หลังจากพึ่งผ่านวันชาติของฝรั่งเศสมาแบบหลั่งเลือดมาไม่นาน มีหลาย ๆ คนได้นึกถึงความตอกย้ำความแค้นเรื่องการล่าอาณานิคม ซึ่งมันเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่เป็นบทเรียนอย่างนึง
ที่ไม่ลืมแต่ไม่ควรเอามาจำจนแค้นอะไรมากมายนัก เพราะมันเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว หลายคนคิดว่าเค้ามาทำอย่างงั้นอย่างงี้กับเราทำไมตั้งมาก ในมุมมองของไทยเราก็รู้แค่เรื่องราวทางฝ่ายเราที่บันทึกของทางเราอย่างเดียว แต่ครั้งเรามาดูเรื่องเหตุการณ์เดียวกันนี้ในบันทึกของเขาบ้าง
ตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา รัฐบาลล่าเมืองขึ้นจากตะวันตก ก็เข้ามาคุกคามเสถียรภาพและความมั่นคงของสยามอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับนโยบายที่ก้าวร้าวรุนแรง เช่น นโยบายเรือปืน นโยบายเลือดกับเหล็ก นโยบายตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำให้สยามต้องคิดตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นมารองรับสถานการณ์ เช่น ทฤษฎีลู่ตามลม ทฤษฎีถ่วงดุลอำนาจ และทฤษฎีพันธมิตรซ้อนพันธมิตร ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราแทบจะไม่รู้เลยว่าใครอยู่เบื้องหลังนโยบายเหล่านี้ และด้วยแรงดลใจอะไร ข้อมูลต่อไปนี้เปิดหน้ากากจอมบงการผู้ชักใบนโยบายดังกล่าว และชี้ให้เห็นสาเหตุของการเบียดเบียนมนุษย์ด้วยกันทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
ระดับหัวหน้ากลายเป็นรัฐบุรุษ ส่วนระดับรองลงมาอย่างน้อยต้องได้เป็นวีรบุรุษ เพราะต่างก็สร้างชื่อเสียง ทำให้อาณาเขตของจักรวรรดิฝรั่งเศสขยา ยออกไปจนกว้างขวางใหญ่โต แทบทุกคนมีอนุสาวรีย์ที่ทางการสร้างให้เป็นเกียรติประวัติของตนเองเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว เช่น นายเฟลิกซ์ โฟว์ นายปาวี และนายการ์นิเอ เป็นต้น
ทว่าแรงบันดาลใจที่ทำให้คนกลุ่มนี้โด่งดังขึ้นมากลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าใดนัก เพราะภาระหน้าที่ของพวกเขามักจะถูกกดดันอย่างหนักจากนโยบา ยที่ได้รับมอบหมายไป ส่งผลให้คนธรรมดากลับกลายเป็นพวกคลั่งชาติ ส่วนนักเผชิญโชคก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้แสวงหาประโยชน์ให้รัฐบาลโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่อาจมีจุดเริ่มต้นที่ไม่โลดโผนนัก ในจำนวนนี้มีนายปาวีที่เคยเป็นแค่พนักงานไปรษณีย์โทรเลข ต่อมาก็ถูกส่งเสริมขึ้นไปเป็นถึงอุปทูตฝรั่งเศส ผู้มีอำนาจล้นฟ้า เป็นต้น
พื้นฐานชีวิตและบทบาทที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่รัฐบาลในยุคนั้นจึงดูโลดโผน และน่าพิศวงอย่างยิ่ง แต่เมื่อสังเคราะห์เหตุผลทางโลกแล้วก็จะได้ความเย้ายวนของลาภยศสรรเสริญ ทรัพย์สมบัติและความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นตัวกำหนด ส่วนเหตุผลทางธรรมก็มีอัตตาและกิเลสเป็นแรงจูงใจทั้งสิ้น
เหตุผลภาคทฤษฎี ก่อให้เกิดตัวการในภาคปฏิบัติ
เหตุผลทั้งทางโลกและทางธรรม แฝงอยู่ในทฤษฎีทางความคิดของชาวอังกฤษผู้หนึ่งชื่อ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ผู้แต่งหนังสือ Origin of Species หนังสือเล่มนี้ได้ปลุกกระแสชาติพันธุ์นิยมแก่ชาวตะวันตก เขากล่าวว่า คนเชื้อชาติตะวันตก ผิวสีขาวเป็นมนุษย์ที่พัฒนามาได้มากที่สุ ด และก้าวหน้าที่สุด มากกว่ามนุษย์ผิวสีเหลืองและผิวสีดำ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นักปรัชญาชาวตะวันตกรับแนวคิดนี้มาโดยอธิบายเพิ่มเติมว่าตะวันตกคือความก้าวหน้า แต่ตะวันออกคือความล้าหลัง และตะวันออกจะก้าวหน้าได้ก็ด้วยการเดินตามตะวันตก หรือมีชาวตะวันตกมานำพาไป
แนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในบรรดาประชาชาติตะวันตกด้วยกัน ในช่วงปี ค.ศ.๑๗๐๐-๑๘๕๐ โดยมีอังกฤษเป็นหัวหอกสำคัญในการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อนี้
อังกฤษมีศักยภาพมากที่สุดในบรรดาประชาชาติยุโรปทั้งหมด ก็เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งเกิดขึ้นในอังกฤษก่อนที่อื่นๆ ก่อให้เกิดความทะเยอทะยาน และการขวนขวายที่จะสร้างฐานอำนาจของอังกฤษนอกทวีปยุโรป การสะสมความมั่งคั่งร่ำรวยและการมีอำนาจก็คือ การมีอาณานิคมให้มาก อังกฤษใช้ลัทธิพาณิชย์นาวี และตลาดการค้าเสรีเป็นใบเบิกทางและประสบผลสำเร็จมากกว่าชาติใดๆ ในระยะเดียวกัน
ส่วนฝรั่งเศสซึ่งเป็นคู่แข่งของอังกฤษมาถึงเอเชียภายหลังอังกฤษร่วม ๓๐ ปี เพราะมัวพะวงอยู่กับการทำสงครามสร้างหลักปักฐานให้ตนเองในภาคพื้นยุโรป มีอาทิ สงครามปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolutionary Wars 1792-1802) ต่อเนื่องด้วยสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars 1804-1815) เมื่อฟื้นตัวขึ้น ฝรั่งเศสจึงไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจแบบของอังกฤษ แต่เหตุผลของฝรั่งเศสกลับเป็นการเผยแผ่ลัทธิความเชื่อทางศาสนา ที่เห็นว่าเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่นับถือศาสนาคริสต์ จะต้องนำคำสอนของพระเจ้าไปกล่อมเกลาจิตใจของคนนอกรีตที่ยังหล้าหลัง และอ่อนแอในทวีปแอฟริกา และเอเชีย ให้พัฒนาเป็นอารยชนเท่าเทียมตนตามทัศนะที่ว่า มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนเป็นลูกของพระเจ้าเช่นกัน
คนอังกฤษและฝรั่งเศส จึงเป็นผู้บุกเบิกการเผยแผ่ลัทธิความเชื่อในเอเชียอาคเนย์ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ และ ๑๙ ซึ่งตรงกับสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ของไทย ทั้ง ๒ ชาติถือเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องเข้ามากำหนดกฎเกณฑ์ และปฏิรูปความล้าหลังของคนเอเชีย ให้ปฏิวัติตนเองไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่สอดคล้องกับแนวคิดทางคริสต์ศาสนาตามที่คนผิดขาวต้องการ
อังกฤษซึ่งยึดหัวหาดอยู่ในอินเดีย-พม่าและมลายูได้ก่อนฝรั่งเศส นับเป็นมหาอำนาจตะวัน ตกชาติแรกที่ตั้งฐานที่มั่นได้ที่มั่นคงในภูมิภาคนี้ ส่วนฝรั่งเศสซึ่งมาทีหลังจึงหันไปจับจองดินแดนอันรกร้างอีกด้านหนึ่งของเอเชียที่เรียกคาบสมุทรอินโดจีน การเข้ามาทางด้านนี้ทำให้ฝรั่งเศสต้องเผชิญหน้ากับเจ้าถิ่นเก่าที่มีอิทธิพลอยู่ก่อนแล้ว อันได้แก่ เวียดนาม (ญวน) และสยาม (ไทย) ส่งผลให้เกิดสงครามกับญวน และการสู้รบกับไทยเพื่อปะทะสังสรรค์กับไทยสยามอย่างเปิดเผยจึงเป็นฝรั่งเศส ก่อให้เกิดตัวบุคคลผู้วางนโยบายและผู้ถูกส่งเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังส่งผลให้เกิดการเสียดินแดนตลอดจนแลกเปลี่ยนดินแดนกันอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและจบลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นส่วนใหญ่
ตัวการที่ทำให้ไทยเสียดินแดนในสมัยรัชกาลที่ 5
ตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา รัฐบาลล่าเมืองขึ้นจากตะวันตก ก็เข้ามาคุกคามเสถียรภาพและความมั่นคงของสยามอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับนโยบายที่ก้าวร้าวรุนแรง เช่น นโยบายเรือปืน นโยบายเลือดกับเหล็ก นโยบายตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำให้สยามต้องคิดตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นมารองรับสถานการณ์ เช่น ทฤษฎีลู่ตามลม ทฤษฎีถ่วงดุลอำนาจ และทฤษฎีพันธมิตรซ้อนพันธมิตร ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราแทบจะไม่รู้เลยว่าใครอยู่เบื้องหลังนโยบายเหล่านี้ และด้วยแรงดลใจอะไร ข้อมูลต่อไปนี้เปิดหน้ากากจอมบงการผู้ชักใบนโยบายดังกล่าว และชี้ให้เห็นสาเหตุของการเบียดเบียนมนุษย์ด้วยกันทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
ระดับหัวหน้ากลายเป็นรัฐบุรุษ ส่วนระดับรองลงมาอย่างน้อยต้องได้เป็นวีรบุรุษ เพราะต่างก็สร้างชื่อเสียง ทำให้อาณาเขตของจักรวรรดิฝรั่งเศสขยา ยออกไปจนกว้างขวางใหญ่โต แทบทุกคนมีอนุสาวรีย์ที่ทางการสร้างให้เป็นเกียรติประวัติของตนเองเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว เช่น นายเฟลิกซ์ โฟว์ นายปาวี และนายการ์นิเอ เป็นต้น
ทว่าแรงบันดาลใจที่ทำให้คนกลุ่มนี้โด่งดังขึ้นมากลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าใดนัก เพราะภาระหน้าที่ของพวกเขามักจะถูกกดดันอย่างหนักจากนโยบา ยที่ได้รับมอบหมายไป ส่งผลให้คนธรรมดากลับกลายเป็นพวกคลั่งชาติ ส่วนนักเผชิญโชคก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้แสวงหาประโยชน์ให้รัฐบาลโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่อาจมีจุดเริ่มต้นที่ไม่โลดโผนนัก ในจำนวนนี้มีนายปาวีที่เคยเป็นแค่พนักงานไปรษณีย์โทรเลข ต่อมาก็ถูกส่งเสริมขึ้นไปเป็นถึงอุปทูตฝรั่งเศส ผู้มีอำนาจล้นฟ้า เป็นต้น
พื้นฐานชีวิตและบทบาทที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่รัฐบาลในยุคนั้นจึงดูโลดโผน และน่าพิศวงอย่างยิ่ง แต่เมื่อสังเคราะห์เหตุผลทางโลกแล้วก็จะได้ความเย้ายวนของลาภยศสรรเสริญ ทรัพย์สมบัติและความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นตัวกำหนด ส่วนเหตุผลทางธรรมก็มีอัตตาและกิเลสเป็นแรงจูงใจทั้งสิ้น
เหตุผลภาคทฤษฎี ก่อให้เกิดตัวการในภาคปฏิบัติ
เหตุผลทั้งทางโลกและทางธรรม แฝงอยู่ในทฤษฎีทางความคิดของชาวอังกฤษผู้หนึ่งชื่อ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ผู้แต่งหนังสือ Origin of Species หนังสือเล่มนี้ได้ปลุกกระแสชาติพันธุ์นิยมแก่ชาวตะวันตก เขากล่าวว่า คนเชื้อชาติตะวันตก ผิวสีขาวเป็นมนุษย์ที่พัฒนามาได้มากที่สุ ด และก้าวหน้าที่สุด มากกว่ามนุษย์ผิวสีเหลืองและผิวสีดำ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นักปรัชญาชาวตะวันตกรับแนวคิดนี้มาโดยอธิบายเพิ่มเติมว่าตะวันตกคือความก้าวหน้า แต่ตะวันออกคือความล้าหลัง และตะวันออกจะก้าวหน้าได้ก็ด้วยการเดินตามตะวันตก หรือมีชาวตะวันตกมานำพาไป
แนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในบรรดาประชาชาติตะวันตกด้วยกัน ในช่วงปี ค.ศ.๑๗๐๐-๑๘๕๐ โดยมีอังกฤษเป็นหัวหอกสำคัญในการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อนี้
อังกฤษมีศักยภาพมากที่สุดในบรรดาประชาชาติยุโรปทั้งหมด ก็เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งเกิดขึ้นในอังกฤษก่อนที่อื่นๆ ก่อให้เกิดความทะเยอทะยาน และการขวนขวายที่จะสร้างฐานอำนาจของอังกฤษนอกทวีปยุโรป การสะสมความมั่งคั่งร่ำรวยและการมีอำนาจก็คือ การมีอาณานิคมให้มาก อังกฤษใช้ลัทธิพาณิชย์นาวี และตลาดการค้าเสรีเป็นใบเบิกทางและประสบผลสำเร็จมากกว่าชาติใดๆ ในระยะเดียวกัน
ส่วนฝรั่งเศสซึ่งเป็นคู่แข่งของอังกฤษมาถึงเอเชียภายหลังอังกฤษร่วม ๓๐ ปี เพราะมัวพะวงอยู่กับการทำสงครามสร้างหลักปักฐานให้ตนเองในภาคพื้นยุโรป มีอาทิ สงครามปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolutionary Wars 1792-1802) ต่อเนื่องด้วยสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars 1804-1815) เมื่อฟื้นตัวขึ้น ฝรั่งเศสจึงไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจแบบของอังกฤษ แต่เหตุผลของฝรั่งเศสกลับเป็นการเผยแผ่ลัทธิความเชื่อทางศาสนา ที่เห็นว่าเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่นับถือศาสนาคริสต์ จะต้องนำคำสอนของพระเจ้าไปกล่อมเกลาจิตใจของคนนอกรีตที่ยังหล้าหลัง และอ่อนแอในทวีปแอฟริกา และเอเชีย ให้พัฒนาเป็นอารยชนเท่าเทียมตนตามทัศนะที่ว่า มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนเป็นลูกของพระเจ้าเช่นกัน
คนอังกฤษและฝรั่งเศส จึงเป็นผู้บุกเบิกการเผยแผ่ลัทธิความเชื่อในเอเชียอาคเนย์ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ และ ๑๙ ซึ่งตรงกับสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ของไทย ทั้ง ๒ ชาติถือเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องเข้ามากำหนดกฎเกณฑ์ และปฏิรูปความล้าหลังของคนเอเชีย ให้ปฏิวัติตนเองไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่สอดคล้องกับแนวคิดทางคริสต์ศาสนาตามที่คนผิดขาวต้องการ
อังกฤษซึ่งยึดหัวหาดอยู่ในอินเดีย-พม่าและมลายูได้ก่อนฝรั่งเศส นับเป็นมหาอำนาจตะวัน ตกชาติแรกที่ตั้งฐานที่มั่นได้ที่มั่นคงในภูมิภาคนี้ ส่วนฝรั่งเศสซึ่งมาทีหลังจึงหันไปจับจองดินแดนอันรกร้างอีกด้านหนึ่งของเอเชียที่เรียกคาบสมุทรอินโดจีน การเข้ามาทางด้านนี้ทำให้ฝรั่งเศสต้องเผชิญหน้ากับเจ้าถิ่นเก่าที่มีอิทธิพลอยู่ก่อนแล้ว อันได้แก่ เวียดนาม (ญวน) และสยาม (ไทย) ส่งผลให้เกิดสงครามกับญวน และการสู้รบกับไทยเพื่อปะทะสังสรรค์กับไทยสยามอย่างเปิดเผยจึงเป็นฝรั่งเศส ก่อให้เกิดตัวบุคคลผู้วางนโยบายและผู้ถูกส่งเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังส่งผลให้เกิดการเสียดินแดนตลอดจนแลกเปลี่ยนดินแดนกันอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและจบลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นส่วนใหญ่