ปณิธานแห่งรัก ตอนที่ 3

กระทู้สนทนา
ลิ้งค์ ตอนที่ 1   http://pantip.com/topic/35494843
ลิงค์ ตอนที่ 2   http://pantip.com/topic/35502474

ตอนที่ 3 การพบกันอีกครั้ง

        “ฮัลโหล” คุณชลดากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์บ้านที่ดังขึ้นระหว่างที่เธอกำลังนั่งทานข้าวกับสามีคุณอนันต์ และดลยาลูกสาวคนเล็ก

       “สวัสดีครับแม่ ผม นนท์เองนะครับ”

      “นนท์เองหรอลูก หายไปหลายวันเลย แม่ก็รอว่าเมื่อไร่ลูกจะโทรมา เป็นไงบ้างลูกปลอดภัยดีนะจ๊ะ” น้ำเสียงของผู้เป็นแม่บ่งบอกได้ถึงความเป็นห่วงที่มีต่อลูกชายคนกลาง แต่เธอต้องอดทนอดกลั้นเพราะไม่อยากให้ลูกไม่สบายใจ ห่วงหน้าพวงหลัง ในเมื่อลูกเลือกแล้วที่จะทำเพื่อชาติเธอจึงต้องสนับสนุนเขาให้ถึงที่สุด  แม้ว่าจะอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ก็ตาม

      “พอดียุ่ง ๆ น่ะครับแม่ เลยไม่ได้โทรหาแม่หลายวัน  แม่ครับผมจะได้ย้ายขึ้นเหนือนะครับต้นเดือนหน้านี้”

      “จริงหรอลูก แม่ว่าก็ดีนะ แล้วลูกจะกลับมาบ้านเมื่อไรล่ะ แม่จะได้เตรียมของชอบให้”คุณชลดาดีใจมากที่ลูกชายจะได้ย้ายจากพื้นที่สีแดงที่แสนอันตรายในความคิดของเธอเสียที  แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ไม่อยากให้ลูกรู้ว่าเธอกังวลใจเป็นห่างเขามากตอนที่อยู่ในพื้นที่สีแดง  แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว

      “ผมได้พักหลายวันอยู่ครับ ก็ว่าจะกลับไปอยู่กับแม่ให้หายคิดถึงเลย  แม่เตรียมเหนื่อยทำของชอบผมได้เลยนะครับเพราะผมอยากกินกับข้าวฝีมือแม่มาก ๆ เลยครับ คิดถึงแม่นะครับ” ผู้กองหนุ่มพูดความในใจออกไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดถึงแม่ และทุกคนที่บ้านมาก มาอยู่ที่นี่หลายปี ได้กลับบ้านนาน ๆ ครั้ง  อยู่ยังไม่ทันหายคิดถึงก็ต้องกลับมาทำหน้าที่แล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกดีใจ  ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นี้จริง ๆ

      “จ้า แม่จะรอนะ รับรองว่าลูกจะได้กินของอร่อย ๆ ทุกวันเลย  อ้อ แล้วก็จะมาวันไหน ก็อย่าลืมโทรมาบอกนะ แม่จะได้ให้น้องไปรับที่สนามบิน”

      “ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมไปบ้านเองได้ครับ   แค่นี้ก่อนนะครับแม่   ไว้เจอกันครับ  รักแม่นะครับ สวัสดีครับ”

      “จ้า แม่ก็รักลูก ดูแลตัวเองให้ดีนะ แล้วเจอกันจ๊ะ” คุณชลลดาวางสายด้วยหัวใจพองโต แล้วหันไปบอกกับทุกคนที่รามือจากอาหารตรงหน้ามองมาที่เธอ  ว่าลูกชายจะกลับมาในอีกไม่ช้าทำให้ทุกคนดีใจกันเป็นการใหญ่ แต่ผู้เป็นพ่อก็ยังคงเก็บอาการเอาไว้ไม่แสดงออก แต่ถึงอย่างไรเธอก็รู้ว่าสามีนั้นดีใจมากที่ลูกกลับมา

       หลังจากที่ดารันใช้เวลาอ้อนวอนแม่อยู่นาน   ในที่ก็สุดได้รับอนุญาตให้ไปทำงานครูอาสาบนดอยได้ แต่คุณแม่สุดาของเธอก็ยังไม่วายมีข้อแม้ว่าเธอต้องโทรกลับมารายงานความเป็นอยู่บ่อย ๆ เธอรีบตกปากรับคำเสียดิบดี  และดีใจมากจนรีบโทรไปบอกข่าวดีให้เพื่อนรักรู้ นิชาเองก็ดีใจไม่แพ้กัน เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกของทั้งสองคนที่จะได้ไปเป็นครูดอย ในถิ่นทุรกันดาร แต่ก็เสียใจอยู่นิดเดียวที่ไม่ได้ไปที่เดียวกัน เพราะแต่ละที่จะรับแค่คนเดียว แถมยังอยู่คนละจังหวัดอีกด้วย

        และแล้ววันเดินทางขึ้นเหนือก็มาถึง ดารันตื่นเต้นมาก เธอต้องขึ้นเครื่องบินเพื่อไปลงจังหวัดชียงใหม่และต่อรถจากตัวเมืองไปยังอำเภอเชียงดาว  จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่มารับเพื่อขึ้นไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่อยู่บนดอยไม่มีรถประจำทางผ่าน ดารันใช้เวลาจากตัวเมืองเชียงใหม่มาถึงด่านตรวจที่อำเภอเชียงดาวประมาณ ชั่วโมงกว่า เธอนัดกับเจ้าหน้าที่ที่จะมารับที่ด่าน ประมาณบ่ายสามโมง ซึ่งเธอก็มาถึงราว ๆ นั้น แต่ก็ยังไม่มีใครมารับ เจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่ด่านจึงให้เธอเข้าไปรอข้างในป้อมตำรวจที่อยู่ริมถนน  

       ป้อมตำรวจที่นี้ค่อนข้างใหญ่ เพราะที่นี่เป็นด่านที่มีทั้งตำรวจ และทหาร อยู่รวมกัน  ด้านนอกยังมีเต้นท์ที่เจ้าหน้าที่นั่งประจำอยู่หลายท่าน
ส่วนตรงจุดตรวจก็จะมีเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจตระเวนชายแดนคอยตรวจรถที่สัญจรผ่านไปมา เนื่องจากเส้นทางนี้มักเป็นเส้นทางที่ใช้คนส่งของผิดกฏหมายจากทางเหนือลงไปขายทั่วประเทศไทย จึงต้องมีการตั้งด่านตรวจ และยังสามารถจับกุมคนร้ายได้หลายต่อหลายครั้งมาแล้ว

       ระหว่างรอในป้อมตำรวจ  ซึ่งด้านในจะมีโต๊ะเก้าอี้ทำงานอยู่ สองชุด และมีเก้าอี้ไม้ยาวตัวหนึ่งอยู่ติดฝาผนัง แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย  ดารันเลือกที่จะนั่งที่เก้าอี้ยาวแต่เมื่อเห็นไม่มีใครเธอจึงเอนตัวลงแล้วใช้กระเป๋าหนุนหัว ’ขอพักหน่อยคงไม่ได้นะ เหนื่อยมากเลยวันนี้’ เธอพูดเบา ๆ เหมือนกับขออนุญาตตัวเอง เธอเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ที่ใช้เป็นทั้งผ้าพันคอด้วยออกมาคลุมหน้าเอาไว้เนื่องจากแสงไฟจากหลอดนีออนที่อยู่ตรงหัวเธอพอดีมันจ้ามากจนแสบตา ดารันกะว่าจะพักสายตาสักหน่อยแต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้เธอเผลอหลับไปในที่สุด

       ผู้กองรฐนนท์ย้ายมาอยู่ที่ฐานปฏิบัติการที่อำเภอเชียงดาว  พร้อมกับลูกน้องของเขาอีกหลายคนได้หลายวันแล้ว  วันนี้เขาเข้าต้องไปทำธุระในเมือง เมื่อทำธุระเสร็จก็รีบกลับมารับครูอาสาที่ครูใหญ่โรงเรียนตชด.ฝากให้เขาแวะรับ  แต่ว่าเขามาถึงด่านช้ากว่าเวลานัดเกือบชั่วโมง  เมื่อสอบถามตำรวจที่เฝ้าด่านได้ความว่าคนที่เขามารับนั้น  รออยู่ข้างในป้อมตำรวจ  ผู้กองหนุ่มจึงเปิดประตูเข้าไปด้านในป้อมตำรวจ  พลันสายตาของเขาก็มองเห็นหญิงสาวร่างเล็ก คนหนึ่ง สวมเสื้อยืดกางเกงยืนส์ นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาว โดยมีผ้าเช็ดหน้าคลุมหน้าอยู่  แวบแรกที่เห็น มันทำให้เขานึกถึงหญิงสาวที่เขาเคยทำหน้าที่คุ้มครองในงานวันเด็กที่ยะลา เพราะมีรูปร่างเล็กพอ ๆ กัน   แต่อีกใจก็คิดว่าเธอไม่น่ามาอยู่ที่นี่ได้   ผู้กองหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้เธอ ย่อตัวลงนั่นข้าง ๆ  แต่เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวแต่อย่างใด  เขาจึงแอบเปิดผ้าเช็ดหน้าดู  แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอยากตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นเธอคนนั้นจริง ๆ

        ในขณะที่รฐนนท์กำลังจ้องหน้าดารันด้วยความแปลกใจ  ดารันก็ลืมตาขึ้นมา และร้องด้วยความตกใจที่อยู่ ๆ ก็มีใบหน้าของใครคนหนึ่งมาอยู่ใกล้ ๆ เธอ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ  รฐนนท์รีบปิดปากเธอเพราะกลัวคนอื่นจะได้ยิน เขากำลังจะอธิบายกับเธอว่าเขาเป็นใคร แต่เธอก็ไม่ฟัง กัดมือเขาแล้ววิ่งออกมาหาตำรวจด้านนอก

        “คุณตำรวจคะช่วยด้วยค่ะ ผู้ชายคนนี้เขาจะทำมิดีมิร้ายฉันค่ะ ตอนที่อยู่ด้านในห้องเขาเอามือมาปิดปากฉันด้วย ช่วยด้วยนะคะ” ดารันวิ่งไปหลบอยู่หลังตำรวจที่อยู่ในเต้นท์ โดยมีรฐนนท์วิ่งตามออกมาจากป้อมตำรวจ

        “เข้าใจผิดแล้วล่ะครับ คุณผู้หญิง ผู้ชายคนนี้เขาเป็นตำรวจที่จะมารับคุณไงครับ   เมื่อกี้ผู้กองเขามาถามหาคุณกับผม ผมเลยบอกว่าให้เข้าไปตามคุณในป้อม ไม่ใช่คนร้ายหรอกครับผมรับรองได้” ดารันมองหน้าตำรวจคนที่เธอหลบอยู่ด้านหลังเขาที  หันไปมองคนตัวโตที่เธอเพิ่งวิ่งหนี้มาที

       “ผมเป็นตำรวจจริง ๆ ครับ แต่วันนี้เป็นวันหยุดแล้วผมก็พึ่งเข้าไปทำธุระในเมืองก็เลยแต่งตัวแบบนี้” ดารันมองสำรวจคนที่อยู่ตรงหน้าอีกที
เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มด้านในเป็นเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยืนส์

       “เมื่อกี้ผมก็แค่จะเรียกคุณให้ตื่นจะได้เดินทางต่อ แต่พอคุณลืมตาขึ้นมา คุณก็โวยวายซะก่อนผมเลยต้องเอามือปิดปากคุณไว้คุณก็ดันมากัดมือผมเนี่ย  นี่ถ้าผมจะทำอะไรคุณนะคุณไม่รอดมากล่าวหาผมแบบนี้ได้หรอกครับ”ผู้กองหนุ่มอธิบายเหมือนระบายความโกรธที่มีต่อหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้า พร้อมกับสะบัดมือที่มีรอยแดงจากการที่ถูกกัดไปมาเพราะยังคงรู้สึกเจ็บอยู่

       “เอาเป็นว่า ฉัน ....ฉันขอโทษละกันค่ะ ที่เข้าใจคุณผิด แล้วก็ที่ฉันกัดคุณน่ะ” ดารันออกมาจากด้านหลังของตำรวจที่เธอใช้เป็นที่กำบัง “งั้น....ฉันไปเอาของก่อนนะคะ” เธอพูดพร้อมกับเดินเข้าไปเอากระเป๋าด้านในป้อม ‘ดารัน นะ ดารัน เอาอีกแล้ว อายเค้าไหมล่ะ หะ! ทีนี้’ ขณะเดินผ่านเขาคนที่เธอคิดว่าเป็นคนร้าย เธอก็ก้มหน้าไม่ยอมมองหน้าเขาเพราะเธอรู้สึกอายที่ตัวเองทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมต่อหน้าทุกคน แต่รฐนนท์กลับมองตามหญิงสาวไปด้วยแววตาขบขันริมฝีปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ‘เห็นตัวเล็ก ๆ แต่ฤทธิ์เยอะจริง ๆ ‘ จากนั้นเขาก็เดินกลับไปรอเธอที่รถ

       ทั้งสองคน ออกจากด่านตรวจก็เป็นเวลา เย็นแล้ว รฐนนท์แอบเหลือบมองดารันอยู่ตลอด และคิดว่าดารันคงจำเขาไม่ได้เพราะถ้าจำได้เธอคงพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ยะลาแล้ว เขาจึงทำเฉยเสีย ดารันเองก็แอบมองผู้กองหนุ่มเช่นกัน และรู้สึกคุ้น ๆ กับน้ำเสียงและท่าทางของเขาอย่างบอกไม่ถูก

        “คุณอยู่ที่นี่มานานรึยังคะ เอ่อ....คุณชื่ออะไรนะคะ ” ดารันถามออกไปเพื่อหาเรื่องคุยเธอจะได้ไม่เกรงเวลาที่ต้องอยู่กับเขา สองคนแบบนี้ เธอแอบมองเขาจากทางด้านข้าง จริง ๆ แล้วเขาก็ถือว่าหน้าตาดีเลยทีเดียว ดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน รูปร่างสูง ‘นี่ถ้าถอดเสื้อไม่รู้ว่าจะมีซิกแพคไหมน้า’ ดารันแอบคิดในใจ แต่จะว่าไปเธอก็รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นเขามาก่อน และยังทำให้นึกถึงนายตำรวจหนุ่มที่ปฏิบัติงานอยู่ชายแดนใต้คนนั้นอีกด้วย

         “เรียกผมว่า นนท์ ก็ได้ครับ ผมพึ่งย้ายมาที่นี้ได้ไม่นานครับ วันนี้ทำให้คุณตกใจยังไงก็ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
รฐนนท์ไม่ได้บอกชื่อจริงเขาไปเพราะเขายังไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขาคือใคร

                “งั้นฉันเรียกคุณว่าผู้กองนนท์ก็แล้วกันนะคะ เมื่อกี้เห็นตำรวจท่านนั้นเรียกคุณว่าผู้กอง ฉันดารันค่ะ หรือเรียกว่ารันเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ” ดารันแนะนำตัวเองเพราะนึกขึ้นได้ว่าเธอเองก็ยังไม่ได้บอกชื่อเธอเช่นกัน

                “ครับครูรัน” รฐนนท์เลือกที่จะเรียกชื่อเล่นของคนที่นั่นอยู่ข้าง ๆ ดีกว่า

                “อีกนานไหมคะ กว่าจะถึงอะค่ะ” ดารันถามเมื่อเห็นว่าขับรถมานานพอสมควรแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงสักที  ทางที่เข้ามาก็เริ่มจะไม่มีบ้านคนให้เห็นแล้ว สองข้างทางมีแต่ต้นไม้และเป็นทางลาดชัน ขึ้นเขาซะส่วนใหญ่ พื้นถนนก็ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ จนทำให้เธอต้องจับที่จับที่อยู่ด้านบนศีรษะของเธอเอาไว้แน่น  รถที่ทั้งคู่นั่งมาเป็นรถกระบะ โฟวิลสีดำ ซึ่งเป็นรถส่วนตัวของผู้กอง รฐนนท์ที่นำมาใช้ทั้งเรื่องส่วนตัวและในงานด้วยเหมือนดังเช่นตอนอยู่ใต้

           “อีกไกลอยู่ครับราว ๆ ชั่วโมงหนึ่ง แต่ทางก็จะเป็นแบบนี้ล่ะครับ ลำบากหน่อยนะครับ” รฐนนท์พูดพร้อมกับหันหน้าไปมองคนตัวเล็กทีอยู่ซ้ายมือ ที่ดูท่าจะกระเด็นกระดอนไปตามรถเสียแล้วตอนนี้  หลังจากที่จากกันที่ยะลาเขาก็ยังคงคิดถึงเธอ ยิ่งเมื่อเห็นนาฬิกาที่เธอให้เขาไว้  ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้  รู้แต่ว่าเขาคิดถึงเธอ   แล้ววันนี้เธอก็กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริง ๆ

        “โอ๊ะ .....ระวังครับ” ผู้กองหนุ่มรองเสียงดัง พร้อมกับกางแขนซ้ายออกไปโดยอัตโนมัติ เพื่อกันไม่ให้ดารันกระแทกกับคอนโซลรถ ขณะที่เขาเหยียบเบรก เพราะมีบางสิ่งขวางอยู่ด้านหน้า

        “อะไรคะ เกิดอะไรขึ้นคะ”ดารันถามด้วยความตกใจ ขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ข้างทางอยู่ รถก็เบรกกะทันหัน  นี่ถ้าเขาช่วยเธอคงได้หัวทิ่มเป็นแน่เพราะเธอลืมรัดเข็มขัดตอนขึ้นมานั่งรถเพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยอยู่

        “คุณไม่เป็นไรนะครับ” รฐนนท์หันมาถามดารันเมื่อรถจอดสนิทแล้ว  พอเห็นเธอพยักหน้า เขาก็รู้สึกโล่งอก

         “มีหินถล่ม น่ะครับ คงเพราะฝนตกมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่เยอะเท่าไร่  ผมจะลงไปเคลียร์คุณรออยู่บนรถแล้วกันนะครับ ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย”  รฐนนท์เปิดประตูรถลงไปดูเห็นวามีหินขวางทางอยู่ไม่มากเขาจึงรีบขนย้ายเข้าข้างทาง ดารันตัดสินใจลงมาช่วยเขา เธอจะเอาเปรียบให้เขาลำบากอยู่คนเดียวได้อย่างไรกัน แล้วจะได้แสดงให้เขาเห็นด้วยว่าเธอเองก็เป็นคนมีน้ำใจเหมือนกัน

         “ไม่ต้องช่วยหรอครับ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ลำบากคุณเปล่า ๆ “รฐนนท์พูดเมื่อเห็นหญิงสาวลงมาช่วยเก็บเศษหินเข้าข้างทาง แต่ก็แอบดีใจที่เธอมีช่วยเขา

         “ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงเราก็มาด้วยกัน เจออะไรก็ต้องช่วยกันถึงจะถูกจริงไหมคะ อีกอย่างฉันก็เริ่มหิวแล้วล่ะค่ะ ช่วยกันสองคนจะได้เสร็จเร็ว ๆ แล้วก็จะได้ไปถึงเร็ว ๆ ยังไงล่ะคะ” ดารันพูดไปตามความรู้สึก เพราะตอนนี้เธอเริ่มหิวขึ้นมาแล้วจริง ๆ นี่ก็เย็นมากแล้วด้วยขืนนานไปอาจจะค่ำเสียก่อนก็ได้ ทั้งคู่จึงช่วยกัน ไม่นานก็สามารถขับรถผ่านไปได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่