การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือน ซึ่งขึ้นอยุ่กับสำนักงาน ก.พ.
ตามปกติก็เป็นไปตาม พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน และ กฏ ก.พ.ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือน และหนังสือสั่งการต่างๆ ดูผิวเผินแล้วทุกท่านคงคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร แต่ในความไม่มีอะไร มันก็มีอะไรอยู่เหมือนกัน กล่าวคือโดยปกติแล้วการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการภายในจังหวัด ซึ่งผู้ที่อยู่ในข่ายที่ผุ้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตาม ม.57 จะเป็นผู้พิจารณาออกคำสั่งเลื่อนเงินเดือนให้นั้น ก็มีข้าราชการตั้งแต่ระดับชำนาญการพิเศษ ลงมา และข้าราชการนั้นเป็นข้าราชการสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาคด้วย ซึ่งส่วนราชการฯภูมิภาคที่ว่านี้แต่ละจังหวัดจะมีประมาณ 30-33 หน่วยแล้วแต่ว่าจังหวัดไหนจะมีแค่ไหน ผู้มีหน้าที่เป็นมือเป็นไม้ให้แก่ผุ้ว่าราชการจังหวัด ในการพิจารณาเอกสารความดีความชอบและชงเรื่องในการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการเหล่านั้ ก็คือ กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งสังกัดสำนักงานจังหวัดต่างๆนั้นเอง โดยปกติในระบบของการประเมินปัจจุบัน ว่ากันตั้งแต่ต้นรอบการประเมินเลยก็คือ ประมาณเดือน พฤษภาคม และ ตุลาคม ของแต่ละปี หัวหน้าส่วนราชการฯภูมิภาค ก็ต้องทำความตกลงกับลูกน้องตัวเองว่าจะประเมินโดยใช้ตัวชี้วัดอะไรบ้างประมาณ 4-7 ตัว แล้วมีการลงนามกันไว้ ซึ่งในส่วนนี้เรียกว่าการประเมินผลสัมฤทธิ์ ซึ่งคะแนนในส่วนนี้ก็อยู่ที่ร้อยละ 70 อีกส่วนหนึ่งก็คือการประเมินขีดสมรรถนะ ซึ่งในส่วนนี้จะต้องมีการประเมินผลแบบ 360 องศา คำว่าประเมินแบบ 360 องศาก็คือมีการประเมินรอบตัว เพื่อนร่วมงานประเมินกัน เจ้านายประเมินลูกน้อง ลูกน้องประเมินเจ้านาย ผุ้มาใช้บริการไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการหรือประชาชน แล้วแต่จะเลือก ก็ประเมินข้าราชการ คะแนนในส่วนนี้ ร้อยละ 30 เมื่อถึงเวลาใกล้จะสิ้นรอบประเมิน ก็จะมีการสั่งให้จัดส่งเอกสาร ในการประเมินทั้งสองแบบ แล้วกลุ่มบริหารทรัพยากรบุคคล(ในฐานะที่เป็นส่วนราชการภูมิภาค 1 หน่วย) หรือ กลุ่มการเจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยก็จะนำแบบเหล่านี้มาคิดคำนวณ ว่าข้าราชการแต่ละคนนั้น ใน 100 คะแนน จะได้คะแนนสักเท่าไร เรียงลำดับลดหลั่นกันลงมา ทีนี้พอจังหวัด(โดยกลุ่มบริหารทรัพยากรบุคคล ในอีกฐานะหนึ่งในอำนาจผุ้ว่าฯ) ซึ่งจะรวบรวมเงินเดือนของข้าราชการสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาคทั้งหมดแล้วนำมาคิดเงินร้อยละ 3 เพื่อใช้สำหรับเลื่อนเงินเดือนข้าราชการทั้ง 30 หน่วย แล้วก็ทำบัญชีแจกจ่ายโควต้าให้แก่ส่วนราชการต่างๆไป (การจัดสรรโควต้า ดำเนินการตามการประเมินผลในแบบต่างๆซึ่งจังหวัดได้ประกาศไว้) พูดมาตั้งมากมาย ดูเหมือนว่ามันก็ปกติยังไม่มีอะไรใช่หรือไม่ครับ แต่ต่อไปนี้ก็ลังจะเป็นประเด็น ก็คือ เมื่อได้แจกจ่ายโควต้าออกไป จะมีการหักเงินส่วนหนึ่งไว้ในอำนาจ ผุ้ว่าฯ เมือแถมให้กับหน่วยงานที่มีผลการทำงานดีเด่นกว่าหน่วยอื่น จึงกลายเป็นว่า มีการจัดสรรโควต้าเงินเดือนให้แก่ส่วนราชการสองรอบ ซึ่งในส่วนนี้ผมเองก็ไม่เห็นว่าจะผิดอะไร จริงๆแล้วมันก็ไม่ผิด แต่ที่เห็นจะผิดก็จะเป็นเรื่องต่อไปนี้ครับ คือเมื่อส่วนราชการได้รับโควต้ารอบแรกไปแล้วก็นำยอดเงินไปคิดคำนวนเงินที่จะเลื่อนให้ข้าราชการตามที่ได้มีการคิดคะแนนกันไว้แล้วในตอนต้น เช่น ได้รับโควต้ามา 5,000 บาท ก็ไป คิดบวกลบคุณหาร ให้ข้าราชการตามผลการประเมิน แต่ละคนก็มีสิทธิรับเงินเพิ่มในแต่ละรอบการประเมินนั้น ไม่เกินร้อยละ 6 แต่จริงๆที่ได้กันก็อยู่ที่ 3-4 ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรอยู่ดี แต่พอมาถึงโควต้าเงินรอบสองนี้น่ะสิครับ มีส่วนราชการเรียกได้ว่าเยอะทีเดียวที่จะพลาดในส่วนนี้ คือ ไปเข้าใจว่าเหมือนระบบขั้นเงินเดือนสมัยก่อน ที่ให้สองขั้นได้ หัวหน้าส่วนราชการ ก็จะไปสั่งการหรือพูดง่ายๆจิ้มให้เลย ว่าจะให้นาย ก. นาย ข. เพิ่มเท่าไร ตรงนี้ที่พลาดกันมาก และถ้ามีการร้องเรียนขึ้นมาคราใด ก็ตายเรียบทุกครั้ง เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะว่า การเมินระบบใหม่ ประเมินด้วยผลคะแนนการประเมิน และไม่มีระบบตามที่จะให้เป็นกรณีพิเศษเหมือนเมือก่อนแล้วน่ะสิครับ เพราะฉนั้นการที่ส่วนราชการได้รับการจัดสรรเงินโควต้ารอบสองมา จะต้องนำไปคิดอัตราส่วนของเงินร้อยเปอร์เซ็นต์ จากอัตราส่วนเดิมที่ได้เคยให้ไว้แล้ว เช่น ได้เพิ่มมา 500 บาท จะต้องเอา 500 บาทมาคิดเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แบ่งให้แต่ละคนตามอัตราส่วนที่ได้ประเมินคะแนนไว้ บวกเข้าไปกับของเดิมรอบแรก ไม่ใช่เอาไปให้คนใดคนหนึ่ง หรือหลายคน แต่ไม่ครบทุกคนแบบนี้ และอีกประการหนึ่งหาเมื่อใดข้าราชการได้รับโควต้าพิเศษการป้องกันแก่ไขปัญายาเสพติดมาเพิ่ม หัวหน้าส่วนราชการจะไปบอกว่า ให้ไม่ได้แล้ว มันก็ไม่ถูกต้องอีก เพราะไม่เหมือนระบบเดิมที่มีสองขั้นกรณีพิเศษ ถ้าเป็นของเก่านั้นเมื่อได้สองขั้นแล้วจะมาเอาโควต้ายาเสพติดอีกไม่ได้ แต่ระบบปัจจุบันไม่ใช่อย่างนั้น ก็คือข้าราชการจะได้โควต้าพิเศษอะไรมาก็แล้วแต่ ถ้าในแต่ละรอบยังได้ไม่เกินร้อยละ 6 ก็ถือว่าถูกต้อง ไม่ได้ผิดอะไร เพราะฉนั้น หัวหน้าส่วนราชการบางรายยังติดกับระบบเก่า พอลูกน้องบอกได้โควต้ายาเสพติดบอกจะไม่ให้ เพราะคิดว่า จะได้กรณีพิเศษซ้ำซ้อน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด ถ้ามีการร้องเรียนฟ้องร้องกันขึ้น หัวหน้าส่วนราชการนั้น ก็มีหวังว่างานจะเข้าเอาครับ ...... ก็มาเล่าสูกันฟังเพียงเท่านี้ครับ
การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการ ของจังหวัดต่างๆทำถูกแล้วหรือไม่
ตามปกติก็เป็นไปตาม พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน และ กฏ ก.พ.ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือน และหนังสือสั่งการต่างๆ ดูผิวเผินแล้วทุกท่านคงคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร แต่ในความไม่มีอะไร มันก็มีอะไรอยู่เหมือนกัน กล่าวคือโดยปกติแล้วการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการภายในจังหวัด ซึ่งผู้ที่อยู่ในข่ายที่ผุ้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตาม ม.57 จะเป็นผู้พิจารณาออกคำสั่งเลื่อนเงินเดือนให้นั้น ก็มีข้าราชการตั้งแต่ระดับชำนาญการพิเศษ ลงมา และข้าราชการนั้นเป็นข้าราชการสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาคด้วย ซึ่งส่วนราชการฯภูมิภาคที่ว่านี้แต่ละจังหวัดจะมีประมาณ 30-33 หน่วยแล้วแต่ว่าจังหวัดไหนจะมีแค่ไหน ผู้มีหน้าที่เป็นมือเป็นไม้ให้แก่ผุ้ว่าราชการจังหวัด ในการพิจารณาเอกสารความดีความชอบและชงเรื่องในการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการเหล่านั้ ก็คือ กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งสังกัดสำนักงานจังหวัดต่างๆนั้นเอง โดยปกติในระบบของการประเมินปัจจุบัน ว่ากันตั้งแต่ต้นรอบการประเมินเลยก็คือ ประมาณเดือน พฤษภาคม และ ตุลาคม ของแต่ละปี หัวหน้าส่วนราชการฯภูมิภาค ก็ต้องทำความตกลงกับลูกน้องตัวเองว่าจะประเมินโดยใช้ตัวชี้วัดอะไรบ้างประมาณ 4-7 ตัว แล้วมีการลงนามกันไว้ ซึ่งในส่วนนี้เรียกว่าการประเมินผลสัมฤทธิ์ ซึ่งคะแนนในส่วนนี้ก็อยู่ที่ร้อยละ 70 อีกส่วนหนึ่งก็คือการประเมินขีดสมรรถนะ ซึ่งในส่วนนี้จะต้องมีการประเมินผลแบบ 360 องศา คำว่าประเมินแบบ 360 องศาก็คือมีการประเมินรอบตัว เพื่อนร่วมงานประเมินกัน เจ้านายประเมินลูกน้อง ลูกน้องประเมินเจ้านาย ผุ้มาใช้บริการไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการหรือประชาชน แล้วแต่จะเลือก ก็ประเมินข้าราชการ คะแนนในส่วนนี้ ร้อยละ 30 เมื่อถึงเวลาใกล้จะสิ้นรอบประเมิน ก็จะมีการสั่งให้จัดส่งเอกสาร ในการประเมินทั้งสองแบบ แล้วกลุ่มบริหารทรัพยากรบุคคล(ในฐานะที่เป็นส่วนราชการภูมิภาค 1 หน่วย) หรือ กลุ่มการเจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยก็จะนำแบบเหล่านี้มาคิดคำนวณ ว่าข้าราชการแต่ละคนนั้น ใน 100 คะแนน จะได้คะแนนสักเท่าไร เรียงลำดับลดหลั่นกันลงมา ทีนี้พอจังหวัด(โดยกลุ่มบริหารทรัพยากรบุคคล ในอีกฐานะหนึ่งในอำนาจผุ้ว่าฯ) ซึ่งจะรวบรวมเงินเดือนของข้าราชการสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาคทั้งหมดแล้วนำมาคิดเงินร้อยละ 3 เพื่อใช้สำหรับเลื่อนเงินเดือนข้าราชการทั้ง 30 หน่วย แล้วก็ทำบัญชีแจกจ่ายโควต้าให้แก่ส่วนราชการต่างๆไป (การจัดสรรโควต้า ดำเนินการตามการประเมินผลในแบบต่างๆซึ่งจังหวัดได้ประกาศไว้) พูดมาตั้งมากมาย ดูเหมือนว่ามันก็ปกติยังไม่มีอะไรใช่หรือไม่ครับ แต่ต่อไปนี้ก็ลังจะเป็นประเด็น ก็คือ เมื่อได้แจกจ่ายโควต้าออกไป จะมีการหักเงินส่วนหนึ่งไว้ในอำนาจ ผุ้ว่าฯ เมือแถมให้กับหน่วยงานที่มีผลการทำงานดีเด่นกว่าหน่วยอื่น จึงกลายเป็นว่า มีการจัดสรรโควต้าเงินเดือนให้แก่ส่วนราชการสองรอบ ซึ่งในส่วนนี้ผมเองก็ไม่เห็นว่าจะผิดอะไร จริงๆแล้วมันก็ไม่ผิด แต่ที่เห็นจะผิดก็จะเป็นเรื่องต่อไปนี้ครับ คือเมื่อส่วนราชการได้รับโควต้ารอบแรกไปแล้วก็นำยอดเงินไปคิดคำนวนเงินที่จะเลื่อนให้ข้าราชการตามที่ได้มีการคิดคะแนนกันไว้แล้วในตอนต้น เช่น ได้รับโควต้ามา 5,000 บาท ก็ไป คิดบวกลบคุณหาร ให้ข้าราชการตามผลการประเมิน แต่ละคนก็มีสิทธิรับเงินเพิ่มในแต่ละรอบการประเมินนั้น ไม่เกินร้อยละ 6 แต่จริงๆที่ได้กันก็อยู่ที่ 3-4 ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรอยู่ดี แต่พอมาถึงโควต้าเงินรอบสองนี้น่ะสิครับ มีส่วนราชการเรียกได้ว่าเยอะทีเดียวที่จะพลาดในส่วนนี้ คือ ไปเข้าใจว่าเหมือนระบบขั้นเงินเดือนสมัยก่อน ที่ให้สองขั้นได้ หัวหน้าส่วนราชการ ก็จะไปสั่งการหรือพูดง่ายๆจิ้มให้เลย ว่าจะให้นาย ก. นาย ข. เพิ่มเท่าไร ตรงนี้ที่พลาดกันมาก และถ้ามีการร้องเรียนขึ้นมาคราใด ก็ตายเรียบทุกครั้ง เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะว่า การเมินระบบใหม่ ประเมินด้วยผลคะแนนการประเมิน และไม่มีระบบตามที่จะให้เป็นกรณีพิเศษเหมือนเมือก่อนแล้วน่ะสิครับ เพราะฉนั้นการที่ส่วนราชการได้รับการจัดสรรเงินโควต้ารอบสองมา จะต้องนำไปคิดอัตราส่วนของเงินร้อยเปอร์เซ็นต์ จากอัตราส่วนเดิมที่ได้เคยให้ไว้แล้ว เช่น ได้เพิ่มมา 500 บาท จะต้องเอา 500 บาทมาคิดเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แบ่งให้แต่ละคนตามอัตราส่วนที่ได้ประเมินคะแนนไว้ บวกเข้าไปกับของเดิมรอบแรก ไม่ใช่เอาไปให้คนใดคนหนึ่ง หรือหลายคน แต่ไม่ครบทุกคนแบบนี้ และอีกประการหนึ่งหาเมื่อใดข้าราชการได้รับโควต้าพิเศษการป้องกันแก่ไขปัญายาเสพติดมาเพิ่ม หัวหน้าส่วนราชการจะไปบอกว่า ให้ไม่ได้แล้ว มันก็ไม่ถูกต้องอีก เพราะไม่เหมือนระบบเดิมที่มีสองขั้นกรณีพิเศษ ถ้าเป็นของเก่านั้นเมื่อได้สองขั้นแล้วจะมาเอาโควต้ายาเสพติดอีกไม่ได้ แต่ระบบปัจจุบันไม่ใช่อย่างนั้น ก็คือข้าราชการจะได้โควต้าพิเศษอะไรมาก็แล้วแต่ ถ้าในแต่ละรอบยังได้ไม่เกินร้อยละ 6 ก็ถือว่าถูกต้อง ไม่ได้ผิดอะไร เพราะฉนั้น หัวหน้าส่วนราชการบางรายยังติดกับระบบเก่า พอลูกน้องบอกได้โควต้ายาเสพติดบอกจะไม่ให้ เพราะคิดว่า จะได้กรณีพิเศษซ้ำซ้อน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด ถ้ามีการร้องเรียนฟ้องร้องกันขึ้น หัวหน้าส่วนราชการนั้น ก็มีหวังว่างานจะเข้าเอาครับ ...... ก็มาเล่าสูกันฟังเพียงเท่านี้ครับ