คนที่กู้เงินซื้อบ้าน เป็นหนี้ธนาคารทุกคนคงรู้ดีนะครับ ว่าเงินที่จ่ายให้ธนาคารทุกเดือนคือดอกเบี้ยเกินครึ่งเข้าไปแล้ว เมื่อมีโอกาสที่สามารถลดดอกเบี้ยได้ก็ย่อมต้องรีบคว้าเอาไว้
เข้าเรื่องเลยละกันครับ ต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่าการกู้เงินซื้อบ้านหลังนี้ เป็นการกู้ครั้งแรกของผมเอง ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องบ้าน การกู้เงิน หรือเรื่องดอกเบี้ยอะไรมาก พอจะรู้บ้างเล็กๆน้อยๆ อาศัยอ่านตามเว็บไซต์ทั่วๆไป
ขอเล่าไปถึงต้นเหตุของเรื่องนี้คือ เจ้าหน้าที่สินเชื่อธนาคารที่ทำเรื่องกู้เงินให้ผมนะครับ ผมเริ่มติดต่อกับเธอคนนี้ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2559 เรารู้จักกันที่โครงการบ้านแห่งหนึ่งที่ผมจะซื้อ เธอช่วยเหลือ แนะนำวิธีการเตรียมเอกสารต่างๆ และอธิบายตอบคำถามผมด้วยดีมาโดยตลอด จนธนาคารอนุมัติวงเงินกู้ให้ผมเรียบร้อยในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ต้องทำหน้าที่ลูกหนี้ที่ดีต่อไปอีก30 ปี
พอถึงกำหนดจ่ายเงินกู้แต่ละเดือนทีนี่น้ำตาแทบเล็ดครับ ดอกเบี้ยมันทำร้ายจิตใจกันมาก



ผมเริ่มผ่อนชำระเงินกู้ทุกวันที่ 15 ของเดือน เดือนแรกที่เริ่มผ่อน คือ เดือนพฤษภาคม 2559 ปกติผมเป็นคนชำระเงินตรงเวลาทุกเดือน และจ่ายเกินยอดที่ต้องชำระมาโดยตลอด เมื่อผมชำระมาได้เดือนที่ 3 คือเดือนกรกฎาคม 2559 เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารแห่งนี้ ติดต่อมาหาผมทางโทรศัพท์ ในวันพุธที่ 3 สิงหาคม โทรมาแจ้งว่าธนาคารมีโปรโมชั่นขอบคุณลูกค้า จะคัดเลือกเฉพาะลูกค้าชั้นดี ที่มีประวัติการผ่อนชำระตรงเวลา และโปะเงินงวดเยอะๆ ตั้งแต่งวดแรกๆ โดยโปรโมชั่นนี้จะมีทางเลือกสองทาง คือ
1.ยกเว้นดอกเบี้ยเงินกู้เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยเงินที่ชำระมาทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น โดยไม่หักดอกเบี้ย จะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้
2.ลดดอกเบี้ยลง 0.1 % ถึงสิ้นปี หรือก็คือ 5 เดือน
หลังจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อ นำเสนอทางเลือกให้ผม ก็พยายามโน้มน้าวให้เลือกทางเลือกที่ 1 เพราะเขาคำนวนแล้วว่าคุ้มค่ากว่ามาก จ่ายเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยด้วย ซึ่งดอกเบี้ยต่อเดือนเสียประมาณ 8,000 บาท ถ้าเลือกทางเลือกที่ 2 ผมจะต้องเซ็นสัญญากู้เงินใหม่ทั้งหมดเพื่อใช้โปรโมชั่นลดดอกเบี้ยตามทางเลือกที่ 2 และพอสิ้นปีก็ต้องเซ็นต์สัญญาทั้งหมดใหม่อีกครั้งเพื่อกลับไปใช้สัญญาฉบับเดิม ซึ่งเขาคำนวนแล้วทางเลือกที่ 2 นี้จะประหยัดได้แค่ เดือนละ 200 กว่าบาท หรือ 5 เดือน ก็ 1,000 กว่าบาทเอง ทางเลือกที่ 1 คุ้มกว่าเห็น ๆ ยังไงอยากให้ผมรีบๆเลือก แล้วแจ้งกลับเขาด้วย เพราะเขาจะต้องเตรียมเอกสารอีก และโปรโมชั่นขอบคุณลูกค้านี้ จะต้องรีบดำเนินการก่อนที่จะถึงกำหนดงวดชำระเงินตามปกติ ซึ่งผมเหลือเวลาอีก 12 วัน เขาขอเวลาเตรียมเอกสารและเดินเรื่องให้ผม 1 สัปดาห์ นั่นก็คือ ผมต้องให้คำตอบเจ้าหน้าที่คนนี้ ภายในวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคมนั่นเอง
ผมกลับมานั่งคิดดูตามข้อเสนอแล้ว ก็เริ่มสงสัยว่าทำไมโปรโมชั่นที่ทางธนาคารเสนอมา มันถึงมีความแตกต่างในเรื่องของผลประโยชน์ที่ธนาคารได้รับมากขนาดนี้ ก็เลยติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อกลับไปทางไลน์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามโน้มน้าวเช่นเดิม ให้เลือกทางเลือกที่ 1 และบอกอีกว่า ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยเจอโปรโมชั่นแบบนี้มาก่อนเลย ผมโชคดีมากที่ได้รับคัดเลือก โปรนี้ไม่ใช่ใครก็จะได้กันหมดนะ เขาพยายามอ้างเจ้าหน้าที่ท่านอื่นๆที่ทำงานอยู่ทีมเดียวกันว่าลูกค้าของเจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ไม่ใช่จะได้ทุกคนเหมือนกัน
ผมก็เริ่มคล้อยตามในการชี้ชวนของเขาไปเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ช่างสงสัย ผมก็อยากหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนจะตอบตกลงว่าให้ดำเนินการต่อไป ด้วยทางเลือก 1 ใน 2 ข้อที่เสนอมา ผมจึงสอบถามไปว่าโปรโมชั่นขอบคุณลูกค้าของธนาคารมีชื่อโปรโมชั่นว่าอะไร มีจดหมายจากธนาคารรึป่าว ผมอยากทราบข้อมูลที่ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรจะได้สบายใจ ทางเจ้าหน้าที่ก็ตอบมาว่า พอดีโปรนี้เพิ่งประกาศออกมา จดหมายก็ออกมาแล้ว แต่น่าจะกำลังทยอยจัดส่งให้ คาดว่าของผมจะส่งออกไปให้ลูกค้าในวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม ทางเขาไม่ทราบรายละเอียดที่แน่นอนว่าจะถึงลูกค้าวันไหน เพราะคนละส่วนงานกัน แต่สบายใจได้จดหมายมีส่งให้แน่นอน แต่อาจจะช้าหน่อย ผมก็อยากรู้รายละเอียด อยากเห็นหน้าตาของจดหมาย เพราะผมจะต้องให้คำตอบเขาไปในวันจันทร์หน้านี้แล้ว ถ้ารอจดหมายมาอาจจะไม่ทัน ผมจึงขอให้เขาหาทางส่งภาพหรือส่งอีเมล์มาให้ก่อน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ เพราะข้อมูลส่วนนี้มันจะถูกส่งออกไปให้ลูกค้าโดยตรง โดยไม่ผ่านพนักงาน ผมก็ไม่ติดใจอะไร ถามต่อว่าแล้วถ้าโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์จะสอบถามข้อมูลเรื่องนี้ ทางคอลเซ็นต์จะรู้เรื่องมั้ยครับ เขาก็ตอบมาว่า ไม่รู้ เพราะโปรโมชั่นนี้ไม่ได้ออกมาจากส่วนกลาง เป็นโปรโมชั่นที่จัดทำเฉพาะส่วนงานของเขาเท่านั้น ฉะนั้นถึงโทรไปคอลเซ็นเตอร์ก็ไม่ทราบข้อมูลอยู่ดี ผมก็เลยขอคิดดูก่อนดีกว่า
วันเดียวกันนั้น (พุธที่ 3 สิงหาคม) ในช่วงบ่าย ผมตัดสินใจเลือกข้อเสนอทางเลือกที่ 1 คือ ยกเว้นดอกเบี้ยเงินกู้เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยเงินที่ชำระมาทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น โดยไม่หักดอกเบี้ย จะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีลิมิต
เมื่อผมตกลงแจ้งความจำนงไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่สินเชื่อก็ชี้แจงต่อว่า ให้ผมเตรียมเอกสารสำเนาบัตรประชาชนให้เขา 1 ชุด และเดี๋ยวเขาจะเอาเอกสารมาให้ผมเซ็นต์ และให้ผมเตรียมเงินสดที่จะชำระมาด้วยเลยเท่าไหร่ก็ได้ เดี๋ยวเขาจะเข้ามาเอาเอกสารและเงินที่ผมเตรียมไว้ ไปทำเรื่องต่อให้ที่สำนักงานใหญ่ พอผมเห็นว่าให้เตรียมเงินสดมาให้เขาเท่านั้นแหละ ต่อมช่างสงสัยก็ทำงานอีกตามเคย ผมคิดในใจว่าทำไมต้องมาเก็บเงินสดด้วย เริ่มมีความกังวลเกิดขึ้นในใจ ว่าเงินเราจะถึงธนาคารรึป่าว ผมเริ่มลังเล และถามถึงจดหมายหรือเอกสารหลักฐานอื่นๆจะมีให้ผมรึป่าว เพราะผมเองมีความกังวลว่าอาจจะมีความเสี่ยงที่เงินจะไปไม่ถึงธนาคาร เจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนี้รีบตอบมาว่าไม่ต้องห่วงเลย เขามีใบเสร็จรับเงินให้ (คิดในใจ สมัยนี้ก็ปลอมกันได้นะ ) ผมก็เลยพยายามบ่ายเบี่ยงว่าสงสัยจะเตรียมเงินไม่ทันแน่เลย ผมอยากจ่ายเยอะๆแต่ต้องใช้เวลาหาเงินก่อน เจ้าหน้าที่เหมือนจะเข้าใจเลยบอกว่า "ไม่เป็นไร เอาที่เราไหว ไว้เดือนหน้ามีเยอะค่อยโปะใหม่ ไม่อยากให้ลำบางตัวเอง เดี๋ยวจากเรื่องดีๆจะทำให้เครียด" ใจผมก็เริ่มไม่โอเคละ เจ้าหน้าที่ก็เลยบอกว่าจริงๆโปรนี้ได้สิทธิ์แค่เดือนเดียว คือเดือนนี้ ถ้าไม่รีบดำเนินการจะไม่ทัน เอาเป็นว่าถ้าผมไม่สบายใจ เดี๋ยวเดือนนี้จ่ายเงินตามจำนวนงวดปกติที่ผ่อนไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวเขามารับเงินแล้วไปแล้วเดินเรื่องให้ที่สำนักงานใหญ่ในงวดนี้ โดยเงินงวดนี้ตัดต้นทั้งหมด และจะทำเรื่องเปลี่ยน CODE ในระบบ ให้สามารถจ่ายเงินหน้าเคาน์เตอร์แล้วสามารถหักเงินทั้งหมดที่จ่ายไปตัดเฉพาะเงินต้นในงวดหน้าได้ด้วย กรณีนี้เขาจะไปขอหัวหน้าให้ผมสามารถใช้สิทธิ์ได้สองเดือนเลย ผมได้ฟังแบบนี้ก็โอเคสิครับ อย่างน้อยเดือนนี้ก็ไม่ต้องจ่ายเงินสดไปเยอะๆ ลดความเสี่ยงลงและเดือนหน้าค่อยโปะเยอะๆที่หน้าเคาน์เตอร์ธนาคารเลย หลังจากที่ได้ข้อเสนอที่พอใจ ผมก็โอเค นัดวันเวลามารับเงินสดพร้อมเอกสารที่ออฟฟิสของผม ในวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม เวลา 9.00 น.
ที่ผมมีความกังวลมากขนาดนี้ เพราะเนื่องด้วยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่คนนี้พยายามมาขอกู้เงินกับผมถึงสองครั้ง ( สามารถข้ามไปย่อหน้าถัดไปได้ครับถ้าไม่อยากเสียเวลากับรายละเอียดมากไป )

ขอกู้ครั้งที่ 1 รายละเอียดอยู่ในนี้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ วันที่ 5 พฤษภาคม ผมทักแชทไลน์ไปสอบถามเรื่องสัญญาเงินกู้ในส่วนที่ผมสงสัย คุยไปคุยมาเขาก็มาแซวๆว่า ผมมีเงินเยอะขอกู้หน่อย จะเอาไปจ่ายค่าช่างที่เขาจ้างมาแต่งห้องที่คอนโด "กู้ครึ่งเดือน วันที่ 16 ค่าคอมออก จะคืนให้ คิดดอกได้แต่อย่าแพงนะคะ" ผมก็ปฎิเสธไป

ขอกู้ ครั้งที่ 2 อยากรู้กดดูได้นะ ( ... แทนเจ้าหน้าที่สินเชื่อครับ )
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ วันที่ 13 มิถุนายน เขาทักแชทมา "...มีเรื่องจะปรึกษาหน่อยค่ะคือ...เครียดจิง ๆ เป็นทุกมากเลย ที่...กล้าพูดเพราะ...ไม่รู้จะหันหาใครแล้วเพื่อนที่สนิทก็ถามจนหมดแล้วมันกะทันหัน...มีเวลาแค่ 2 วันแค่วันเสาร์กับอาทิตย์ที่ผ่านมา...หาไม่ทัน พรุ่งนี้...ต้องใช้เงินก้อนประมาน 190,000 แต่ขาดอยู่ 43,000 เลยอยากรบกวนถามว่าสะดวกปล่อยกู้ให้...ไหมคะ หรือพอจะรู้จักคนที่เค้าปล่อยไหมคะ ...ยินดีให้ดอก ...ขอกู้แค่ 5 วันวันศุกร์โบนัสออกคืนให้ค่ะ ยินดีทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร อย่าโกดหรือมีอัคติกับ...เลยนะคะ...ไม่มีทางออกจิงๆ ถึงได้กล้าถามกล้าเอ่ยปาก ถามว่าอายไหมอายมาก เกรงใจมาก อีกอย่าง (ผม) เป็นลูกค้า...อีก แค่นี้มันก็น่าเกลียดแล้ว ครั้งก่อนที่แอบๆ แซวไปเรื่องแต่งคอนโด ยังว่าไม่เท่าไหร่ กะเซ้าแซวๆกันเล่นแต่นี้...ต้องรีบแก้ค่ะต้องรีบหาทางออกไม่งั้นมีเรื่องฟ้องร้องกระทบงานแน่ๆ ...ไปค้ำประกันซื้อรถบิ๊กไบท์ให้แฟนเก่าแต่พอเลิกกันแล้วก็ไม่ได้ติดต่อ...ก็ไม่รู้ว่ามันไม่ส่งค่างวดจนวันศุกร์ที่บ้านเอาเอกสารมาให้ที่คอนโดบอกมาเยอะมาก หลายครั้งแล้ว จนเค้าจะฟ้องร้องแล้ว คือพรุ่งนี้...ต้องเอาเงินไปเครียให้เค้าไม่งั้น ถ้ามีคดี กะทบงานแน่นอน ...พึ่งซื้อคอนโดไปเงินเก็บก็เหลือไม่เยอะ พยายามหาที่สุดแล้วมันไม่ได้ จิงๆ เลยลองถาม (ผม) ดู เผื่อพอจะมีทางออกแนะนำบ้าง อันนี้...ถามในฐานะ เพื่อนที่รู้จักคนนึงนะคะ ไม่เกี่ยวกับงาน ...ถามเพราะตัว...เอง อย่าโกด หรืออย่าถือสาเลยนะคะ ...ขอโทษและไม่มีเจตนาไม่ดี หรือคิด ไม่ดี อะไรเลย แค่คนๆนึง พอเจอปัญหาแล้วมันเหมือน จะตันไม่มีทางออกแล้วไม่รู้จะหันหาใครแค่นั้นเอง" คร้งนี้จบลงด้วยการปฏิเสธเช่นกัน
คือผมเองก็อยากช่วยนะครับ แต่เอาจริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้มีเงินมากขนาดให้ใครยืมเงินขนาดนี้ได้เหมือนกัน ลำพังตัวเองกับครอบครังก็จะไม่พอใช้อยู่ละ
พอมาถึงวันจันทร์ ที่ 8 สิงหาคม เวลา 08.30 น. ผมมานั่งคิดทบทวนดูอีกรอบก็ยังมีความลังเลอยู่ดี จึงตัดสินใจลองโทรไปคอลเซ็นเตอร์ดูดีกว่า 02-7xxxxxx ผมอธิบายรายละเอียดให้คอลเซ็นเตอร์ไปตามที่เล่ามาทั้งหมด คอลเซ็นเตอร์แจ้งว่าไม่มีโปรโมชั่นลักษณะนี้ในฐานข้อมูล (จริงตามที่เจ้าหน้าที่สินเชื่อแจ้งมา) ถ้าจะลดดอกเบี้ยให้จริงก็จะเป็นการลดดอกเบี้ยหลังจาก 3 ปี ไปแล้วถึงทำเรื่องได้ ทางคอลเซ็นเตอร์จึงแจ้งว่าไม่แนะนำให้ลูกค้าจ่ายเงินสดให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อรายนี้โดยตรง ผมก็รับฟังนะ แล้วแจ้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ ของเจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนี้ให้ตรวจสอบ ปรากฎว่า มีชื่อ และเบอร์โทรศัพท์อยู่ในฐานข้อมูล และเป็นพนักงานของธนาคารจริง ผมก็งงๆเหมือนจะมั่นใจว่าไม่น่าจะถูกหลอก เพราะอย่างน้อยก็เป็นพนักงานจริง แต่ก็ไม่มั่นใจยังไงไม่รู้ แอบเสียดายโปรโมชั่น สรุปยังมึนๆ ไม่รู้ว่าควรจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อดีมั้ย ก็เลยฝากให้คอลเซ็นเตอร์ช่วยตรวจสอบกรณีแบบนี้ให้หน่อย ว่าทางธนาคารมีแนวทางจัดการกับเรื่องลักษณะนี้อย่างไรบ้าง เพราะผมกลัวว่าอาจจะมีลูกค้าของธนาคารท่านอื่นที่อาจจะเจอเรื่องราวแบบนี้เหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็วางสายไป
หลังวางสาย ผมยังคงคิดและไม่มีสมาธิทำงานต่อ ลองหาเบอร์ในเว็บไซต์ของสำนักงานใหญ่ ซึ่งพอโทรไปก็คือคอลเซ็นเตอร์เหมือนกันแต่เป็นคนละคนรับสายผมก็เลยอธิบายเรื่องราวให้ฟังอีกรอบ เจ้าหน้าที่คอลเซ็นต์เตอร์ก็แนะนำเหมือนเดิม และขออนุญาตผมโทรประชุมสายสนทนาสามสายกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่กำลังจะมาเก็บเงินผมในอีก 10 นาทีข้างหน้า เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่สินเชื่ออธิบายรายละเอียดอีกครั้งไปพร้อมๆกัยกับคอลเซ็นเตอร์ทางโทรศัพท์ ปรากฏว่าติดต่อได้ แต่เจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนั้นไม่สะดวกคุยสาย โดยแจ้งว่ากำลังขับรถอยู่ ผมก็แอบคิดละว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ระหว่างที่คุยกับคอลเซ็นเตอร์ ผมพยายามขอให้ช่วยตรวจสอบเจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนี้อีกรอบ แต่คอลเซ็นเตอร์ก็พยายามขอให้ผมระบุหน่วยงานที่ต้องการให้ตรวจสอบ แต่ผมไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนี้อย่หน่วยงานไหน รู้แค่ชื่อ เบอร์โทรแค่นั้น ผมว่าทางคอลเซ็นต์เตอร์น่าจะประสานงานตรวจสอบภายในเองได้นะครับ ไม่ใช่มาถามกลับลูกค้าแบบนี้ ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่สินเชื่อก็โทรเข้ามาหาผมพอดี
มีต่ออีก...
เตือนภัย !!! คนกู้เงินซื้อบ้าน เจ้าหน้าที่สินเชื่อธนาคาร (บางคน) อันตรายกว่าที่คิด
เข้าเรื่องเลยละกันครับ ต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่าการกู้เงินซื้อบ้านหลังนี้ เป็นการกู้ครั้งแรกของผมเอง ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องบ้าน การกู้เงิน หรือเรื่องดอกเบี้ยอะไรมาก พอจะรู้บ้างเล็กๆน้อยๆ อาศัยอ่านตามเว็บไซต์ทั่วๆไป
ขอเล่าไปถึงต้นเหตุของเรื่องนี้คือ เจ้าหน้าที่สินเชื่อธนาคารที่ทำเรื่องกู้เงินให้ผมนะครับ ผมเริ่มติดต่อกับเธอคนนี้ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2559 เรารู้จักกันที่โครงการบ้านแห่งหนึ่งที่ผมจะซื้อ เธอช่วยเหลือ แนะนำวิธีการเตรียมเอกสารต่างๆ และอธิบายตอบคำถามผมด้วยดีมาโดยตลอด จนธนาคารอนุมัติวงเงินกู้ให้ผมเรียบร้อยในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ต้องทำหน้าที่ลูกหนี้ที่ดีต่อไปอีก30 ปี
พอถึงกำหนดจ่ายเงินกู้แต่ละเดือนทีนี่น้ำตาแทบเล็ดครับ ดอกเบี้ยมันทำร้ายจิตใจกันมาก
1.ยกเว้นดอกเบี้ยเงินกู้เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยเงินที่ชำระมาทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น โดยไม่หักดอกเบี้ย จะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้
2.ลดดอกเบี้ยลง 0.1 % ถึงสิ้นปี หรือก็คือ 5 เดือน
หลังจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อ นำเสนอทางเลือกให้ผม ก็พยายามโน้มน้าวให้เลือกทางเลือกที่ 1 เพราะเขาคำนวนแล้วว่าคุ้มค่ากว่ามาก จ่ายเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยด้วย ซึ่งดอกเบี้ยต่อเดือนเสียประมาณ 8,000 บาท ถ้าเลือกทางเลือกที่ 2 ผมจะต้องเซ็นสัญญากู้เงินใหม่ทั้งหมดเพื่อใช้โปรโมชั่นลดดอกเบี้ยตามทางเลือกที่ 2 และพอสิ้นปีก็ต้องเซ็นต์สัญญาทั้งหมดใหม่อีกครั้งเพื่อกลับไปใช้สัญญาฉบับเดิม ซึ่งเขาคำนวนแล้วทางเลือกที่ 2 นี้จะประหยัดได้แค่ เดือนละ 200 กว่าบาท หรือ 5 เดือน ก็ 1,000 กว่าบาทเอง ทางเลือกที่ 1 คุ้มกว่าเห็น ๆ ยังไงอยากให้ผมรีบๆเลือก แล้วแจ้งกลับเขาด้วย เพราะเขาจะต้องเตรียมเอกสารอีก และโปรโมชั่นขอบคุณลูกค้านี้ จะต้องรีบดำเนินการก่อนที่จะถึงกำหนดงวดชำระเงินตามปกติ ซึ่งผมเหลือเวลาอีก 12 วัน เขาขอเวลาเตรียมเอกสารและเดินเรื่องให้ผม 1 สัปดาห์ นั่นก็คือ ผมต้องให้คำตอบเจ้าหน้าที่คนนี้ ภายในวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคมนั่นเอง
ผมกลับมานั่งคิดดูตามข้อเสนอแล้ว ก็เริ่มสงสัยว่าทำไมโปรโมชั่นที่ทางธนาคารเสนอมา มันถึงมีความแตกต่างในเรื่องของผลประโยชน์ที่ธนาคารได้รับมากขนาดนี้ ก็เลยติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อกลับไปทางไลน์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามโน้มน้าวเช่นเดิม ให้เลือกทางเลือกที่ 1 และบอกอีกว่า ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยเจอโปรโมชั่นแบบนี้มาก่อนเลย ผมโชคดีมากที่ได้รับคัดเลือก โปรนี้ไม่ใช่ใครก็จะได้กันหมดนะ เขาพยายามอ้างเจ้าหน้าที่ท่านอื่นๆที่ทำงานอยู่ทีมเดียวกันว่าลูกค้าของเจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ไม่ใช่จะได้ทุกคนเหมือนกัน
ผมก็เริ่มคล้อยตามในการชี้ชวนของเขาไปเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ช่างสงสัย ผมก็อยากหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนจะตอบตกลงว่าให้ดำเนินการต่อไป ด้วยทางเลือก 1 ใน 2 ข้อที่เสนอมา ผมจึงสอบถามไปว่าโปรโมชั่นขอบคุณลูกค้าของธนาคารมีชื่อโปรโมชั่นว่าอะไร มีจดหมายจากธนาคารรึป่าว ผมอยากทราบข้อมูลที่ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรจะได้สบายใจ ทางเจ้าหน้าที่ก็ตอบมาว่า พอดีโปรนี้เพิ่งประกาศออกมา จดหมายก็ออกมาแล้ว แต่น่าจะกำลังทยอยจัดส่งให้ คาดว่าของผมจะส่งออกไปให้ลูกค้าในวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม ทางเขาไม่ทราบรายละเอียดที่แน่นอนว่าจะถึงลูกค้าวันไหน เพราะคนละส่วนงานกัน แต่สบายใจได้จดหมายมีส่งให้แน่นอน แต่อาจจะช้าหน่อย ผมก็อยากรู้รายละเอียด อยากเห็นหน้าตาของจดหมาย เพราะผมจะต้องให้คำตอบเขาไปในวันจันทร์หน้านี้แล้ว ถ้ารอจดหมายมาอาจจะไม่ทัน ผมจึงขอให้เขาหาทางส่งภาพหรือส่งอีเมล์มาให้ก่อน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ เพราะข้อมูลส่วนนี้มันจะถูกส่งออกไปให้ลูกค้าโดยตรง โดยไม่ผ่านพนักงาน ผมก็ไม่ติดใจอะไร ถามต่อว่าแล้วถ้าโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์จะสอบถามข้อมูลเรื่องนี้ ทางคอลเซ็นต์จะรู้เรื่องมั้ยครับ เขาก็ตอบมาว่า ไม่รู้ เพราะโปรโมชั่นนี้ไม่ได้ออกมาจากส่วนกลาง เป็นโปรโมชั่นที่จัดทำเฉพาะส่วนงานของเขาเท่านั้น ฉะนั้นถึงโทรไปคอลเซ็นเตอร์ก็ไม่ทราบข้อมูลอยู่ดี ผมก็เลยขอคิดดูก่อนดีกว่า
วันเดียวกันนั้น (พุธที่ 3 สิงหาคม) ในช่วงบ่าย ผมตัดสินใจเลือกข้อเสนอทางเลือกที่ 1 คือ ยกเว้นดอกเบี้ยเงินกู้เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยเงินที่ชำระมาทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น โดยไม่หักดอกเบี้ย จะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีลิมิต
เมื่อผมตกลงแจ้งความจำนงไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่สินเชื่อก็ชี้แจงต่อว่า ให้ผมเตรียมเอกสารสำเนาบัตรประชาชนให้เขา 1 ชุด และเดี๋ยวเขาจะเอาเอกสารมาให้ผมเซ็นต์ และให้ผมเตรียมเงินสดที่จะชำระมาด้วยเลยเท่าไหร่ก็ได้ เดี๋ยวเขาจะเข้ามาเอาเอกสารและเงินที่ผมเตรียมไว้ ไปทำเรื่องต่อให้ที่สำนักงานใหญ่ พอผมเห็นว่าให้เตรียมเงินสดมาให้เขาเท่านั้นแหละ ต่อมช่างสงสัยก็ทำงานอีกตามเคย ผมคิดในใจว่าทำไมต้องมาเก็บเงินสดด้วย เริ่มมีความกังวลเกิดขึ้นในใจ ว่าเงินเราจะถึงธนาคารรึป่าว ผมเริ่มลังเล และถามถึงจดหมายหรือเอกสารหลักฐานอื่นๆจะมีให้ผมรึป่าว เพราะผมเองมีความกังวลว่าอาจจะมีความเสี่ยงที่เงินจะไปไม่ถึงธนาคาร เจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนี้รีบตอบมาว่าไม่ต้องห่วงเลย เขามีใบเสร็จรับเงินให้ (คิดในใจ สมัยนี้ก็ปลอมกันได้นะ ) ผมก็เลยพยายามบ่ายเบี่ยงว่าสงสัยจะเตรียมเงินไม่ทันแน่เลย ผมอยากจ่ายเยอะๆแต่ต้องใช้เวลาหาเงินก่อน เจ้าหน้าที่เหมือนจะเข้าใจเลยบอกว่า "ไม่เป็นไร เอาที่เราไหว ไว้เดือนหน้ามีเยอะค่อยโปะใหม่ ไม่อยากให้ลำบางตัวเอง เดี๋ยวจากเรื่องดีๆจะทำให้เครียด" ใจผมก็เริ่มไม่โอเคละ เจ้าหน้าที่ก็เลยบอกว่าจริงๆโปรนี้ได้สิทธิ์แค่เดือนเดียว คือเดือนนี้ ถ้าไม่รีบดำเนินการจะไม่ทัน เอาเป็นว่าถ้าผมไม่สบายใจ เดี๋ยวเดือนนี้จ่ายเงินตามจำนวนงวดปกติที่ผ่อนไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวเขามารับเงินแล้วไปแล้วเดินเรื่องให้ที่สำนักงานใหญ่ในงวดนี้ โดยเงินงวดนี้ตัดต้นทั้งหมด และจะทำเรื่องเปลี่ยน CODE ในระบบ ให้สามารถจ่ายเงินหน้าเคาน์เตอร์แล้วสามารถหักเงินทั้งหมดที่จ่ายไปตัดเฉพาะเงินต้นในงวดหน้าได้ด้วย กรณีนี้เขาจะไปขอหัวหน้าให้ผมสามารถใช้สิทธิ์ได้สองเดือนเลย ผมได้ฟังแบบนี้ก็โอเคสิครับ อย่างน้อยเดือนนี้ก็ไม่ต้องจ่ายเงินสดไปเยอะๆ ลดความเสี่ยงลงและเดือนหน้าค่อยโปะเยอะๆที่หน้าเคาน์เตอร์ธนาคารเลย หลังจากที่ได้ข้อเสนอที่พอใจ ผมก็โอเค นัดวันเวลามารับเงินสดพร้อมเอกสารที่ออฟฟิสของผม ในวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม เวลา 9.00 น.
ที่ผมมีความกังวลมากขนาดนี้ เพราะเนื่องด้วยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่คนนี้พยายามมาขอกู้เงินกับผมถึงสองครั้ง ( สามารถข้ามไปย่อหน้าถัดไปได้ครับถ้าไม่อยากเสียเวลากับรายละเอียดมากไป )
คือผมเองก็อยากช่วยนะครับ แต่เอาจริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้มีเงินมากขนาดให้ใครยืมเงินขนาดนี้ได้เหมือนกัน ลำพังตัวเองกับครอบครังก็จะไม่พอใช้อยู่ละ
พอมาถึงวันจันทร์ ที่ 8 สิงหาคม เวลา 08.30 น. ผมมานั่งคิดทบทวนดูอีกรอบก็ยังมีความลังเลอยู่ดี จึงตัดสินใจลองโทรไปคอลเซ็นเตอร์ดูดีกว่า 02-7xxxxxx ผมอธิบายรายละเอียดให้คอลเซ็นเตอร์ไปตามที่เล่ามาทั้งหมด คอลเซ็นเตอร์แจ้งว่าไม่มีโปรโมชั่นลักษณะนี้ในฐานข้อมูล (จริงตามที่เจ้าหน้าที่สินเชื่อแจ้งมา) ถ้าจะลดดอกเบี้ยให้จริงก็จะเป็นการลดดอกเบี้ยหลังจาก 3 ปี ไปแล้วถึงทำเรื่องได้ ทางคอลเซ็นเตอร์จึงแจ้งว่าไม่แนะนำให้ลูกค้าจ่ายเงินสดให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อรายนี้โดยตรง ผมก็รับฟังนะ แล้วแจ้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ ของเจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนี้ให้ตรวจสอบ ปรากฎว่า มีชื่อ และเบอร์โทรศัพท์อยู่ในฐานข้อมูล และเป็นพนักงานของธนาคารจริง ผมก็งงๆเหมือนจะมั่นใจว่าไม่น่าจะถูกหลอก เพราะอย่างน้อยก็เป็นพนักงานจริง แต่ก็ไม่มั่นใจยังไงไม่รู้ แอบเสียดายโปรโมชั่น สรุปยังมึนๆ ไม่รู้ว่าควรจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อดีมั้ย ก็เลยฝากให้คอลเซ็นเตอร์ช่วยตรวจสอบกรณีแบบนี้ให้หน่อย ว่าทางธนาคารมีแนวทางจัดการกับเรื่องลักษณะนี้อย่างไรบ้าง เพราะผมกลัวว่าอาจจะมีลูกค้าของธนาคารท่านอื่นที่อาจจะเจอเรื่องราวแบบนี้เหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็วางสายไป
หลังวางสาย ผมยังคงคิดและไม่มีสมาธิทำงานต่อ ลองหาเบอร์ในเว็บไซต์ของสำนักงานใหญ่ ซึ่งพอโทรไปก็คือคอลเซ็นเตอร์เหมือนกันแต่เป็นคนละคนรับสายผมก็เลยอธิบายเรื่องราวให้ฟังอีกรอบ เจ้าหน้าที่คอลเซ็นต์เตอร์ก็แนะนำเหมือนเดิม และขออนุญาตผมโทรประชุมสายสนทนาสามสายกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่กำลังจะมาเก็บเงินผมในอีก 10 นาทีข้างหน้า เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่สินเชื่ออธิบายรายละเอียดอีกครั้งไปพร้อมๆกัยกับคอลเซ็นเตอร์ทางโทรศัพท์ ปรากฏว่าติดต่อได้ แต่เจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนั้นไม่สะดวกคุยสาย โดยแจ้งว่ากำลังขับรถอยู่ ผมก็แอบคิดละว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ระหว่างที่คุยกับคอลเซ็นเตอร์ ผมพยายามขอให้ช่วยตรวจสอบเจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนี้อีกรอบ แต่คอลเซ็นเตอร์ก็พยายามขอให้ผมระบุหน่วยงานที่ต้องการให้ตรวจสอบ แต่ผมไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่สินเชื่อคนนี้อย่หน่วยงานไหน รู้แค่ชื่อ เบอร์โทรแค่นั้น ผมว่าทางคอลเซ็นต์เตอร์น่าจะประสานงานตรวจสอบภายในเองได้นะครับ ไม่ใช่มาถามกลับลูกค้าแบบนี้ ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่สินเชื่อก็โทรเข้ามาหาผมพอดี
มีต่ออีก...