เปลี่ยนไม่ผ่าน ผ่านไม่เปลี่ยน โดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร

ในบรรดานักวิชาการที่สนใจเรื่องพัฒนาการของระบอบการเมืองในสังคมต่างๆ นั้น มีกลุ่มที่เคยอภิปรายถกเถียงกันว่าด้วยการเป็นประชาธิปไตยและอำนาจนิยม โดยย่อ ประชาธิปไตยคือระบอบการเมืองที่สนองตอบกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยที่มาของรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งทั่วไป โดยประชาชนที่มีสิทธิเท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ ในขณะที่อำนาจนิยมนั้น รัฐบาลมักจะมาจากการแต่งตั้งหรือโดยการยึดอำนาจ มักสนองตอบกับคนส่วนน้อยของสังคมที่อยู่ส่วนยอดของพีระมิดสังคม และใช้อำนาจความรุนแรงในการกำกับควบคุมผู้ไม่เห็นด้วย

จากการศึกษาประสบการณ์ของหลายประเทศในโลกจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะจากประเทศตะวันตกที่ได้ผ่านการเป็นอุตสาหกรรม (industrialization) ความเป็นสมัยใหม่ (modernization) ได้เกิดทฤษฎีที่เชื่อว่าสังคมก่อนความเป็นสมัยใหม่ มักจะเปลี่ยนผ่านสู่การเมืองระบอบประชาธิปไตย อันเป็นผลมาจากการต่อสู้กันระหว่างพลังทางสังคมต่างๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม

และพบว่าในท้ายที่สุด ระบอบประชาธิปไตยช่วยจรรโลงเศรษฐกิจระบบทุนนิยมได้ดีที่สุด และทำให้ความขัดแย้งต่างๆ ไม่บานปลายเป็นความรุนแรงที่สร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น กระบวนการเปลี่ยนผ่านจึงเป็นผลของปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน โดยสังคมที่รัฐมีประสิทธิภาพสูงในการตอบสนองกับประชาชนจะเอื้อกับการเป็นประชาธิปไตยมาก

แต่นักวิชาการก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทฤษฎี "เปลี่ยนผ่าน" นี้ ไม่เป็นเส้นตรง สังคมอาจเข้าไปสู่การเป็นประชาธิปไตยแบบซิกแซ็กกลับไปกลับมา บางครั้งก้าวไปข้างหน้าเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่บางครั้งก็ถอยหลังกลับไปสู่ระบอบอำนาจนิยม (แบบต่างๆ) คือ เป็นไปได้ทั้ง democratization และ de-democratization ก่อนที่จะเป็นประชาธิปไตยเต็มที่ในท้ายที่สุด ตัวอย่างจากประสบการณ์ของประเทศฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1600 จนถึงปี ค.ศ.2006 ดังแสดงในภาพข้างล่างที่ชี้ให้เห็นการซิกแซ็กดังกล่าว (ที่มาของภาพ : Charles Tilly, Democracy, New York, Cambridge University Press, 2007, หน้า 35)

ประสบการณ์เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของฝรั่งเศส ค.ศ.1600-ค.ศ.2006

(ดูภาพประกอบ)

นอกจากจะซิกแซ็กแล้ว (เช่น หลังปฏิวัติฝรั่งเศสเมี่อ ค.ศ.1789 ยังย้อนกลับไปเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยนโปเลียน เป็นต้น) หนทางสู่ประชาธิปไตยในฝรั่งเศสยังยาวนานมาก ถ้านับจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ยังมากกว่า 100 ปี

ข้อสังเกตดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้ทำให้เห็นจุดอ่อนของทฤษฎี "เปลี่ยนผ่าน" สู่ประชาธิปไตย และอาจใช้ไม่ได้กับบางสังคม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงประสบการณ์ของประเทศกำลังพัฒนา หรือบางทีเรียกว่า emerging economics แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย

สำหรับไทยนั้นประสบการณ์พัฒนาการเมืองตั้งแต่หลัง พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) เป็นการซิกแซ็กไปมาระหว่างการพยายามเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย กลับไปกลับมากับการรัฐประหารเพื่อเข้าสู่ระบอบอำนาจนิยมโดยรัฐบาลทหารมาตลอดเวลา และเมื่อเวลาผ่านไปพลังสนับสนุนอำนาจนิยมกลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าพลังที่สนับสนุนประชาธิปไตย

ณ จุดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่านักทฤษฎีบางคนเริ่มหมดความเชื่อถือในทฤษฎี "เปลี่ยนผ่าน" เริ่มพูดถึงทฤษฎี "เปลี่ยนไม่ผ่าน" แต่ถอยหลังมากๆ และตระหนักถึงการคงอยู่ของระบอบอำนาจนิยม จนเกิดเป็น hybrid regime หรือระบอบผสมผสานระหว่างประชาธิปไตยกับอำนาจนิยมโดยทหาร เป็นระยะเวลายาวนาน ทั้งนี้ กลุ่มส่วนยอดจำนวนน้อยที่ได้ผลประโยชน์จากระบอบอำนาจนิยม จะไม่ยอมรามือได้ง่ายๆ

ยิ่งประกอบกับการพุ่งขึ้นของระบอบอำนาจนิยมในประเทศใหญ่ๆ เช่น จีน และรัสเซีย ที่พร้อมจะเป็นพันธมิตรด้วยกับอำนาจนิยมในเอเชีย ยิ่งทำให้ทฤษฎี "เปลี่ยนไม่ผ่าน" ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432875432

เนื้อหาของบทความ น่าสนใจ เลยเอามาฝาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่