ตอนที่ 2 งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันหน้าตื่นเต้นเมื่อช่วงเย็น คณะของครูแล้วก็พักค้างคืนอยู่ที่โรงเรียนตามกำหนดเดิม และจะกลับในวันพรุ่งนี้เช้า ดารันสังเกตเห็นสีหน้าของแต่ละคนไม่ค่อยสู้ดีนัก คงเพราะตกใจกับเรื่องระเบิด แต่ก็โชคดีที่ไม่มีใครในนี้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนชาวบ้านเด็ก ๆ และเจ้าหน้าที่ ได้รับบาดเจ็บกันหลายคนแต่ไม่มีใครเสียชีวิต เมื่อทานข้าวเสร็จ ทุกคนต่างพากันเข้านอนแต่หัวค่ำ ดารันเห็นตำรวจพลร่มที่มาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย เดินอยู่แถวบริเวณชั้นล่างของอาคารที่ใช้เป็นที่พักค้างคืนกันในคืนนี้ จึงขออนุญาตครูแก้วลงไปด้านล่างเพราะอยากไปขอบคุณ คน ๆ หนึ่ง ที่ช่วยเธอเอาไว้ซึ่งครูแก้วก็อนุญาตให้ไป
“ขอโทษนะคะ เอ่อ....ไม่ทราบว่าผู้กองรฐนนท์อยู่ไหนคะ ” ดารันถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังยืนเฝ้าระวัง ในบริเวณนั้นอยู่ เขาหันมามองเธอเหมือนจะส่งคำถามทางสายตาว่า ‘ถามหาผู้กองทำไม?’
“คือว่า ฉันอยากจะขอบคุณผู้กองเรื่องที่ช่วยฉันไว้เมื่อตอนเย็นน่ะค่ะ ฉันเป็นครูที่มากับคณะของครูแก้วค่ะ ชื่อดารัน” เธอรายงานตัวให้ตำรวจฟังเสียเลย เขาจะได้ไม่ต้องถามต่อ
“อ๋อ ผู้กองไม่มาครับ คืนนี้อยู่ที่ฐาน จะมาเปลี่ยนเวรกันอีกทีช่วงเช้าครับผม หากคุณต้องการพบผู้กองพรุ่งนี้ตอนเจอแกผมจะบอกให้นะครับ แกจะได้ไปพบคุณ” นายตำรวจหนุ่มรีบบอกกับดารัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องบอกผู้กองก็ได้ค่ะ เอาไว้ฉันค่อยมาพบผู้กองเองดีกว่าค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ไม่รบกวนแล้วค่ะ “ ดารันเดินขึ้นไปยังชั้น 2 เพื่อเข้านอน แต่ใจก็ยังคงนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ ซึ่งเธอไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอในชีวิตนี้เลย และก็ยังวกไปถึงตัวของผู้กองหนุ่มคนที่ช่วยเหลือเธอ จนเธอหลับไปในที่สุด
“ครูรันคะ ครูรัน ตื่นได้แล้วค่ะ”เสียงครูวิปลุกให้คนนอน ขี้เซาตื่น ดารันหรี่ตาขึ้นมามองแต่ไม่ยอมลุกจากที่นอน
“อือ....ยังมืดอยู่เลยจะรีบปลุกรันทำไมคะแม่” ดารันพูดเสียงแหบอยู่ในคอ ครูวิที่ได้ฟังหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมดึงมือดารันให้ลุกขึ้น
“ตื่นเถอะค่ะ นี่ไม่ใช่บ้านครูรันนะคะ แล้ววิก็ไม่ใช่คุณแม่ด้วย ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วค่ะ เดี่ยวเราต้องรีบเดินทางกลับกรุงเทพฯ กันอีกนะ” พอได้ยินคำว่ากรุงเทพ ฯ ดารันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ที่ยะลา เธอรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวขอโทษขอโพยครูวิเป็นการใหญ่ ที่ต้องทำให้เสียเวลามาปลุกคนขี้เซาอย่างเธอ
เมื่อทุกคนทำธุระส่วนตัวเสร็จ ทานข้าวกันอิ่มเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทาง ซึ่งจะมีชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยเดินทางไปส่งจนพ้นเขตพื้นที่สีแดง ดารันเห็นผู้กองรฐนนท์ยืนอยู่ด้านหน้าตำรวจพลร่มอีกหลายนายที่กำลังเข้าแถวเรียงหน้ากระดาน เขาคงจะสั่งงานพวกลูกทีมอยู่ สักพักก็เห็นทำความเคารพและเลิกแถว วันนี้เขาแต่งตัวเหมือนกับเมื่อวาน ซึ่งทำให้เธอไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาอีกเช่นเคย
“สวัสดีค่ะ ผู้กองคะ ขอเวลาฉันแป๊ปนึงได้ไหมคะ” ดารันถามเขา หลังจากที่เดินมาหยุดยืนด้านหลังของผู้กองหนุ่ม เขาหันมามองเธอพร้อมกับกล่าวทักทาย “สวัสดีครับ ... เชิญครับ”
“คือ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันเมื่อวานออ แล้วก็อีกอย่าง ฉันมีของอยากจะให้ผู้กองค่ะ จริง ๆ มันก็ไม่ได้มีค่าอะไรนะคะ แต่ว่าฉันอยากขอบคุณที่ผู้กองเรื่องเมื่อวานน่ะค่ะ” เธอยื่นของสิ่งนั้นให้เขาและเขาก็ยื่นมือออกมารับมันเอาไว้พร้อมกับจ้องมองของสิ่งนั้นอย่างสำรวจตรวจตรา
“มันคือนาฬิกาพกของฉันเองค่ะ เอาไว้ห้อยพวงกุญแจหรือกระเป๋าก็ได้นะ มันมีเข็มทิศด้านหลังด้วย อาจจะมีประโยชน์กับคุณเวลาเดินทางก็ได้นะคะ ฉันมักจะพกมันติดตัวตลอด ถือเป็นเครื่องรางนำโชคอย่างหนึ่งของฉันเลยนะคะเนี่ย คุณเชื่อไหมเวลาที่ฉันลืมพกไปด้วย ฉันมักจะโชคร้ายเลยล่ะ จากผลการจดสถิติของฉันนะคะ ฉันให้คุณเป็นที่ระลึกค่ะ” ดารันพูดยาวเหยียด เธอคิดทั้งคืนว่าจะเอาอะไรให้เขาเป็นที่ระลึกดี ของที่เธอมีติดตัวมาก็เห็นจะมีแต่เจ้านาฬิกานี่เท่านั้นที่พอจะเข้าท่าหน่อย เผื่อบางทีเขาดูเวลาจากนาฬิกาเรือนนี้แล้วอาจจะนึกถึงเธอบ้างก็ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ถึงกับจดสถิตเลยหรอครับ ถ้ามันเป็นเครื่องรางนำโชคของคุณ คุณเอามาให้ผม คุณก็อาจจะโชคร้ายน่ะสิครับ “ รฐนนท์หัวเราะและแกล้งถามเหมือนจะหยอกดารันเล่น เขารู้สึกว่าเวลาที่เธอพูดท่าทางและน้ำเสียงเธอมันทำให้เขารู้สึกดี และอยากฟังเธอพูดไปเรื่อย ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ได้เสี่ยงอันตรายมากแบบคุณ ดังนั้นโอกาสโชคร้ายของฉันเลยมีน้อยกว่าคุณ ถูกไหมคะ เพราะฉะนั้นรับไว้เถอะค่ะ ฉันอยากให้คุณจริง ๆ นะคะ” ดารันจ้องไปที่ตาของรฐนนท์เพราะรู้ว่าเขากำลังจ้องตาเธออยู่เช่นกัน ถ้าหากไม่มีแว่นกันสะเก็ดกระสุนสีดำสนิทอันนั้น ทั้งคู่คงได้สบตากันเป็นครั้งแรกแน่
“ครับ ผมจะรับไว้ แต่คงไม่มีเวลาจดสถิติหรอกนะครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณมากครับ” รฐนนท์เก็บนาฬิกาเรือนนั้นไว้ในกระเป๋ากางเกง แต่ก็ยังไม่วายแซวดารัน พร้อมกับยิ้มที่มุมปากเหมือนที่เขามักทำอยู่บ่อย ๆ
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ นี่คุณ..แอบแซวฉันหรอคะ ร้ายนะเนี่ย” ดารันแอบค้อนผู้กองหนุ่มเมื่อรู้ตัวว่าถูกแซว
“เป็นไงบ้างครับเมื่อคืนนอนหลับกันได้ไหมครับ” รฐนนท์เปลี่ยนเรื่อง
“คนอื่นไม่รู้นะคะ แต่สำหรับฉัน กว่าจะหลับได้ก็เกือบเช้าแล้วล่ะค่ะ ก็มัวแต่คิด ....เออ...คิดเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ แล้วอีกอย่างคงผิดที่เลยนอนไม่ค่อยหลับ” ดา รันรีบเบรกปากตัวเอง ‘เกือบไปแล้ว เกือบบอกไปแล้วว่าที่นอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องเขาด้วย’ แล้วเธอก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“อ้อ จริงสิ ฉันเห็นคุณทำงานที่นี่มานาน แล้วก็เสี่ยงอันตรายมากๆ คุณไม่กลัวบ้างเหรอคะ เมื่อวานนี้ฉันเห็นคุณไม่ค่อยตกใจเลย ฉันสิกลัวแทบตาย แล้วพวกเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนในพื้นที่ด้วยนี่คะ ไม่คิดถึงบ้านกันบ้างหรอคะ”
“ถ้าถามว่ากลัวไหม ต้องบอกเลยว่ากลัวครับ ถึงผมจะเจอเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราชินหรือเลิกกลัวได้หรอกครับ ทุกคนก็กลัวตายด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าคิดดูดี ๆ ทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้วถูกไหมครับ สำหรับผมถ้าจะตายทั้งทีของตายเพื่อชาติบ้านเมืองดีกว่าครับ ผมจะไม่เสียใจเลยถ้าผมตายแล้วประเทศชาติคงอยู่ ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่ ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของพลร่ม ค่ายนเรศวร ” ผู้กองหนุ่มพูดความในใจออกมาเหมือนว่าคำถามของคนถาม นั้นถามได้ตรงจุดที่เจ้าตัวอยากจะพูด รฐนนท์มองไปทางเสาธงชาติที่อยู่กลางสนามที่ซึ่งเด็กนักเรียนใช้เป็นที่เคารพธงชาติกันก่อนเข้าเรียน บนยอดเสานั้นมีธงชาติไทยปลิวไสวอยู่
“คุณดูนั่นสิ เห็นธงชาติไทยไหม ถึงที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของพวกผม แต่ที่นี่ก็คือประเทศไทย ไม่ว่าเราอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศไทยมันก็เปรียบเสมือนบ้านของเรา แล้วถ้าบ้านของเราไม่สงบสุขเราจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร เมื่อพวกเรามาที่นี่และได้เห็นความลำบากของชาวบ้าน เด็ก ๆ ที่อยู่ที่นี่ พวกเราจึงตั้งใจว่า จะขอเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือทุกคน ถึงแม้จะทำได้เพียงน้อยนิดแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย” รฐนนท์มองทอดสายตาออกไปยังธงชาติไทยเบื้องหน้า แล้วหันกลับมามองหญิงสาวที่ตั้งคำถามนี้กับเขา
“มันก็จริงอย่างที่คุณพูดนะคะ แต่จะมีสักกี่คนกันที่สามารถทำได้แบบพวกคุณ พวกคุณคือวีระบุรุษที่ทุกคนต้องจดจำค่ะ” ดารันพูดอย่างมุ่งมั่น พร้อมกับสายตาชื่นชมที่มีให้ ‘ฮีโร่’ ของเธอ
“พวกผมไม่ได้อยากเป็นวีระบุรุษหรอกครับ คุณไม่เห็นหรอว่าวีระบุรุษน่ะ มีวันหมออายุนะคุณ เป็นวีระบุรุษแค่เจ็ดวัน แล้วทุกคนก็ลืม ผมขอแค่ได้อยู่ทำหน้าที่รับใช้ชาติ และขอให้ทุกคนในชาติรักกันอยู่กันอย่างสงบสุข พวกผมก็พอใจแล้วล่ะครับ” ผู้กองหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้า แต่สายตาของเขาที่ดารันไม่อาจเห็นกลับบ่งบอกถึงความเจ็บปวด ความเสียใจในอดีตออกมาอย่างเก็บไม่อยู่ เมื่อครั้งที่เคยสูญเสียสหายร่วมรบ ครานั้นมันยังฝังลึกอยู่ในจิตใจจนยากจะลืมเลือนได้ เธอจะรู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนที่เขาจะต้องเป็นคนบอกข่าวร้ายที่สุดให้กับครอบครัวของ ‘วีระบุรษ’ เหล่านั้น คนที่ได้เป็น ‘วีระบุรุษเมื่อตายจาก’ ถึงจะเป็นความภาคภูมิใจของคนในครอบครัว แต่ทุกคนก็ย่อมไม่ต้องการเสียคนที่เรารักไป และแน่นอนว่ามันยอมสร้างความบอบช้ำให้กับคนที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่มีวันลืมเลือน
“ฉันต้องไปก่อนนะคะ ครูแก้วเรียกแล้ว ขอบคุณอีกครั้งค่ะ และก็ .... รักษาตัวด้วยนะคะ ลาก่อนค่ะ” ดารันรีบวิ่งกลับไปหาครูแก้ว เธอวิ่งออกมาได้ 2-3 ก้าว ก็หันกลับไปอีก “คุณคือ ‘ฮีโร่’ ที่มีลมหายใจ ‘ฮีโร่’ ไม่จำเป็นต้องมีพลังวิเศษ พวกคุณต้องทำสำเร็จตามฝันได้สักวัน อย่าท้อนะคะ สู้ ๆ ค่ะ ”
รฐนนท์รับรู้ได้ถึงความหวังดี และกำลังใจที่ดารันส่งผ่านมาให้ มันทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ น่าแปลกที่เธอทำให้รู้สึกเช่นนี้ได้ หลังจากปฏิบัติ ภารกิจเสร็จสิ้นในวันนี้ทุกคนกลับถึงฐานปฏิบัติการกันอย่างปลอดภัย
“มา มา ....มากินข้าวกันได้แล้วคร๊าบ” เสียงจากทางห้องครัวของฐานที่พักตำรวจพลร่มแห่งนี้ จ่าอุดม เป็นพ่อครัวหัวป่าที่รับหน้าที่ทำกับข้าวให้กับทุกคนได้ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันก็ได้เวลาพักของแต่ละคนกันแล้ว บางคนก็จะโทรกลับไปหาครอบครัว คนรัก บาทีการสนทนาทางโทรศัพท์ของแต่ละคนก็ทำให้รฐนนท์ถึงกับอิจฉาเลยทีเดียว เขามักจะโทรหาแม่แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันนอกจากนั้นก็ไม่มีใครให้โทรหาอีก จนบางครั้งก็ถูกลูกน้องแซวเรื่องไม่มีแฟน แต่เขาก็ไม่สนใจและไม่คิดจะมีเพราะเขารู้ดีว่า คนที่ทำงานมีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายแบบเขา ไม่ควรดึงใครให้เขามาเกี่ยวข้องด้วย
“พี่นนท์ เมื่อเช้าผมเห็นคุณครูคนสวย เค้าให้อะไรพี่หรอครับ ว่าจะถามตั้งนานละ แต่ลืม” ผู้หมวดอาทิตย์ถามออกไปขณะกำลังกินข้าวกันอยู่ ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ผู้กองหนุ่มทันที
“อ๋อ ก็... ไม่มีอะไรหรอเขาแค่มาขอบคุณแล้วก็ ให้นาฬิกาพกเป็นทีระลึก น่ะ” คนถูกถามตอบไปด้วย พลางตักข้าวเข้าปากไปด้วย แบบไม่ค่อยใส่ใจเรื่องที่กล่าวไปสักเท่าไร
“แต่ผมเห็นคุยกันอยู่ตั้งนาน ไม่มีอะไรแน่หรอคร๊าบ .... แล้วสาวเจ้ายังจะทิ้งของให้ดูต่างหน้าอีก แสดงว่าเธอต้องสนใจพี่แน่ ๆ เลย เออ... แล้วพี่ได้ขอเบอร์เธอมาไหมครับ” ผู้หมวดหนุ่มยังคงซักไม่หยุด
“จะไปขอได้ยังไงล่ะ เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว แล้วอีกอย่างก็ไม่มีอะไรที่ต้องติดต่อกันแล้วนี่ ฉันไม่ใช่แกนะจะได้ไว้ซะขนาดนั้นเรื่องผู้หญิงเนี่ย พอ ๆ คนจะกินข้าวถามอยู่ได้ แล้วไม่กินหรอข้าวน่ะ ใครไม่กินก็ออกไปพักไป ถ้าจะกินห้ามพูด นี่คือคำสั่ง” รฐนนท์พูดเสียงแข็ง
“โถ่ ถามหน่อยก็ไม่ได้ เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า ถึงว่าไม่มีแฟนกับเขาซะที เองว่าปะ” หมวดอาทิตย์หันไปคุยกับคนที่อยู่ข้าง ๆ เสียงเบาจนเป็นเสียงกระซิบ แล้วทุกคนก็กินข้าวกันต่อด้วยความเงียบเชียบ เป็นที่รู้กันว่าหากหัวหน้าทีมคนนี้ออกคำสั่งแล้วละก็ ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเขาเด็ดขาด เพราะอาจถูกลงโทษได้
ดารันเองพอกลับไปถึงบ้านได้ก็หลับเป็นตาย ตอนที่ออกจากพื้นที่สีแดงได้อย่างปลอดภัย เธอค่อยรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องหน่อย ‘โอว... ฉันรอดแล้ว สวรรค์ ไม่เคยรู้สึกโล่งแบบนี้มาก่อน’ คือพอเธออยู่ในที่หนึ่งด้วยความกลัว หวาดระแวง แล้วได้ออกมาจากที่นั่นมันเหมือนกับว่าเธอได้เกิดใหม่อย่างนั้นแหละ หลังจากนั้นดารันก็ไปสอนหนังสือตามปกติ วันหนึ่งครูแล้วเอารูปจากเฟสบุ๊คของตำรวจพลร่มที่ลงรูปตอนที่ไปงานวันเด็กให้ดูกัน ดารันจึงจำชื่อเฟสบุ๊คแล้วมาลองหาดูเอง เผื่อว่าจะมีข้อมูลหรือข่าวคราวของผู้กองรฐนนท์บ้าง เพราะเธอเองก็ยังอยากรู้ความเป็นไปของเขาอยู่ แต่จากการที่เธอ ‘แอบส่อง’ เฟสนี้ดูแล้วก็ยังไม่รู้อะไรคืบหน้าอยู่ดี รูปของเขาที่ลงก็แทบไม่ค่อยจะมีเลยด้วยซ้ำ
“รัน ฉันว่าแกเลิกหาข่าวเค้าเถอะนะ แกไปชอบอะไรเค้านักวะหะ แต่ก่อนไม่เห็นแกจะสนใจใครเลย” นิชาเพื่อนสนิทของดารันพูดขึ้นหลังจากที่ดารันเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับผู้กองรฐนนท์ให้ฟัง
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันหน้าตื่นเต้นเมื่อช่วงเย็น คณะของครูแล้วก็พักค้างคืนอยู่ที่โรงเรียนตามกำหนดเดิม และจะกลับในวันพรุ่งนี้เช้า ดารันสังเกตเห็นสีหน้าของแต่ละคนไม่ค่อยสู้ดีนัก คงเพราะตกใจกับเรื่องระเบิด แต่ก็โชคดีที่ไม่มีใครในนี้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนชาวบ้านเด็ก ๆ และเจ้าหน้าที่ ได้รับบาดเจ็บกันหลายคนแต่ไม่มีใครเสียชีวิต เมื่อทานข้าวเสร็จ ทุกคนต่างพากันเข้านอนแต่หัวค่ำ ดารันเห็นตำรวจพลร่มที่มาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย เดินอยู่แถวบริเวณชั้นล่างของอาคารที่ใช้เป็นที่พักค้างคืนกันในคืนนี้ จึงขออนุญาตครูแก้วลงไปด้านล่างเพราะอยากไปขอบคุณ คน ๆ หนึ่ง ที่ช่วยเธอเอาไว้ซึ่งครูแก้วก็อนุญาตให้ไป
“ขอโทษนะคะ เอ่อ....ไม่ทราบว่าผู้กองรฐนนท์อยู่ไหนคะ ” ดารันถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังยืนเฝ้าระวัง ในบริเวณนั้นอยู่ เขาหันมามองเธอเหมือนจะส่งคำถามทางสายตาว่า ‘ถามหาผู้กองทำไม?’
“คือว่า ฉันอยากจะขอบคุณผู้กองเรื่องที่ช่วยฉันไว้เมื่อตอนเย็นน่ะค่ะ ฉันเป็นครูที่มากับคณะของครูแก้วค่ะ ชื่อดารัน” เธอรายงานตัวให้ตำรวจฟังเสียเลย เขาจะได้ไม่ต้องถามต่อ
“อ๋อ ผู้กองไม่มาครับ คืนนี้อยู่ที่ฐาน จะมาเปลี่ยนเวรกันอีกทีช่วงเช้าครับผม หากคุณต้องการพบผู้กองพรุ่งนี้ตอนเจอแกผมจะบอกให้นะครับ แกจะได้ไปพบคุณ” นายตำรวจหนุ่มรีบบอกกับดารัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องบอกผู้กองก็ได้ค่ะ เอาไว้ฉันค่อยมาพบผู้กองเองดีกว่าค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ไม่รบกวนแล้วค่ะ “ ดารันเดินขึ้นไปยังชั้น 2 เพื่อเข้านอน แต่ใจก็ยังคงนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ ซึ่งเธอไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอในชีวิตนี้เลย และก็ยังวกไปถึงตัวของผู้กองหนุ่มคนที่ช่วยเหลือเธอ จนเธอหลับไปในที่สุด
“ครูรันคะ ครูรัน ตื่นได้แล้วค่ะ”เสียงครูวิปลุกให้คนนอน ขี้เซาตื่น ดารันหรี่ตาขึ้นมามองแต่ไม่ยอมลุกจากที่นอน
“อือ....ยังมืดอยู่เลยจะรีบปลุกรันทำไมคะแม่” ดารันพูดเสียงแหบอยู่ในคอ ครูวิที่ได้ฟังหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมดึงมือดารันให้ลุกขึ้น
“ตื่นเถอะค่ะ นี่ไม่ใช่บ้านครูรันนะคะ แล้ววิก็ไม่ใช่คุณแม่ด้วย ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วค่ะ เดี่ยวเราต้องรีบเดินทางกลับกรุงเทพฯ กันอีกนะ” พอได้ยินคำว่ากรุงเทพ ฯ ดารันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ที่ยะลา เธอรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวขอโทษขอโพยครูวิเป็นการใหญ่ ที่ต้องทำให้เสียเวลามาปลุกคนขี้เซาอย่างเธอ
เมื่อทุกคนทำธุระส่วนตัวเสร็จ ทานข้าวกันอิ่มเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทาง ซึ่งจะมีชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยเดินทางไปส่งจนพ้นเขตพื้นที่สีแดง ดารันเห็นผู้กองรฐนนท์ยืนอยู่ด้านหน้าตำรวจพลร่มอีกหลายนายที่กำลังเข้าแถวเรียงหน้ากระดาน เขาคงจะสั่งงานพวกลูกทีมอยู่ สักพักก็เห็นทำความเคารพและเลิกแถว วันนี้เขาแต่งตัวเหมือนกับเมื่อวาน ซึ่งทำให้เธอไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาอีกเช่นเคย
“สวัสดีค่ะ ผู้กองคะ ขอเวลาฉันแป๊ปนึงได้ไหมคะ” ดารันถามเขา หลังจากที่เดินมาหยุดยืนด้านหลังของผู้กองหนุ่ม เขาหันมามองเธอพร้อมกับกล่าวทักทาย “สวัสดีครับ ... เชิญครับ”
“คือ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันเมื่อวานออ แล้วก็อีกอย่าง ฉันมีของอยากจะให้ผู้กองค่ะ จริง ๆ มันก็ไม่ได้มีค่าอะไรนะคะ แต่ว่าฉันอยากขอบคุณที่ผู้กองเรื่องเมื่อวานน่ะค่ะ” เธอยื่นของสิ่งนั้นให้เขาและเขาก็ยื่นมือออกมารับมันเอาไว้พร้อมกับจ้องมองของสิ่งนั้นอย่างสำรวจตรวจตรา
“มันคือนาฬิกาพกของฉันเองค่ะ เอาไว้ห้อยพวงกุญแจหรือกระเป๋าก็ได้นะ มันมีเข็มทิศด้านหลังด้วย อาจจะมีประโยชน์กับคุณเวลาเดินทางก็ได้นะคะ ฉันมักจะพกมันติดตัวตลอด ถือเป็นเครื่องรางนำโชคอย่างหนึ่งของฉันเลยนะคะเนี่ย คุณเชื่อไหมเวลาที่ฉันลืมพกไปด้วย ฉันมักจะโชคร้ายเลยล่ะ จากผลการจดสถิติของฉันนะคะ ฉันให้คุณเป็นที่ระลึกค่ะ” ดารันพูดยาวเหยียด เธอคิดทั้งคืนว่าจะเอาอะไรให้เขาเป็นที่ระลึกดี ของที่เธอมีติดตัวมาก็เห็นจะมีแต่เจ้านาฬิกานี่เท่านั้นที่พอจะเข้าท่าหน่อย เผื่อบางทีเขาดูเวลาจากนาฬิกาเรือนนี้แล้วอาจจะนึกถึงเธอบ้างก็ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ถึงกับจดสถิตเลยหรอครับ ถ้ามันเป็นเครื่องรางนำโชคของคุณ คุณเอามาให้ผม คุณก็อาจจะโชคร้ายน่ะสิครับ “ รฐนนท์หัวเราะและแกล้งถามเหมือนจะหยอกดารันเล่น เขารู้สึกว่าเวลาที่เธอพูดท่าทางและน้ำเสียงเธอมันทำให้เขารู้สึกดี และอยากฟังเธอพูดไปเรื่อย ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ได้เสี่ยงอันตรายมากแบบคุณ ดังนั้นโอกาสโชคร้ายของฉันเลยมีน้อยกว่าคุณ ถูกไหมคะ เพราะฉะนั้นรับไว้เถอะค่ะ ฉันอยากให้คุณจริง ๆ นะคะ” ดารันจ้องไปที่ตาของรฐนนท์เพราะรู้ว่าเขากำลังจ้องตาเธออยู่เช่นกัน ถ้าหากไม่มีแว่นกันสะเก็ดกระสุนสีดำสนิทอันนั้น ทั้งคู่คงได้สบตากันเป็นครั้งแรกแน่
“ครับ ผมจะรับไว้ แต่คงไม่มีเวลาจดสถิติหรอกนะครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณมากครับ” รฐนนท์เก็บนาฬิกาเรือนนั้นไว้ในกระเป๋ากางเกง แต่ก็ยังไม่วายแซวดารัน พร้อมกับยิ้มที่มุมปากเหมือนที่เขามักทำอยู่บ่อย ๆ
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ นี่คุณ..แอบแซวฉันหรอคะ ร้ายนะเนี่ย” ดารันแอบค้อนผู้กองหนุ่มเมื่อรู้ตัวว่าถูกแซว
“เป็นไงบ้างครับเมื่อคืนนอนหลับกันได้ไหมครับ” รฐนนท์เปลี่ยนเรื่อง
“คนอื่นไม่รู้นะคะ แต่สำหรับฉัน กว่าจะหลับได้ก็เกือบเช้าแล้วล่ะค่ะ ก็มัวแต่คิด ....เออ...คิดเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ แล้วอีกอย่างคงผิดที่เลยนอนไม่ค่อยหลับ” ดา รันรีบเบรกปากตัวเอง ‘เกือบไปแล้ว เกือบบอกไปแล้วว่าที่นอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องเขาด้วย’ แล้วเธอก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“อ้อ จริงสิ ฉันเห็นคุณทำงานที่นี่มานาน แล้วก็เสี่ยงอันตรายมากๆ คุณไม่กลัวบ้างเหรอคะ เมื่อวานนี้ฉันเห็นคุณไม่ค่อยตกใจเลย ฉันสิกลัวแทบตาย แล้วพวกเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนในพื้นที่ด้วยนี่คะ ไม่คิดถึงบ้านกันบ้างหรอคะ”
“ถ้าถามว่ากลัวไหม ต้องบอกเลยว่ากลัวครับ ถึงผมจะเจอเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราชินหรือเลิกกลัวได้หรอกครับ ทุกคนก็กลัวตายด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าคิดดูดี ๆ ทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้วถูกไหมครับ สำหรับผมถ้าจะตายทั้งทีของตายเพื่อชาติบ้านเมืองดีกว่าครับ ผมจะไม่เสียใจเลยถ้าผมตายแล้วประเทศชาติคงอยู่ ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่ ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของพลร่ม ค่ายนเรศวร ” ผู้กองหนุ่มพูดความในใจออกมาเหมือนว่าคำถามของคนถาม นั้นถามได้ตรงจุดที่เจ้าตัวอยากจะพูด รฐนนท์มองไปทางเสาธงชาติที่อยู่กลางสนามที่ซึ่งเด็กนักเรียนใช้เป็นที่เคารพธงชาติกันก่อนเข้าเรียน บนยอดเสานั้นมีธงชาติไทยปลิวไสวอยู่
“คุณดูนั่นสิ เห็นธงชาติไทยไหม ถึงที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของพวกผม แต่ที่นี่ก็คือประเทศไทย ไม่ว่าเราอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศไทยมันก็เปรียบเสมือนบ้านของเรา แล้วถ้าบ้านของเราไม่สงบสุขเราจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร เมื่อพวกเรามาที่นี่และได้เห็นความลำบากของชาวบ้าน เด็ก ๆ ที่อยู่ที่นี่ พวกเราจึงตั้งใจว่า จะขอเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือทุกคน ถึงแม้จะทำได้เพียงน้อยนิดแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย” รฐนนท์มองทอดสายตาออกไปยังธงชาติไทยเบื้องหน้า แล้วหันกลับมามองหญิงสาวที่ตั้งคำถามนี้กับเขา
“มันก็จริงอย่างที่คุณพูดนะคะ แต่จะมีสักกี่คนกันที่สามารถทำได้แบบพวกคุณ พวกคุณคือวีระบุรุษที่ทุกคนต้องจดจำค่ะ” ดารันพูดอย่างมุ่งมั่น พร้อมกับสายตาชื่นชมที่มีให้ ‘ฮีโร่’ ของเธอ
“พวกผมไม่ได้อยากเป็นวีระบุรุษหรอกครับ คุณไม่เห็นหรอว่าวีระบุรุษน่ะ มีวันหมออายุนะคุณ เป็นวีระบุรุษแค่เจ็ดวัน แล้วทุกคนก็ลืม ผมขอแค่ได้อยู่ทำหน้าที่รับใช้ชาติ และขอให้ทุกคนในชาติรักกันอยู่กันอย่างสงบสุข พวกผมก็พอใจแล้วล่ะครับ” ผู้กองหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้า แต่สายตาของเขาที่ดารันไม่อาจเห็นกลับบ่งบอกถึงความเจ็บปวด ความเสียใจในอดีตออกมาอย่างเก็บไม่อยู่ เมื่อครั้งที่เคยสูญเสียสหายร่วมรบ ครานั้นมันยังฝังลึกอยู่ในจิตใจจนยากจะลืมเลือนได้ เธอจะรู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนที่เขาจะต้องเป็นคนบอกข่าวร้ายที่สุดให้กับครอบครัวของ ‘วีระบุรษ’ เหล่านั้น คนที่ได้เป็น ‘วีระบุรุษเมื่อตายจาก’ ถึงจะเป็นความภาคภูมิใจของคนในครอบครัว แต่ทุกคนก็ย่อมไม่ต้องการเสียคนที่เรารักไป และแน่นอนว่ามันยอมสร้างความบอบช้ำให้กับคนที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่มีวันลืมเลือน
“ฉันต้องไปก่อนนะคะ ครูแก้วเรียกแล้ว ขอบคุณอีกครั้งค่ะ และก็ .... รักษาตัวด้วยนะคะ ลาก่อนค่ะ” ดารันรีบวิ่งกลับไปหาครูแก้ว เธอวิ่งออกมาได้ 2-3 ก้าว ก็หันกลับไปอีก “คุณคือ ‘ฮีโร่’ ที่มีลมหายใจ ‘ฮีโร่’ ไม่จำเป็นต้องมีพลังวิเศษ พวกคุณต้องทำสำเร็จตามฝันได้สักวัน อย่าท้อนะคะ สู้ ๆ ค่ะ ”
รฐนนท์รับรู้ได้ถึงความหวังดี และกำลังใจที่ดารันส่งผ่านมาให้ มันทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ น่าแปลกที่เธอทำให้รู้สึกเช่นนี้ได้ หลังจากปฏิบัติ ภารกิจเสร็จสิ้นในวันนี้ทุกคนกลับถึงฐานปฏิบัติการกันอย่างปลอดภัย
“มา มา ....มากินข้าวกันได้แล้วคร๊าบ” เสียงจากทางห้องครัวของฐานที่พักตำรวจพลร่มแห่งนี้ จ่าอุดม เป็นพ่อครัวหัวป่าที่รับหน้าที่ทำกับข้าวให้กับทุกคนได้ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันก็ได้เวลาพักของแต่ละคนกันแล้ว บางคนก็จะโทรกลับไปหาครอบครัว คนรัก บาทีการสนทนาทางโทรศัพท์ของแต่ละคนก็ทำให้รฐนนท์ถึงกับอิจฉาเลยทีเดียว เขามักจะโทรหาแม่แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันนอกจากนั้นก็ไม่มีใครให้โทรหาอีก จนบางครั้งก็ถูกลูกน้องแซวเรื่องไม่มีแฟน แต่เขาก็ไม่สนใจและไม่คิดจะมีเพราะเขารู้ดีว่า คนที่ทำงานมีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายแบบเขา ไม่ควรดึงใครให้เขามาเกี่ยวข้องด้วย
“พี่นนท์ เมื่อเช้าผมเห็นคุณครูคนสวย เค้าให้อะไรพี่หรอครับ ว่าจะถามตั้งนานละ แต่ลืม” ผู้หมวดอาทิตย์ถามออกไปขณะกำลังกินข้าวกันอยู่ ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ผู้กองหนุ่มทันที
“อ๋อ ก็... ไม่มีอะไรหรอเขาแค่มาขอบคุณแล้วก็ ให้นาฬิกาพกเป็นทีระลึก น่ะ” คนถูกถามตอบไปด้วย พลางตักข้าวเข้าปากไปด้วย แบบไม่ค่อยใส่ใจเรื่องที่กล่าวไปสักเท่าไร
“แต่ผมเห็นคุยกันอยู่ตั้งนาน ไม่มีอะไรแน่หรอคร๊าบ .... แล้วสาวเจ้ายังจะทิ้งของให้ดูต่างหน้าอีก แสดงว่าเธอต้องสนใจพี่แน่ ๆ เลย เออ... แล้วพี่ได้ขอเบอร์เธอมาไหมครับ” ผู้หมวดหนุ่มยังคงซักไม่หยุด
“จะไปขอได้ยังไงล่ะ เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว แล้วอีกอย่างก็ไม่มีอะไรที่ต้องติดต่อกันแล้วนี่ ฉันไม่ใช่แกนะจะได้ไว้ซะขนาดนั้นเรื่องผู้หญิงเนี่ย พอ ๆ คนจะกินข้าวถามอยู่ได้ แล้วไม่กินหรอข้าวน่ะ ใครไม่กินก็ออกไปพักไป ถ้าจะกินห้ามพูด นี่คือคำสั่ง” รฐนนท์พูดเสียงแข็ง
“โถ่ ถามหน่อยก็ไม่ได้ เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า ถึงว่าไม่มีแฟนกับเขาซะที เองว่าปะ” หมวดอาทิตย์หันไปคุยกับคนที่อยู่ข้าง ๆ เสียงเบาจนเป็นเสียงกระซิบ แล้วทุกคนก็กินข้าวกันต่อด้วยความเงียบเชียบ เป็นที่รู้กันว่าหากหัวหน้าทีมคนนี้ออกคำสั่งแล้วละก็ ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเขาเด็ดขาด เพราะอาจถูกลงโทษได้
ดารันเองพอกลับไปถึงบ้านได้ก็หลับเป็นตาย ตอนที่ออกจากพื้นที่สีแดงได้อย่างปลอดภัย เธอค่อยรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องหน่อย ‘โอว... ฉันรอดแล้ว สวรรค์ ไม่เคยรู้สึกโล่งแบบนี้มาก่อน’ คือพอเธออยู่ในที่หนึ่งด้วยความกลัว หวาดระแวง แล้วได้ออกมาจากที่นั่นมันเหมือนกับว่าเธอได้เกิดใหม่อย่างนั้นแหละ หลังจากนั้นดารันก็ไปสอนหนังสือตามปกติ วันหนึ่งครูแล้วเอารูปจากเฟสบุ๊คของตำรวจพลร่มที่ลงรูปตอนที่ไปงานวันเด็กให้ดูกัน ดารันจึงจำชื่อเฟสบุ๊คแล้วมาลองหาดูเอง เผื่อว่าจะมีข้อมูลหรือข่าวคราวของผู้กองรฐนนท์บ้าง เพราะเธอเองก็ยังอยากรู้ความเป็นไปของเขาอยู่ แต่จากการที่เธอ ‘แอบส่อง’ เฟสนี้ดูแล้วก็ยังไม่รู้อะไรคืบหน้าอยู่ดี รูปของเขาที่ลงก็แทบไม่ค่อยจะมีเลยด้วยซ้ำ
“รัน ฉันว่าแกเลิกหาข่าวเค้าเถอะนะ แกไปชอบอะไรเค้านักวะหะ แต่ก่อนไม่เห็นแกจะสนใจใครเลย” นิชาเพื่อนสนิทของดารันพูดขึ้นหลังจากที่ดารันเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับผู้กองรฐนนท์ให้ฟัง