คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เล่นบทไม่ถูกครับ อันนี้ผมสันนิษฐานเอง
จริงแล้วผมอยากจะบอกว่า ทุกคนเขารู้ และสังเกตกันหมดนะครับ ว่าใครเป็นอย่างไร ทำงานดี รู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง แต่ปัญหาอยู่ที่การยอมรับ
บางครั้ง อาจเป็นเพราะเราเล่นละครไม่ถูกบท เช่นฟอร์มหน้าตาเราไม่ใช่พระเอก ก็ต้องทำตัวเป็นผู้ช่วยพระเอก คอยสนับสนุน หากนายเราต้องการ
ความช่วยเหลือ เราก็ต้องเล่นบทใจถึงพึ่งได้ ยอมตายแทน ออกหน้ารับ ทำงานหนักส่งข้อมูลชงให้นาย ทำตัวไม่เป็นพิษภัย ไม่แย่งเอาหน้า แต่คอย
ซัพพอร์ตทุกคน เอาดีด้านอยู่เบื้องหลังไป เราจะไม่เห็นผู้กำกับมาเล่นบทพระเอกเสียเอง แต่อาจจะมาแจมบ้าง เป็นตัวตลก หรือตัวประกอบ ก็เอาดีได้
จริงแล้วผมอยากจะบอกว่า ทุกคนเขารู้ และสังเกตกันหมดนะครับ ว่าใครเป็นอย่างไร ทำงานดี รู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง แต่ปัญหาอยู่ที่การยอมรับ
บางครั้ง อาจเป็นเพราะเราเล่นละครไม่ถูกบท เช่นฟอร์มหน้าตาเราไม่ใช่พระเอก ก็ต้องทำตัวเป็นผู้ช่วยพระเอก คอยสนับสนุน หากนายเราต้องการ
ความช่วยเหลือ เราก็ต้องเล่นบทใจถึงพึ่งได้ ยอมตายแทน ออกหน้ารับ ทำงานหนักส่งข้อมูลชงให้นาย ทำตัวไม่เป็นพิษภัย ไม่แย่งเอาหน้า แต่คอย
ซัพพอร์ตทุกคน เอาดีด้านอยู่เบื้องหลังไป เราจะไม่เห็นผู้กำกับมาเล่นบทพระเอกเสียเอง แต่อาจจะมาแจมบ้าง เป็นตัวตลก หรือตัวประกอบ ก็เอาดีได้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 34
ในทุกๆประเทศ ไม่ได้มีกลุ่มมหาเศรษฐีหรือเจ้าสัวที่โด่งดังกลุ่มนั้นกลุ่มเดียว
แต่ผู้คนก็ไม่รู้จักคนเหล่านั้นใช่มั้ยคะ
ผู้คนจะรู้จักกลุ่มที่เปิดเผยตนเองเท่านั้น
กลุ่มที่ไม่เปิดเผยตนเองก็ดูเป็นลุงๆป้าๆชาวสวนขายผักขายของที่ตลาดด้วยซ้ำนะบางที แค่ดีกว่าตรงผิวพรรณไม่กร้าน
มันคือการประเมินความต้องการของตนเอง และ วางตนเองในตำแหน่งที่ต้องการ และแสดงตามบทนั้น
1.คุณมีการประเมินความต้องการของตนเองว่า ต้องการอะไร อยากให้คนมองคุณอย่างไร...แต่
2.คุณไม่มีความชัดเจนในการวางสถานะบทบาทของตนเอง
3.จากข้อ2 สรุปได้ว่าคุณขาด force ที่จะ manipulate บุคคลรอบข้างเพื่อให้ตัวคุณเกิด charming
force และ manipulate ไม่ได้หมายความในทางแย่เสมอไป ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเราเพื่อการปกครองในองค์กร
ยกตัวอย่าง บิล เกตส์ กับ วอร์เรน บัฟเฟต์ ถ้าเขาทั้งสองไม่มีผลงานระดับพลิกวงการ ผู้คนคงมองเขาเป็นลุงเนิร์ดกับปู่จอมงกคู่หนึ่ง แต่กระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่มีใครเรียกพวกเขาเป็นศาสดาเหมือน สตีฟ จ๊อบส์
จ๊อบส์ ไม่ได้ทำทุกอย่างในแอปเปิล ไม่ได้สร้างโปรแกรมทุกชิ้นทุกรุ่น แต่ทุกคนก็กราบจ๊อบส์ไปแล้วทั้งนั้น เพราะจ๊อบส์ force และ manipulate ผู้คนได้
ก่อนที่จะ force และ manipulate ผู้อื่นได้ ต้องทำตัวเองก่อน
ความมั่นใจที่จะทำกับตัวเองไม่ใช่ 100% แต่ต้องเกิน 100%
หน้าตาจ๊อบส์อาจมีส่วนช่วย แต่แจ๊ค หม่าล่ะ?
เอาตรงๆหน้าเหมือนเจ๊กลากรถสมัยร.4
ก่อนที่แจ๊ค หม่าจะมาถึงตอนนี้จะลำบากเต้าหู้ยี้อะไรมาก็ช่างเถอะ
แต่ความรู้สึกที่ได้ฟังเขาสัมภาษณ์นั้น น้ำเสียงมั่นใจเขาเกิน 100% มากๆ
หรือจะยกตัวอย่าง ทักษิณ ก็ได้
ยกตัวอย่างในด้าน appearance การพูดจา
หน้าตาก็ไม่ได้หล่อ สกิลเด่นๆทางวิชาชีพนี่นึกไม่ออกเลยนอกจาก เขาใช้คนได้ถูกกับงาน และรู้จักพูดทาบทามคนเก่งๆมาทำงานให้ดีๆนานๆ คอนเนคชันเยอะ รู้จักคนเก่งเยอะ รู้ว่าอยากได้ของดีไปหาที่ไหน(สโลแกน "คิดใหม่ ทำใหม่" เขาก็ไม่ได้คิดเอง ไปขอรศ.ที่ม.รามให้ช่วยคิด) เขามีด้านดีก็เอามาวิเคราะห์
นี่คือเขา force และ manipulateได้
สกิลบางอย่างทักษิณสู้คุณไม่ได้หรือไม่มีเลย
แต่คุณก็ไม่มี force หรือ manipulate เลยเหมือนกัน
เราคิดว่าคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพหรือคอร์สการแสดงน่าจะเหมาะกับคุณ
แต่ก่อนสมัครก็ลองเช็คดีๆก่อน
อย่าไปพวกคอร์สขายตรงแลนด์มาร์คอะไรนั่นล่ะ
ป.ล.
คุณเคยดูจีนกำลังภายในมั้ย เช่น เรื่องดาบมังกรหยกพระเอกชื่อ เตียบ่อกี้
มันเก่งสารพัดเก่ง คัมภีร์สุดยอดในเรื่อง ทั้งตำราหมอเทวดา ตำราเซียนพิษ เคล็ดพิชัยสงครามซุนวู เคล็ดเปลี่ยนเส้นเอ็นเส้าหลินของตั๊กม้อ บันทึกสุดยอดวิชาลับเปอร์เชีย
เตียบ่อกี้ฝึกสำเร็จหมด แต่ไม่ค่อยมีใครตระหนักหรือสนใจ ที่มันยังสำคัญอยู่ในเรื่องก็เพราะไปมีบุญคุณกับคนโน้นคนนี้ และมีพ่อแม่ กับ พ่อบุญธรรม ท่านปู่ท่านตาที่โด่งดังในวงยุทธ์
เตียบ่อกี้เป็นคนอย่างนี้ ไม่ใช่คนกระสันอำนาจโดนสันดาน และมันไม่เคย force หรือmanipulateใครเลย
แต่ผู้คนก็ไม่รู้จักคนเหล่านั้นใช่มั้ยคะ
ผู้คนจะรู้จักกลุ่มที่เปิดเผยตนเองเท่านั้น
กลุ่มที่ไม่เปิดเผยตนเองก็ดูเป็นลุงๆป้าๆชาวสวนขายผักขายของที่ตลาดด้วยซ้ำนะบางที แค่ดีกว่าตรงผิวพรรณไม่กร้าน
มันคือการประเมินความต้องการของตนเอง และ วางตนเองในตำแหน่งที่ต้องการ และแสดงตามบทนั้น
1.คุณมีการประเมินความต้องการของตนเองว่า ต้องการอะไร อยากให้คนมองคุณอย่างไร...แต่
2.คุณไม่มีความชัดเจนในการวางสถานะบทบาทของตนเอง
3.จากข้อ2 สรุปได้ว่าคุณขาด force ที่จะ manipulate บุคคลรอบข้างเพื่อให้ตัวคุณเกิด charming
force และ manipulate ไม่ได้หมายความในทางแย่เสมอไป ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเราเพื่อการปกครองในองค์กร
ยกตัวอย่าง บิล เกตส์ กับ วอร์เรน บัฟเฟต์ ถ้าเขาทั้งสองไม่มีผลงานระดับพลิกวงการ ผู้คนคงมองเขาเป็นลุงเนิร์ดกับปู่จอมงกคู่หนึ่ง แต่กระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่มีใครเรียกพวกเขาเป็นศาสดาเหมือน สตีฟ จ๊อบส์
จ๊อบส์ ไม่ได้ทำทุกอย่างในแอปเปิล ไม่ได้สร้างโปรแกรมทุกชิ้นทุกรุ่น แต่ทุกคนก็กราบจ๊อบส์ไปแล้วทั้งนั้น เพราะจ๊อบส์ force และ manipulate ผู้คนได้
ก่อนที่จะ force และ manipulate ผู้อื่นได้ ต้องทำตัวเองก่อน
ความมั่นใจที่จะทำกับตัวเองไม่ใช่ 100% แต่ต้องเกิน 100%
หน้าตาจ๊อบส์อาจมีส่วนช่วย แต่แจ๊ค หม่าล่ะ?
เอาตรงๆหน้าเหมือนเจ๊กลากรถสมัยร.4
ก่อนที่แจ๊ค หม่าจะมาถึงตอนนี้จะลำบากเต้าหู้ยี้อะไรมาก็ช่างเถอะ
แต่ความรู้สึกที่ได้ฟังเขาสัมภาษณ์นั้น น้ำเสียงมั่นใจเขาเกิน 100% มากๆ
หรือจะยกตัวอย่าง ทักษิณ ก็ได้
ยกตัวอย่างในด้าน appearance การพูดจา
หน้าตาก็ไม่ได้หล่อ สกิลเด่นๆทางวิชาชีพนี่นึกไม่ออกเลยนอกจาก เขาใช้คนได้ถูกกับงาน และรู้จักพูดทาบทามคนเก่งๆมาทำงานให้ดีๆนานๆ คอนเนคชันเยอะ รู้จักคนเก่งเยอะ รู้ว่าอยากได้ของดีไปหาที่ไหน(สโลแกน "คิดใหม่ ทำใหม่" เขาก็ไม่ได้คิดเอง ไปขอรศ.ที่ม.รามให้ช่วยคิด) เขามีด้านดีก็เอามาวิเคราะห์
นี่คือเขา force และ manipulateได้
สกิลบางอย่างทักษิณสู้คุณไม่ได้หรือไม่มีเลย
แต่คุณก็ไม่มี force หรือ manipulate เลยเหมือนกัน
เราคิดว่าคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพหรือคอร์สการแสดงน่าจะเหมาะกับคุณ
แต่ก่อนสมัครก็ลองเช็คดีๆก่อน
อย่าไปพวกคอร์สขายตรงแลนด์มาร์คอะไรนั่นล่ะ
ป.ล.
คุณเคยดูจีนกำลังภายในมั้ย เช่น เรื่องดาบมังกรหยกพระเอกชื่อ เตียบ่อกี้
มันเก่งสารพัดเก่ง คัมภีร์สุดยอดในเรื่อง ทั้งตำราหมอเทวดา ตำราเซียนพิษ เคล็ดพิชัยสงครามซุนวู เคล็ดเปลี่ยนเส้นเอ็นเส้าหลินของตั๊กม้อ บันทึกสุดยอดวิชาลับเปอร์เชีย
เตียบ่อกี้ฝึกสำเร็จหมด แต่ไม่ค่อยมีใครตระหนักหรือสนใจ ที่มันยังสำคัญอยู่ในเรื่องก็เพราะไปมีบุญคุณกับคนโน้นคนนี้ และมีพ่อแม่ กับ พ่อบุญธรรม ท่านปู่ท่านตาที่โด่งดังในวงยุทธ์
เตียบ่อกี้เป็นคนอย่างนี้ ไม่ใช่คนกระสันอำนาจโดนสันดาน และมันไม่เคย force หรือmanipulateใครเลย
แสดงความคิดเห็น
คนที่ภาพลักษณ์ภายนอกดูไม่เก่ง นี่ใช้ชีวิตลำบากนะครับ กว่าคนจะยอมรับ ต้องแสดงศักยภาพออกมา เหนื่อยกว่าคนที่ดูดีมาแต่ต้น
ตัวผมเอง จนถึงตอนนี้ ได้พิสูจน์ตัวเองมาหลายอย่างแล้วครับ แต่เหนื่อยมากครับ ยกตัวอย่างนะครับ ในอดีตตอนผมผ่านสังคมในวัยรุ่นมา ผมเคยเจอเรื่องอะไรที่โดนดูถูกทั้งที่ยังไม่ได้ให้ทำอะไร โดนลืมอยู่บ่อยๆ จากภาพลักษณ์ภายนอกที่ธรรมดา เก้งก้าง หน้าตาไม่ได้ดีเท่าไหร่ ทำให้แทนที่ผมจะสามารถโฟกัสไปที่ความสามารถอะไรได้อย่างเต็มที่ ผมกลับต้องเผื่อเวลามาทำอะไรเพื่อปิดจุดบอดตัวเองอยู่เสมอ ( บางคนอาจไม่มีผล แต่ผมยอมไม่ได้จริงๆ )
ซึ่งผมก็ทำได้ในระดับหนึ่ง สร้างผลงานเอาไว้ก็จริง แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้อยู่ดี เพราะเป็นคนไม่ค่อยมีจุดเด่น.... ต่างจากเพื่อนที่หน้าตาดี ที่ทำตัวไม่ดีกับคนอื่นด้วยซ้ำ แต่เพือนๆก็ยังจดจำได้ และทำดีกับมันตลอด..
ต่อมาพออยู่ในระดับอุดมศึกษา ผมมุ่งมั่นมากๆ ผมทำกิจกรรมทุกอย่าง ผมตั้งเป้าหมายจะเป็น ประธานมหาวิทยาลัย ให้ได้ตั้งแต่เข้ามาเรียน หรือเรียกง่ายๆว่าเป็น someone ที่คนรู้จัก โดยที่การเรียนห้ามเสีย กิจกรรมต้องดี เพื่อสร้างโปรไฟล์ให้ตัวเอง และทำให้คนที่เคยดูถูกเรามาก่อนต้องได้เห็นวันที่ผมสำเร็จ ซึ่งผมก็ทำได้ครับ ได้ทำหน้าที่นี้อยู่ราวๆ 2 ปี ......
ซึ่งระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ช่วงแรกๆก็ลำบากมาก คนไม่ค่อยเชื่อถือ ทำให้ผมต้องพิสูจน์ และลงมือทำมากกว่าคนอื่น ( คนที่ทำหน้าที่รองๆลงมาจากผม บางคนหน้าตาดีมาก เวลาประชุมรวม ผมลองบอกให้พูดเรื่องนี้แทนผม คนก็เชื่อถือ แทบไม่ต้องประชุมต่อ เซ็งครับ ฮ่าๆ )
พอมาอยู่ในวัยทำงาน ผมก็เจอปัญหาลักษณะนี้อีก ผมเตรียมเนื้อหางาน present แต่พอถึงเวลาให้พูด ผู้ใหญ่ดันให้อีกคนที่ดูดีกว่า เป็นคนพูด ทั้งที่ผมเป็นคนรู้เนื้อหา และเข้าใจงานทั้งหมดด้วยซ้ำ ผมสังเกตมาหลายครั้งอีกเรื่องคือคนในที่ทำงานส่วนใหญ่ ก็จะชอบให้ความสำคัญกับคนหน้าตาดีกว่าเสมอ อย่างเรื่องงาน การชื่นชม การพูดคุยจะดีมาก เรื่องความสามารถดีไม่ดีเอาไว้ก่อน
เรื่องการลงทุน หลังจากทำงานได้พักนึง ผมก็ศึกษาการลงทุนอย่างหนัก และหาเงินในทุกๆช่องทาง อดออมอย่างมาก เอามาลงทุนในหุ้น รายได้ผมค่อนข้างสูงทีเดียว ถ้าเทียบกับอายุ แต่ไม่ได้บอกเพื่อนคนไหน พอผมลองถามข้อคิดเห็นเรื่องหุ้นจากเพื่อนที่ลงทุนมาก่อนคนหนึ่ง เพื่อนคนนั้นพูดกับผมอย่างดูถูก เหมือนกับ ดูท่าทางผมไม่รู้อะไรเลย มันไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าพอร์ทผมใหญ่กว่าหลายเท่า
และล่าสุด ในการใช้ชีวิตทั่วไป ผมเคยมีเพื่อน รวมถึงผู้หญิงที่เคยเดท บอกกับผมว่า ถ้าไม่ได้คุยกับผม จะไม่รู้เลยว่าผมอัธยาศัยดี และคุยสนุก ผมก็รับคำชมได้ไม่เต็มปาก เพราะแสดงว่าภาพลักษณ์ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมเล่นกีฬา ชอบออกกำลัง เพื่อนที่รู้จักกับผมใหม่ก็บอกผมดูเก้งก้าง ไม่น่าจะเล่นกีฬาด้วยซ้ำ
เห้อ เหนื่อยมากๆครับ ผมบอกตรงๆเลยครับ ผมเชื่อมั่นในความสามารถตัวเอง และจะประสบความสำเร็จได้แน่นอน แต่มันรู้สึกแย่ทุกครั้ง ที่คนมองเราจากภายนอก ถ้าผมเป็นคนดูดี ไม่โทรม ( ผมรักษาความสะอาดมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ แต่ร่างกายผมฮอร์โมนเยอะ จนทำให้หน้ามัน เป็นสิวง่าย) ผมคงจะเจอการปฏิบัติ และการมองจากคนอื่นดีกว่านี้มั้งครับ
แล้วเพื่อนๆพี่ๆ คิดกันอย่างไรบ้างครับ กับเรื่องแบบนี้ เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร กับการที่คนที่หน้าตาดี ดูดี ร่างกายให้มาดี มักจะได้รับการปฏิบัติดีกว่า คนที่ดูไม่ค่อยดี ถึงจะเก่งก็เถอะ?