์ตอยู่ในมือ มือมันสั่นระริกเลย บรรจงใส่กระเป๋า ดูแล้วดูอีกว่ากระเป๋าไม่มีรอยขาดตรงไหน เพื่อที่มันจะได้ไม่หล่นกลางทาง กลัวว่ามันจะหาย ทำให้ไม่ได้ไป
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยก็จัดการถ่ายสำเนาส่งเรียบร้อย
ในวันเดินทาง
หนึ่งคืนก่อนเดินทาง ก็เหมือนกับวันทำพาสปอร์ต คือไม่กล้าแม้แต่จะนอน (ไฟลท์ตอนประมาณ 9 - 10 โมงเช้า) กลัวจะตื่นไม่ทัน โดยประมาณ ตีห้า ขึ้นรถแท็กซี่ที่เหมาไว้กับเพื่อน เดินทางจากมหาวิทยาลัยไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนั้นง่วงมากๆ แต่พอไปถึงก็หายง่วงไปได้ 60% เลย เพราะสนามบินใหญ่มาก ใหญ่กว่าที่เคยเห็นในทีวีซะอีก โชคดีที่ไปเป็นกรุ๊ป เลยไม่ได้อะไรมาก ใครทำอะไรก็ทำตามเขาไป สงสัยตรงไหนถาม ซึ่งเพื่อนๆก็ดีมาก ช่วยอธิบายได้ดีตลอดทางทั้งไปและกลับเลย
พอผ่านขั้นตอนเช็คอิน ตรวจกระเป๋าอะไรเสร็จแล้ว ก็มาที่เกท ระหว่างทางก็มีร้านรวงขายอาหารมากมาย แต่ จขกท. ไม่ได้กินอะไรเลย เพราะกลัวว่าจะไปผิดสำแดงบนเครื่อง เดี๋ยวมันจะยุ่ง 555 ก็เลยต้องทนหิวไปตลอด ในใจคิดว่าไม่เป็นไร ครั้งแรกลองไว้ก่อน แล้วต่อไปค่อยทำให้ได้มากขึ้นดีกว่า
เสร็จแล้วก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องบิน ลืมบอกไปว่าเครื่องบินเป็นสายการบินโลว์คอสท์ของต่างประเทศสายการบินหนึ่ง แต่บริการดีมาก เสียอย่างหนึ่งคือภาษาอังกฤษของพี่แอร์พูดเร็วมาก ฟังไม่รู้เรื่องเลย ก่อนเทคออฟเพื่อนให้เคี้ยวหมากฝรั่งกันหูอื้อด้วย
ขาไปไม่เท่าไหร่ สภาพอากาศการเดินทางราบรื่น ไปถึงจุดหมายตอนประมาณบ่ายกว่าๆ ได้ทานมื้อเช้าควบมื้อกลางวันที่นั่น
จากนั้นก็ไม่มีอะไร ไปดูสถานที่ต่างๆของมหาวิทยาลัย และของประเทศนั้น
ได้รู้ว่าภาษาอังกฤษของเราก็ใช้ได้พอสมควร พอเอาตัวรอดได้ ไม่ต้องใช้ภาษามือ
(ด้วยความที่อยากไป ตปท. มากจึงขวนขวายฝึกภาษาอังกฤษไว้ตั้งแต่เด็กๆ ประกอบกับที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนด้วย)
ขากลับมีเรื่องน่าระทึกเกิดขึ้น ทำให้ จขกท. รู้จักคำว่า "หลุมอากาศ" เป็นครั้งแรก ตกใจพอสมควร แต่ก็ไม่เท่าได้ยินเสียงกรี๊ดนิดๆจากพี่ตี๋คนหนึ่ง ซึ่งหล่อมาก (เป็นกรุ๊ปทัวร์คนจีน) คือแบบ.. 555
นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกของ จขกท.
เลยอยากถามความเห็นเพื่อนๆว่า นั่งเครื่องบินครั้งแรกนี่ (ทั้งบินในประเทศและต่างประเทศ) รู้สึกอย่างไรกันบ้าง
ของ จขกท. ที่เล่าให้ฟังนี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวจนปัจจุบันที่ได้นั่งเครื่องบิน เป้าหมายต่อไปคือจะเก็บเงินให้ได้มากๆ และจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวโดยขึ้นเครื่องบินบ้าง